U2: The Joshua Tree 2019 Live in Singapore

Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

รีวิว U2: The Joshua Tree tour 2019 ครั้งแรกกับการมา Southeast Asia ในรอบ 42 ปี!

10 ปีที่แล้วเรารู้จัก U2 เป็นครั้งแรกในช่วงเดียวกับที่พวกเขาทัวร์ทั่วโลกกับ U2 360° Tour สุดยิ่งใหญ่ ซึ่งตอนนั้นความฝันที่จะดูวงร็อกสุดยิ่งใหญ่นี้แทบเป็นไปไม่ได้ ทั้งระยะทางแสนไกลจากไทยและด้วยเงินเก็บอันน้อยนิด แต่ในครั้งนี้เมื่อพวกเขาพา The Joshua Tree เข้ามาใกล้ถึงสิงคโปร์แล้ว เราก็ไม่รอช้ากดตั๋วลงหลุมโซนยืนไปร่วมเป็นสักขีพยานในการมาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของวงร็อกไอริชวงนี้

$192 SGD (ประมาณ 4,200 บาท) คือจำนวนเงินที่เราควักกระปุกออกมาจ่ายค่าตั๋วคอนเสิร์ตในการไปลงหลุมโซน GA ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เมื่อต้องบวกค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรมและค่ากินอยู่ทั้งหมดในประเทศสิงคโปร์ แต่นี่ก็นับเป็นค่าประสบการณ์ที่คุ้มที่สุดตั้งแต่เราเคยจ่ายมา โดยก่อนจะถึงงานในวันที่ 30 พฤศจิกายน เราก็เข้าไปอยู่ในกรุ๊ป Facebook ร่วมกับเหล่าแฟนคลับ U2 จากทั่วโลกที่จะมาดูคอนเสิร์ตในสิงคโปร์ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เราตื่นเต้นขึ้นทุกวัน ๆ ฮือ

แล้ววันงานก็มาถึง ซึ่งเราได้ดูรอบแรกคือวันที่ 30 พฤศจิกายน ชาวเงินถึงหลาย ๆ คนก็ได้ไปดูคืนที่สองคือวันที่ 1 ธันวาคมด้วย แต่แค่นี้ก็กระอักแล้วจ้า ขอพักก่อน เราวอร์มอัพด้วยการไปช็อปไวนิล The Joshua Tree ที่ Hear Records (Rochor MRT ร้านนี้แผ่นเยอะดี แนะนำจ้า) ก่อนจะพุ่งตัวไปที่ National Stadium ช่วง 4 โมง ซึ่งคือคนก็เริ่มมาแล้ว (ได้ข่าวว่าคนแรกมาจองคิวตั้งแต่ 7 โมงจ้า ยอมแพ้) ซึ่งเราก็เดินไปแลกบัตรตัวจริงมา ใช้เวลาแปปเดียวเสร็จ แต่กลายเป็นว่าต้องมา Stuck In The Moment You Can’t Get Out Of เกือบครึ่งชั่วโมง! ก็คือการซื้อเมิร์ชฮ่า ๆ แต่ก็มีลายสวย ๆ เสื้อหลายแบบ แถมยังมี Tour Programme และของใช้ทั้งหมดรวม 19 รายการ

เราได้เสื้อมาสองตัว เป็นลายพิเศษของสิงคโปร์​และเสื้อทัวร์ leg นี้ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเพลง Ahimsa วนไปไม่หยุด หลอนมาก ฮ่า ๆ ซึ่งพอซื้อเมิร์ชเสร็จก็ได้แวบไปกินข้าว ตอนนั้นคนก็เริ่มเยอะแล้ว

พอเรากลับมาที่ Stadium ก็เริ่มกระบวนการตรวจกระเป๋า ก่อนจะเดินไปที่ Gate ซึ่งต้องเดินจาก Gate 1 ไป Gate 9 ซึ่งไกลมากกกกกกกกกกกกกกกก ฮือ ก่อนจะตรวจบัตร รับริสต์แบนด์ ซึ่งงานนี้ห้ามเอาขวดน้ำเข้าโดยเด็ดขาด ก็ต้องไปต่อแถวซื้อน้ำอีกรอบ (Stuck In The Moment ไปอีก)

Singapore National Stadium

U2: The Joshua Tree 2019 (Singapore)

ประมาณทุ่มนึง เราก็ลงไปยืนรอที่หลุมโซนยืน ตอนนั้นคนก็ยังไม่เยอะมาก ประมาณ 1/3 ของโซนยืน ซึ่งบนจอยักษ์ด้านหน้าเราก็เป็นรูปต้น Joshua Tree บนเวทีบนพื้นหลังสีทอง ระหว่างนั้นก็นั่งมองฟ้าตอนใกล้พระอาทิตย์ตกไป สวยดี (Stadium ปิดหลังคาหมด แต่เปิดไว้หนึ่งฝั่งเล็ก ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม) ซึ่งประมาณ 20:20 เสียงเพลงที่เปิดคลออยู่ก็ค่อย ๆ เบาลง ก่อนเราจะได้ยินเพลง The Waterboys – Whole Of The Moon ดังขึ้นมา แล้วพอใกล้ ๆ จบเพลงก็มองเห็น Larry Mullen Jr. มือกลองของวงเดินมาแต่ไกล ก่อนจะนั่งลงบนกลองชุดที่เวทีด้านหน้าแล้วเสียงกลองเพลง Sunday Bloody Sunday ก็ดังขึ้น จังหวะนั้นคือขนลุกมาก ๆ น้ำตาจะไหล แต่ความเศร้าคือ พอมาเล่นสเตจด้านหน้าแล้วเวทีมันลาดลง เรามองแทบไม่เห็นเลยฮือ

ต่อกันด้วยเพลง New Year’s Day จากอัลบั้มเดียวกัน แล้วเขยิบมาจังหวะบุก ๆ ด้วย I Will Follow ที่ Bono นักร้องนำตะโกนว่า “If you walk away, WE WILL FOLLOW!” ก่อนคุณลุงโบโน่ที่ปีนี้อายุครบ 59 แล้วจะชวนคนทั้ง 50,000 คนใน National Stadium คุย “ขอบคุณที่อดทนรอเรา ไม่นานใช่ไหม แค่ 42 ปีเอง!” ซึ่งแน่นอนว่าเรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งสนาม ก่อนจะบอกว่า “นี่จะเป็นโชว์ที่ดีที่สุดที่เราเคยเล่นที่สิงคโปร์”​ อะ ก็ได้ ฮ่า ๆ “เราภาวนาว่านี่จะเป็นคืนสุดยิ่งใหญ่ของดนตรีร็อกแอนด์โรลล์!” จากนั้นก็เข้าเพลง Bad ที่ทั้งสนามร่วมใจกันยกมือถือขึ้นมาเปิดไฟฉาย และมีการแทรกเพลง Run ของ Snow Patrol ด้วยท่อน Louder Louder ก่อนจะบอกทุกคนว่า “เราได้ยินเสียงทุกคนนะ!”

ทิ้งท้ายเซ็ตแรกไปด้วย Pride (In The Name Of Love) ที่โบโน่ก็ยังโชว์เสียงท่อนฮุกที่แหลมปี๊ดได้ทรงพลังมาก ๆ ซึ่งด้วยความเป็น activist ก็เลยมีการพูดตอนท้ายเพลงว่า “สำหรับสิทธิมนุษยชน สำหรับสิทธิพลเมือง สำหรับคนที่ปกป้องสิทธิเหล่านั้นอย่าง Amnesty เราร้องตะโกนให้พวกเขา!” จากนั้นก็ปิดท้ายเพลงนี้ด้วยเสียงร้องของผู้ชมทั้งสนามที่ร้องท่อน โอะ โอโอ๊ะโอ๊ะ โอะ โอโอ๊ะโอ๊ะ พร้อมกัน คือเติมพลังมากจริง ๆ

U2 Joshua Tree Where The Streets Have No Name

จากนั้นก็เข้าช่วงอัลบั้ม The Joshua Tree ที่วงเดินกลับมาใต้ต้น Joshua Tree กับพื้นหลังสีแดง แล้วโบโน่ก็ยกมือขวาขึ้นตามภาพจำของทัวร์นี้ พอเพลงแรกเริ่มเล่น เวทีจากที่เป็นรูป Joshua tree เฉย ๆ ก็เปลี่ยนเป็นวิชวลแบบชัดมาก ๆ ระดับจอไอแมกซ์​เต็มความยาวของจอ ซึ่งพอขึ้นเพลง Where the Streets Have No Name พร้อมกับคลิปคนกำลังเดินอยู่ริมถนน highway ระหว่างรัฐ ประเด็นคือพอเจอวิชวลดีขนาดนั้น กับเพลงที่เราฟังมา 10 ปีก็คือน้ำตาไหลออกมาเองเลย ฮือ มันดีมาก ๆ ตอนท่อนฮุกสุดท้ายโบโน่ก็ไปยืนอยู่ด้านหลังของแลร์รี่ด้วย เท่มาก ก่อนจะต่อด้วย I Still Haven’t Found What I’m Looking For และ With Or Without You ที่มากับวิชวลทิวทัศน์สุดสวย ซึ่งเป็นอีกครั้งที่คนก็ร่วมร้องท่อน โอ้ โอ โอ โอ่ กันลั่นฮอลล์ จากนั้นเข้าช่วงเพลงลึกหน่อยจากอัลบั้มอย่าง Bullet The Blue Sky เป็นเพลงต่อมาที่ฉายภาพสมาชิกวงขึ้นจอแบบติด effect VHS สุดเท่ และ Running To Stand Still ที่ The Edge มือกีตาร์ขยับมาเล่นคีย์บอร์ด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเพลงที่มีท่อน ah la la la de day ชวนทุกคนร้องตามลั่นสนาม แล้วโบโน่ก็โชว์เล่น mouth organ ก่อนจะเป็น Red Hill Mining Town ที่เราก็เพิ่งเคยฟังตอนเริ่มเตรียมตัวมาดูคอนเสิร์ต แต่กลายเป็นเพลงที่เราชอบเสียงเครื่องเป่ามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่ชอบ ซึ่งก็แอบคิด ๆ มาว่า วงจะทำไงกับเครื่องเป่าในเพลงนี้ ปรากฏ​ว่าก็ใช้วิธีฉายรูปวงเครื่องเป่าทั้งวงขึ้นจอทั้งเพลง แถมยังมีช่วงแบบถ่ายวงขึ้นจอฝั่งซ้ายให้หันหน้าประชันกับวงเครื่องเป่าฝั่งขวาด้วย เท่มาก ๆ จบเพลงโบโน่บอกว่า “เพลงนี้มีความหมาย​กับพวกเรามาก หวังว่าพวกคุณ​จะรู้สึก​แบบเดียวกัน” แต่ยังซึ้งไม่ทันเสร็จก็บอกว่าต่อว่า “แต่เอาจริง ๆ นะ พวกคุณยังไม่เกิดเลยไม่ใช่เหรอตอนที่เพลงนี้ปล่อย”​ ฮา “ถ้าตอนนี้เป็นคาสเซ็ตต์เทป คุณกำลังจะต้องเปลี่ยนหน้าพวกเราไปอีกด้านนะ”

U2 Red Hill Mining Town

“หลาย ๆ คนคิดว่าประเทศของเราเป็น God’s Country” โบโน่บอก “แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจเสรีภาพและประชาธิปไตยมากพอ ประเทศอันสวยงามอาจจะเละเทะในพริบตาได้” จากนั้นอินโทรเพลง God’s Country ก็ดังขึ้นพร้อมกับภาพต้น Joshua Tree ที่ถูกสาดแสงสีต่าง ๆ ใส่ จากนั้นเป็น Trip Through Your Wires และ One Tree Hill กับเพลงจังหวะสนุก ๆ ที่มาพร้อมวิชวลรูปพระจันทร์สีเลือด ซึ่งโบโน่บอกว่ามอบให้ Greg Carroll ทีมงานของวงชาวนิวซีแลนด์ที่เสียชีวิตขณะกำลังทำอัลบั้มนี้

ก่อนจะเป็น Exit ที่เปิดด้วยคลิปภาพจากภาพยนตร์เก่า ๆ ซึ่งคิดว่าตั้งใจมาแซะ Trump ที่จะสร้างกำแพง ซึ่งมีร้องเพลงเด็กอย่าง Eeny Meeny Miny Mo กับ Gloria ของ Van Morrison ด้วย ต่อด้วย Mother Of The Disappeared เพลงที่มีอินโทรเป็นเสียงเครื่องสเกลอินเดีย กับภาพของกลุ่มคนที่ยืนถือเทียนอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ เป่าให้ดับไปทีละแท่ง จบเซ็ตนี้ ทั้งสี่ก็มายืนโค้งริมเวที ก่อนโบโน่จะถามว่า “ที่พวกเราเล่นใต้ต้นไม้เป็นไงบ้าง?” ก่อนทุกคนจะกลับไปประจำที่ แล้วเพลงจังหวะร็อกแอนด์โรลล์ Angel Of Harlem ก็ดังขึ้นทิ้งท้ายก่อนอังกอร์

U2 Vertigo Joshua Tree 2019 Singapore

คนก็อังกอร์ตามระเบียบ แต่ตอนนั้นคนดูก็เหนื่อยจนต้องร้องขอชีวิตแล้ว หมดแรงมาก ๆ ไม่รู้ลุง ๆ เค้ามีแรงขนาดนั้นได้ยังไง พอกลับขึ้นมาก็เปิดตัวมาด้วยคลิปของวงกำลังเดินเข้าจอมาทีละคน ซึ่งพอวงมาจริง ๆ ก็มากับชุดธีมนักมายากลวิบวับที่โบโน่เล่นกับกล้องอย่างสนุกสนาน เปิดด้วย Elevation ที่โบโน่ตะโกนว่า “ทุกคนพร้อมจะลอยหรือยัง!” แล้วก็ Vertigo ที่เราจะเมาวิชวลตามจริง ๆ ด้วยสีแดงจัดเหลืองจัด swirl ไปทั่วเวที จบเพลงหลังจากคนร่วมร้องท่อน โว้ โอ โอ้ โอะ ก็มีให้ทุกคนร่วมร้อง Joan Jetts –  I Love Rock ‘n’ Roll ที่โบโน่บอกว่า “คืนนี้เราเป็นโชว์ร็อกแอนด์โรลล์ที่ดีที่สุดที่ National Stadium!” อะ ๆ ก็ได้ ก่อนจะเริ่มแนะนำสมาชิกทั้งสามคนแบบขำ ๆ กวนกันเอง ตามด้วย Even Better Than A Real Thing ที่มาพร้อมกับลูกบอลดิสโก้ขนาดใหญ่ ซึ่งเพลงนี้โบโน่ก็เล่นกับกล้องวิดีโออัตโนมัติบนเวทีอย่างสนุกสนาน แล้วเพลง Every Breaking Wave ก็ดังขึ้นซึ่งเป็นอีกครั้งที่ The Edge มาเล่นเปียโน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเพลงซึ้ง ๆ ที่อาจจะเรียกน้ำตาหลายคนได้เลย แล้วเป็น Beautiful Day ที่ตอนจบโบโน่บอกว่า “เมื่อเพศไหนก็รักกันได้ มันเป็นวันที่สวยงาม! เมื่อน้องสาวได้เข้าเรียนในโรงเรียน​เหมือนพี่ชาย มันเป็นวันที่สวยงาม! เมื่อผู้หญิงรวมพลังกันเขียนประวัติศาสตร์​ขึ้นมาใหม่ให้เป็น herstory มันคือวันที่สวยงาม!” เพื่อเข้าเพลงต่อไป Ultraviolet (Light My Way) ที่ฉายภาพสาว ๆ จากทั่วโลกผู้มีอิทธิพล​ ผู้เปลี่ยนโลก และชวนให้ร่วมองค์กร one.org

ประเด็นคือเพลงสุดท้ายนี่แหละ ซึ่งเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ก่อนขึ้นเพลงโบโน่ก็ขอบคุณทีมงาน ขอบคุณผู้จัด ชื่นชมที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่จะโตไปเป็นเมืองไซไฟ และชื่นชมที่ยอมรับในความแตกต่างด้านศาสนา ที่เขาอยากให้ทั้งโลกร่วมมือร่วมใจแบบนี้ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า Bless You, Thank You ซึ่งพอเพลงนี้ขึ้นก็คือร้องไห้เป็นบ้าด้วยเนื้อเพลงที่ชวนรักเพื่อนมนุษย์ ‘One love, one life. When it’s one need in the night. One love, we get to share it. Leaves you baby if you don’t care for it’ คือร้องไห้ยันจบเพลง ยันวงโบกมือบ้ายบายลงเวที ยันเดินออกจากสนามเลย ความรู้สึกตอนนี้คือ ฮือออ ได้ดูแล้วโว้ย! ขอบคุณ​ตัวเองที่กล้าซื้อตั๋วมาดูคนเดียวทั้ง ๆ ที่เป็นอินโทรเวิร์ตหนักมาก แถมกลัวเป็นลมกลางโซนยืน แต่ก็ผ่านไปได้ คือบอกตัวเองตั้งแต่เพลงแรก ๆ เลยว่า มาอีกก็ดูอีก!

U2: The Joshua Tree 2019

มีช่วงพูดคุยตอนหนึ่ง (ขอโทษ จำช่วงไม่ได้) โบโน่เล่าว่า “รู้ไหมว่ามีสมาชิกคนหนึ่งเคยอยู่สิงคโปร์ด้วย” และนั่งคือ Adam Clayton มือเบสซึ่งเคยอยู่ตอนเขาอายุ 14 นั่นเอง แกก็บอกว่า “สิงคโปร์เป็นประเทศที่ดีมากสำหรับเด็กอายุ 14” แล้วทั้งวงโดยเฉพาะแลร์รี่มือกลองก็ยังฟิตมาก ๆ แรงแทบไม่มีตก ซึ่งเราก็เชื่อว่าความสุขของการได้ดู​ U2 ไม่ว่าจะเคยดูแล้วหรือเพิ่งดูครั้งแรกอย่างเรา ก็น่าจะสัมผัสถึงความสุขของดนตรีไร้พรมแดน ที่คนทั้งโลกสามารถรู้สึกได้แบบเดียวกัน

อ่านต่อ

งอนจนได้ดี! เมื่อ โบโน่ นักร้องนำ U2 แต่งเพลง ‘Sweetest Thing’ ง้อเมีย แต่ดันฮิตจนติดชาร์ต

U2 and I การตั้งใจไปหาคำตอบที่รอคอยมานานกว่า 15 ปี

สนทนากับ Marcus และ Ted จาก Mumford & Sons ก่อนจะไปฟังดนตรีโฟล์กร็อกของพวกเขาเป็นครั้งแรกในไทย!

Cry Power Podcast with Hozier: มาฟังศิลปินรุ่นใหญ่ถกประเด็นระดับโลก

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่