ตะโกนร้องเพลงของ The Whitest Crow กันให้สุดเสียงในโชว์ครั้งสุดท้าย Goodbye Crows
- Writer: Nattapat Suthapornpat
Goodbye Crows คือคอนเสิร์ตอำลำของเหล่ากาขาว The Whitest Crow เนื่องจาก เบ็น มือกลองต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษ ทำให้พวกเขาต้องพักวงกันไปก่อน ในงานนี้พวกเขาขนเซ็ตลิสต์กว่า 20 เพลงมาให้เราฟังกันอย่างจุใจ จากการที่ได้เป็นหนึ่งในสักขีพยานของงานเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา พูดได้เลยว่าเป็นอีกงานที่สนุกมาก ๆ
เราไปถึงงานประมาณทุ่มกว่า ๆ ก็เห็นทีมงานของวงออกมาต้อนรับคนดูกันอย่างขยันขันแข็ง ส่วนทีมวิชวลอย่าง DonBoy ก็กำลังเซ็ตอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้นมาจากบูธดีเจที่ได้ DJ MEO มาเปิดเพลงอีโมเผาเครื่องให้คึกคักกันตั้งแต่เริ่ม เซ็ตในวันนี้บอกได้เลยว่าถูกใจชาวอีโมอย่างแน่นอน เพราะเพลงที่เปิดมีตั้งแต่วง A Day To Remember, Anberlin, Saosin ยัน Welcome To The Black Parade ของ My Chemical Romance เพลงประจำออฟฟิศฟังใจที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องตามสุดเสียง
มาสนุกกันต่อด้วยวงเปิดวงแรกอย่างเป็นทางการกับ De Flamingo ที่มาจากถิ่นศาลายาเช่นเดียวกับวงหลักในวันนี้ พวกเขาเลือกหยิบ PINK เพลงมัน ๆ มาเสิร์ฟความสนุกกันให้ตั้งแต่แรกเริ่ม ต่อเนื่องด้วย ยัง เพลงลุย ๆ ที่มีไลน์เบสสะใจสองรูหูของเราสุด ๆ แล้วทางวงก็ผ่อนจังหวะลงมาเล่นเพลงที่มีกรูฟเซ็กซี่ ๆ อย่าง ขี้กลัว พอจบเพลงนี้ โบนัส ก็บอกว่า “คืนนี้เราไม่ได้มาเล่นในฐานะนักดนตรี แต่มาในฐานะแฟนคลับของพี่ ๆ The Whitest Crow” ซีนนี้ได้ใจคนดูไปเต็ม ๆ แล้วพวกเขาก็บรรเลง แค่อีกครั้งเดียว เพลงสุดเศร้าของทางวง ในช่วงท้ายมีท่อนโซโล่กีตาร์ที่ทำเอาคนดูซึมกันไปเป็นแถบ ๆ จากนั้นทางวงก็ขยี้อารมณ์กันต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงหน่วง ๆ อย่าง น้ำตาเทียม พร้อมชวนทุกคนให้เปิดแฟลชมือถือร่วมสร้างบรรยากาศในค่ำคืนนี้ แล้วโบนัส ก็บอกหลังจบเพลงนี้ว่า “เราเศร้ากันแค่สองเพลงพอแล้ว” พร้อมจัด รั้น ที่หนุ่ม ๆ สับกีตาร์กันอย่างเมามัน ท่อน outro ของเพลงนี้สนุกมาก ทำเอาเราโยกจนเหนื่อยเลยทีเดียว ตามมาด้วย คนสำคัญ ที่คนดูร้องตามกันได้อย่างพร้อมเพรียง และปิดด้วย ฟังก่อน อีกหนึ่งเพลงสนุก ๆ ก่อนไปพบกับวงหลัก
เวลาประมาณสี่ทุ่มนิด ๆ The Whitest Crow ก็ตบเท้าเข้ามา พร้อมทักทายแฟน ๆ ก่อนจะซัดเพลงเปิดด้วย Feather Bureau ที่มีจังหวะเร้า ๆ ฟังแล้วฮึกเหิม ชวนให้ทุกคนร้องตามกันในท่อน ‘Life will turn you to something new’ พอจบเพลงนี้ เติ้ล ก็ถามอย่างติดตลกว่า “ไหนมีใครอยากกลับบ้านยัง?” เรียกเสียงฮาไปได้หนึ่งครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงจังหวะกลองแน่น ๆ ชวนให้คนดูปรบมือตามจังหวะ เป็นอันรู้กันว่าถึงคิวของ Set The Love on Fire ที่ในตอนนี้วิชวลเป็นสีแดง ๆ มีเงาวิ่งไปวิ่งมา ต่อมาเป็น Lotus Analysis เพลงร็อกดุดันที่ช่วงท้ายมีเปลี่ยนจังหวะให้หนืดลง
ตามมาติด ๆ ด้วยเพลงดุเดือดอย่าง Siam Psyche ที่มาพร้อมท่อนร้องกระแทกใจ ‘Welcome you to Siam Psyche’ แล้วทางวงก็เข้าเพลง Bangkok Blondie ได้อย่างแนบเนียน พอได้ยินอินโทรกีตาร์วิ่ง ๆ ก็ทำเอาคนดูอย่างเรารวมถึงคนรอบ ๆ กรี๊ดแตกกันเลยทีเดียว เพลงนี้นี่กระโดดกันสนุกเลย พอจบเพลงนี้เติ้ลก็ขอเสียงคนดูอีกรอบว่า “มีใครมาดูตั้งแต่ DJ MEO บ้าง?” แล้วก็มาถึงคิวของ I.C.S.T.O.Y. อีกหนึ่งงานชุดแรก จากนั้นก็เป็น Your Soul ที่ขนาดช่วงต้น ๆ ไม่มีดนตรีคลอไปด้วย คนดูยังร้องตามกันลั่นร้าน NOMA ต่อมาคือเพลงที่มีเสียงร้องเซ็กซี่ขยี้ใจสาว ๆ อย่าง Can’t Get Any Higher ก่อนจะเป็น How Can You Leave It เพลงดิบ ๆ ที่เจือกลิ่นอายไซคีเดลิกเข้ามาด้วย จากนั้นก็ได้เวลาเศร้าซึม เพราะเพลงต่อไปคือ แม้เธอไม่อยู่ ได้ฟังแล้วทำเอาเราอินมาก ๆ เพราะมิวสิกวิดิโอเพิ่งปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ด้วย แล้วยังมีคนดูที่ช่วยกันเปิดแฟลชมือถือส่องแสงไปมา เป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ
พอทางวงเห็นคนดูเริ่มนิ่ง เติ้ลก็ถามขึ้นมาว่า “มีใครคิดว่าตัวเองฉลาดมาก ๆ ไหมครับ แต่รู้ก็เหมือนไม่รู้” แน่นอนว่าถึงคิวของ รู้ก็เหมือนไม่รู้ เพลงที่ปลุกให้คนขึ้นมาเต้นกันอีกรอบ ตามด้วย Scopolamine เพลงไซคีเดลิกสุดล่องลอย มาพร้อมไฟสีม่วงตัดกลับวิชวลเมา ๆ สีแดงที่เคลื่อนไหวไปมา แต่จังหวะนี้ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลก็ทำเอาเราเมาแล้วจริง ๆ จากนั้นไปมันกันต่อด้วย Give Up On Love ที่มีไลน์เบสนัว ๆ พร้อมช่วยกันร้องท่อน ‘I never give up on love’ ให้ดังลั่นร้าน แล้วก็ดร็อปจังหวะลงด้วยการหยิบ Follow The Heart มาเล่นให้คนดูได้พักกันสักนิด ต่อด้วย Ride with Me Free Nippana อีกหนึ่งเพลงที่มีเมโลดี้มึนเมา พอมีเสียงวืบวาบยิ่งหลอนเข้าไปอีก พอจบเพลงนี้ก็อินโทรที่คุ้นหูก็ลอยเข้ามาในหู กลายเป็นว่าทางวงหยิบ Don’t Look Back In Anger ของ Oasis มาเซอไพรส์ พวกเขานี่แหละคือวงที่เคยไปเป็นวงเปิดให้กับร็อกสตาร์อย่าง Liam Gallagher มาแล้ว พอจบเพลง ความสนุกก็ไม่ได้จบแค่นี้ เติ้ลยังบอกต่อว่า “ที่คนฟังวงเราเพราะเค้าชอบ Arctic Monkeys แต่จริง ๆ แล้วเราไม่เคยเล่นเพลงของวงนี้ให้ฟังเลยนะ” แล้วทั้งสีก็คัฟเวอร์เพลง Don’t Sit down ‘Cause I’ve Moved Your Chair ของลิงขั้วโลกให้ฟังจริง ๆ
จากนั้นก็เป็น Little Fox ที่ได้กลิ่นอายความหนักหน่วงของเพลงสโตนเนอร์ร็อกยุคเก่า ๆ เข้ามา ตามด้วย Forever Hide and Seek เพลงเศร้า ๆ ชวนให้จมอยู่กับซาวด์ดนตรีอันหม่นหมอง ก่อนจะเป็น The Last Little Piece เพลงโทนสว่างไสวที่ฉุดเราขึ้นมาจากเพลงก่อนหน้านี้ แล้วก็เป็น เรืออัปปาง เพลงเศร้าที่มีดนตรีดุดัน ช่วงท้ายสาดดนตรีกันจัดจ้านมาก ๆ ถึงตอนนี้แม้จะเหนื่อยแล้ว แต่ก็ต้องงัดพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อออกไปเต้นกับเสียงเพลงของ Be With You ก่อนทางวงจะส่งท้ายด้วย ไม่เป็นไร สุดยอดเพลงปลอบใจในวันที่เราอ่อนล้า เราและพี่ ๆ น้อง ๆ รอบตัวร่วมกันกระโดดโลดเต้นไปพร้อม ๆ กันอย่างสนุกสนาน รับพลังจากวงไปอย่างเต็มเปี่ยม เป็นเพลงที่ปิดโชว์ในค่ำคืนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พอ The Whitest Crow เล่นเสร็จ ก็มีเพลงของ S.O.L.E. ลอยขึ้นมาให้คนได้เต้นกันสักพักก่อนที่งานจะจบลงอย่างเป็นทางการ มาถึงจุดนี้ก็รู้สึกใจหายกับการที่เราจะไม่ได้ยินเสียงดนตรีจากพวกเขาแล้ว แต่จากการได้มาเป็นส่วนหนึ่งของค่ำคืนนี้ ประกอบกับแววตาและจิตวิญญาณแห่งร็อกแอนด์โรลของพวกเขาทั้งสี่คน เราเชื่ออย่างลึก ๆ ว่าพวกเขาจะต้องกลับมาสักวันแน่นอน