พาไปดู Suchmos THE LIVE YOKOHAMA หมดข้อสงสัยทำไมโชว์หมื่นที่นั่งจึง Sold Out
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Sony Music Japan
25 พฤศจิกายน 2561
Suchmos คือวงดนตรีร็อกญี่ปุ่นจากเมืองโยโกฮาม่าที่หลงใหลในแนวดนตรีฟังก์ โซล แจ๊ส จากการที่หลายเพลงของพวกเขาที่เราได้ฟังชวนนึกไปถึงวงเท่ ๆ อย่าง Jamiroquai หรือแม้กระทั่ง Bee Gees ก็ตาม แต่ด้วยลักษณะทางคอร์ดหรือการเรียบเรียงแบบป๊อปญี่ปุ่นก็ทำให้งานของพวกเขามีเอกลักษณ์อยู่พอตัว ที่สำคัญ เราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากแฟนเพลงชาวไทยเฉพาะกลุ่มที่ให้การติดตามอย่างเหนียวแน่น บอกว่าการแสดงสดของพวกเขาไร้ที่ติและควรหาโอกาสไปดูสักครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าวันนึงจะได้ไปดูคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเขาที่ Yokohama Arena เมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยบัตรกว่า 15,000 ที่นั่งขายหมดในเวลาอันรวดเร็วทั้งสองรอบ (รอบแรกคือวันที่ 24 พ.ย. รอบที่เราได้ไปดูคือวันต่อมา)
เราไปถึงที่ Yokohama Arena ช่วงประมาณห้าโมงเศษ โดยโมโทโกะซัง ทีมงาน Sony Music Japan ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราและผู้ร่วมทริปอีกสองท่าน พี่แพท บุญสินสุข และพี่กล้าม จากเพจเสพสากล โดยนี่เป็นครั้งแรกของพวกเราทุกคนในการดูคอนเสิร์ตของวงญี่ปุ่น ในสเตเดียมญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ๆ ก่อนเริ่มโชว์ผู้ชมทยอยเดินเข้ามาในฮอลจนเกือบเต็มทุกที่นั่ง (พี่แพทเล่าว่าฮอลนี้จุได้ประมาณ 17,000 ที่นั่ง แต่เวลามีคอนเสิร์ตจะกันไว้น้อยกว่านั้นสองพันที่นั่ง) และจะเริ่มมีทีมงานเดินถือป้าย no photography, no video ไปทั่วงาน เราสังเกตเห็นว่ามีโซนสำหรับผู้ทุพพลภาพ คนนั่ง wheelchair ก็สามารถเข้าร่วมชมคอนเสิร์ตได้อย่างสบาย ๆ บ้านเมืองเขาใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จริง ๆ ระหว่างนั้นก็มีเพลงคลาสสิกร็อกเปิดคลอ แล้วก็มีเพลงของ Queen ด้วย
อย่างที่รู้กันว่าญี่ปุ่นเขาตรงต่อเวลามาก ประมาณหกโมงเย็นนิด ๆ ไฟในฮอลก็ดับลง น่าสนใจที่คอนเสิร์ตบ้านเขาเริ่มไวมาก อาจเพราะเรื่องตารางรถไฟเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ ในญี่ปุ่นเพราะคนส่วนใหญ่จะสัญจรกันด้วยวิธีนี้เป็นหลัก และถ้าพลาดขบวนสุดท้ายไปก็จะต้องเจอกับค่าโดยสารที่แพงระยับของพี่ ๆ แท็กซีมิเตอร์ เพลงอินโทรของโชว์ดังขึ้น ตามปกติแล้วเวลาแบบนี้ถ้าเป็นคอนเสิร์ตในไทยหรือที่ไหนก็ตามจะต้องได้ยินเสียงกรี๊ดโหวกเหวกโวยวายของผู้ชมกันแล้ว แต่ที่นี่คนเงียบกริบกันทั้งฮอล บอกเลยว่าเปิดประสบการณ์ใหม่มาก ๆ คนดูสุภาพสุด ๆ ปกติในเฟสติวัลที่เคยไปอย่าง Fuji Rock มันจะพอมีคนเฮฮาโวยวายบ้าง เป็นบรรยากาศเฟสติวัลมัน ๆ สนุก ๆ แต่อาจจะงานพวกนั้นมีต่างชาติเยอะก็เป็นได้ และเมื่อ Suchmos ปรากฏตัวบนเวที เสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นฮอล แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นจริง ๆ ทุกคนกลับมาตั้งใจฟังกันตามเดิม และเพลงที่พวกเขาเล่นคือ A.G.I.T กับอินโทรลีดกีตาร์สุดเท่
สิ่งที่ทำให้เราขนลุกได้ทุก ๆ ขณะคือความชัดของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่ออกมา รายละเอียดคมชัดมาก แม้เสียงแกรก ๆ จากร่องไวนิลที่เข็มขูดลงไป อันนี้ไม่เกินจริงเลย แล้วสิ่งที่เราได้ยินจาก audio version พอได้ฟังสดคือคูณพลังเข้าไปอีก 10 เล่นดีเล่นแน่นกันทุกคนมาก ๆ โดยเฉพาะ Kasai Yosuke หรือ Yonce นักร้องนำที่เอเนอร์จี้ล้นเหลือมาก ไม่ว่าจะเต้น วิ่งไปรอบ ๆ หรือพลังเสียง แม้จะมีร้องเพี้ยนบ้างแต่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาสามารถเอ็นเตอร์เทนคนดูได้อยู่หมัดจริง ๆ แม้แต่การเล่นกีตาร์ของเขาที่นาน ๆ จะหยิบขึ้นมาเล่นทีก็บอกได้ว่าเฉียบขาด อีกคนที่ยกตำแหน่ง man of the match ให้คือมือเบส Hsu หรือ Hayata Kosugi ผีบ้ามาก ๆ อย่างพริ้ว นิ้วอย่างไว ยืนเฉย ๆ ก็เท่แล้ว ตอนเล่นยิ่งเท่ขึ้นไปอีก อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มคิดว่า เอะ ทำไมชื่อสมาชิกวงนี้มันแปลก ๆ กันหมดเลย จริง ๆ ก็แปลกตั้งแต่ชื่อวงแล้ว ซึ่งเราก็ได้คำตอบจากทีมงานว่า Suchmos เนี่ย เป็นชื่อเล่นของ Louis Armstrong มือทรัมเป็ตแจ๊สก้องโลกที่มาจาก ‘Satchmo’ ซึ่งย่อมาจาก ‘Satchelmouth’ อีกที (มีเรื่องเล่าว่าเขาได้ชื่อเล่นนี้เพราะตอนเด็ก ๆ ลุยส์ อาร์มสตรองเต้นเพื่อหาเลี้ยงชีพ แล้วเอาเหรียญเก็บไว้ที่ปากเพื่อไม่ให้เด็กที่โตกว่าขโมยไป อีกเรื่องเล่าบอกว่าที่ได้ชื่อนี้เพราะเขาใช้ปากหาเงินเหมือนเป็น ‘กระเป๋าสตางค์’ แต่อีกเรื่องเล่ากลับบอกว่าเพราะปากของเขาดูหนาและใหญ่) ซึ่งวงนี้ก็ใช้วิธี stylize ให้อ่านง่ายขึ้นด้วยการสะกดเป็นคำที่ออกเสียงคล้ายกัน และเพิ่ม s เข้าไปเพราะพวกเขามีกันหลายคน เท่านี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า Suchmos ได้อิทธิพลจากดนตรีแจ๊สมาไม่น้อยเลย (สมาชิกคนอื่น ๆ ก็ใช้ชื่อเล่นทั้งสิ้น มือกีตาร์ Taiking (Totsuka Taiki), มือกลอง OK (Ohara Kento), DJ KCEE (Ohara Kaiki) แต่มือคีย์บอร์ดน่าจะเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมใช้ชื่อเล่น Sakurauchi Taihei)
เพลงต่อไปที่พวกเขาเล่น YMM ก็ใส่ท่อนแร็ปเป็นการทักทายคนดูเข้าไปในอินโทร ‘We’re Suchmos in Yokohama city’ เพลงนี้มีแอบร้องท่อนนึงในสไตล์แจ๊สแบบ bebop ด้วย เท่มาก แล้วยังมีการอิมโพรไวส์ทักทายชาวโยโกฮาม่าเรื่อย ๆ กับเพลงต่อไปที่มาในจังหวะโซลกระฉับกระเฉงกับ Alright แล้วก็ต่อกันที่เพลง Dumbo แบบไม่หยุด ‘Are you ready, Yokohama?’ Yonce พูดพร้อมอินโทรเบสเสียงแตกสุดปั่นป่วน เพลงนี้ทำให้เรานึกถึง Feel Good Inc. ของ Gorillaz แต่มีเอเลเมนต์ของแจ๊ส และกีตาร์ที่ดีดยกแบบ skanking ในเพลงสกา งงไปเล่ย! ส่วนผสมเขาหลากหลายมากแต่ลงตัว เพลงนี้เริ่มสนุกขึ้นมาสำหรับเราแล้ว แต่เราก็ไม่กล้าโยกแรงมาก เพราะคนดูเขานิ่งกันมาก ๆ เลย ฮื่อ
จากนั้นก็เป็นช่วงที่เขาพูดทักทายกับคนดู (แน่นอนเราฟังไม่ออก ตบมือตามน้ำไป) ก่อนจะส่งโซลซาวด์หวานหยาดเยิ้มใน Get Lady มาให้ฟังกัน กรูฟแบบนี้ทำเอาเราเคลิ้มได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไลน์เบสสุดลุ่มลึก ตามด้วย Fallin’ ที่เพิ่มอินโทรท่อนหน่วงหนืดเข้ามายาวนาน ก่อนจะเข้าสู่ท่อนเวิร์สปกติของเพลงที่เร่งจังหวะขึ้นมาหน่อย และท่อนฮุกที่ได้ใจเราไปเต็ม ๆ กับกีตาร์รีเวิร์บก้องกังวานหวานบาดลึก ถ้าไม่ได้ตีด้วยจังหวะกลองแบบฟังก์ ก็แทบจะเป็น shoegaze ดี ๆ เพลงนึงเลย โซโล่ท้ายเพลงก็งดงามมาก แต่พวกเขาก็ทิ้งเราจมดิ่งได้ไม่นาน ฉุดขึ้นมาจากห้วงอารมณ์ด้วยเพลงที่คงได้แรงบันดาลใจจาก Come Together ของ The Beatles มาพอตัวเลยกับไลน์เบสท่อน ตึด ตึด ตื่อดือดือ ดื๊อ ในเพลง Burn และอินโทรเคว้งคว้างของซินธิไซเซอร์ พร้อมเสียงร้องของ Yonce ‘Turn on the radio, turn on the radio!’ เพื่อเข้าเพลง Stay Tune นูดิสโก้สุดเท่ที่ชักชวนให้เราลุกขึ้นมาเต้น (แต่ก็ได้แค่โยกกับที่ เพราะไม่มีใครเต้นเลย! มากสุดคือคนดูจะยกมือชูขึ้นโบกตามจังหวะ อีกนิดจะไม่ไหวแล้ว!!!) เพลงนี้เป็นเพลงที่ พี่ขิง อดีต AE ของ ฟังใจ ซึ่งเป็นแฟนคลับของ Suchmos แนะนำให้เราลองฟังเมื่อนานมาแล้ว ก็ยอมรับว่าตอนนั้นยังไม่ได้ชอบ แต่พอได้ฟังสด ๆ ตั้งแต่ต้นโชว์แล้วเนี่ย โดนตกจริง ๆ
เพลงต่อไปคือเพลงที่ Yonce หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นตัวเดียวกับคอร์ดเท่ ๆ ที่สะกดเราเอาไว้อยู่หมัด นี่คือเพลงใหม่ล่าสุดของพวกเขาชื่อ The Zoo ที่ยังไม่มีให้ฟังที่ไหน ความรู้สึกเหมือนสักเพลงที่เป็นเพลงช้าของวง Beck (การ์ตูนญี่ปุ่นนะ) ที่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน จากนั้นก็เป็นเพลง Pacific กับอินโทรที่เป็นท่อนเพิ่มเข้ามา ด้วยซินธิไซเซอร์สุดไพเราะ และเสียงเคาะกลองเบา ๆ ก่อนที่ Yonce จะเริ่มร้องแอดลิบคลอไปกับกีตาร์รายละเอียดน้อย ๆ ที่แกร๊งขึ้นมาทีไรก็ขนลุกทุกที เพียงเท่านั้นก็ทำให้เราล่องลอยไปกับหาดสวรรค์ของพวกเขาแล้ว เท่านั้นไม่พอ วิชวลที่กำลังฉายอยู่เหมือนพระอาทิตย์ดวงใหญ่ทำให้เรารู้สึกถูกกระทำด้วยพลังบางอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ฟังเวอร์ชันพิเศษของเพลงนี้ แตกต่างจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง บวกกับแต่ละท่อนที่พวกเขาใส่เข้ามาในเพลงเหมือนเป็นเรื่องเล่าแต่ละพาร์ต ค่อย ๆ ขยี้ความรู้สึกเข้าไป ซึ่งเราบอกไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกสุขหรือเศร้า แต่ก็ร้องไห้ออกมาแล้ว โดยเฉพาะกับจังหวะที่แสงสีแดงอมส้มฉาบไปทั่วฮอล โอ้โห อานุภาพมันยิ่งใหญ่มาก เพลงนี้ทำให้เรารักวงนี้เข้าแล้วจริง ๆ น่าเสียดายมากที่พอกลับมาฟังต้นฉบับแล้วคือ ขอแบบเวอร์ชันที่เล่นสดได้ไหม! มันเกินคำบรรยายกับประสบการณ์ตรงนั้นที่คงไม่ได้กลับไปอีกแล้ว (แน่นอนเขาไม่ให้บันทึกภาพนิ่งหรือวิดิโอตลอดโชว์ และน่าทึ่งจริง ๆ ที่เราไม่ได้เห็นหน้าจอมือถือของใครสว่างวาบขึ้นมาเลย)
จบเพลงนั้นแล้วก็ได้แต่เอามือปาดน้ำตา ทิ้งให้อารมณ์ปริ่มความประทับใจอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ทันไรวงก็ตัดอารมณ์ด้วย Funny Gold เพลงฟังก์ป๊อปใส ๆ จังหวะน่ารักชวนโยก กับไฟสีสวยที่พวยพุ่งไปรอบทิศทาง ซึ่งตอนท้ายเพลงเขาก็ขึ้นท่อนอิมโพรไวส์เสียงสูง perfect pitch จนเราขนลุกไปหมด และเป็น Mint อีกเพลงน่ารักไม่ให้ไวบ์โยก ๆ ในเพลงจังหวะกลาง ๆ นี้หายไปไหน สังเกตว่าเพลงนี้ไลน์เบสกวนมาก เล่นแบบ laid back คร่อมจังหวะเบา ๆ บ้าไปแล้ว และเพลงนี้เอง You’ve Got the World ทำให้เราขนลุกตั้งแต่อินโทร ใครจะไปคิดว่าวงที่โปรโมตตัวเองด้วยเพลงฟังก์ แจ๊ส มาโดยตลอด จะเล่นไซคีเดลิกร็อกที่โคตรเท่ โคตรถึง ขนาดนี้ โห ตอนนั้นเราแทบก้มกราบในความกล้าบ้าบิ่นของพวกเขาเสียเหลือเกิน ภาพจำของ Suchmos ที่เคยมีถูกกลืนหายไปหมดสิ้นในเพลงนี้ อาจเป็นเพราะว่าเป็นเพลงจากอัลบั้มล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาในปีนี้อย่าง The Ashtray อาจจะเลือกเปลี่ยนแนวดนตรีไป โคตรจะมีความ 90s baggy แล้วเล่นนานมาก ๆ น้องปริ่มเลย ความ Oasis และ The Stone Roses อิ่มเอมมาก ๆ ครับ แล้วตามด้วยเพลง Snooze เพื่อให้มีความสโตนเนอร์อย่างต่อเนื่องด้วยคอร์ดหน่วง ๆ มึน ๆ สุดพิศวง อันนี้เท่มากจากเสียงสแครตช์แผ่น กับความกรูฟของเบส คีย์บอร์ดแบบยุค 70s และจังหวะกลองในเพลง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรานั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะเป็นช่วงดีเจที่จัดแทร็คหลากแนวมารัว ๆ KCEE ชอบอะไรจะได้ฟังอย่างนั้น มาตั้งแต่ drum n’ bass ยุค 90s เก่า ๆ เล้ย โห อีนี่ก็ลุกขึ้นเลยครับ ไม่อายแล้ว จากนั้นก็เป็นแทร็คดิสโก้มารัว ๆ ไม่เต้นไม่ได้จริงแก ซึ่งเป็นการเปิดเข้าศักราชใหม่ของวงในเพลง 808 ได้เป็นอย่างดี เพลงนี้คือแทบจะได้ reference ของเพลงยุคนั้นมาเต็ม ๆ แล้วยังใส่เสียงสแครตช์เข้ามา เสียงคีย์บวม ๆ ที่เล่นซิงค์ไปพร้อมกับเบสในท่อนเชื่อมเข้าเวิร์สสองคือร้ายกาจเป็นบ้า อยากกราบคนเรียบเรียงเพลง ก็คือเจ้าพวกนี้เนี่ยแหละ เห็นว่าอายุ 26-27 กันเอง โอ๊ย กินอะไรเป็นอาหาร เราก็เลยเต้นสนองไปเลยค่ะ ยาวไปจนจบเพลง Gaga ที่ให้ฟีลแบบดิสโก้เทคยุคนั้นเลย และหลังจาก Yonce กล่าวอะไรบางอย่างยืดยาว (ระคนไปกับเสียงตะโกนของแฟนเพลงเพียง 2-3 คนจากแต่ละมุมของฮอล คือมันเงียบมาก ๆ) น่าจะเป็นการขอบคุณแฟนเพลง เหมือนเขาจะน้ำตาคลอหน่อย ๆ ด้วย เมื่อพูดจบแล้วก็มีเสียงตบมือเกรียวหลายระลอก จนเขาเริ่มเล่นเพลงต่อไป Volt-Age งานจากอัลบั้มล่าสุดอีกเช่นกันกับอินโทรลีดกีตาร์ซาวด์แหลมเปี๊ยว ให้ความรู้สึกแบบไฟฟ้าแรงสูงสมชื่อเพลง ไลน์เบสดุ ๆ นิ่งเนิบ กับการร้องไลน์ประสานเพิ่มเลเยอร์ให้กับท่อนร้องตลอดทั้งเพลงคือเท่ชิบหาย ถ้านึกไม่ออกฟีลจะคล้ายกับเพลงของ Nothing But Thieves ความเท่และความมันชนิดที่ว่าเป็นกราฟพุ่งขึ้นสูงเรื่อย ๆ แบบไม่หยุดหย่อน เรียกว่าขยี้กันไปจนจบเพลง ไม่ไหวแล้วววว
จนเข้าสู่ช่วงอังกอร์ที่แฟนเพลงยังคงตบมืออย่างสุภาพ ทีมงานเริ่มเดินไปรอบ ๆ อีกครั้งแต่คราวนี้เป็นป้ายที่บอกว่า ‘Yes Photography’ กับสัญลักษณ์วงกลมสีฟ้า ๆ แบบ เฮ่ย นี่แหละสิ่งที่เราอยากให้มีมาก ๆ ในคอนเสิร์ตบ้านเรา การที่มีช่วงที่ยอมให้ถ่ายภาพนิ่งและวิดิโออย่างอิสระตลอดช่วงท้ายของโชว์ แต่เหมือนพอจบแค่เพลงนี้คนดูก็เลิกถ่ายกันไปเองเหมือนรู้ระเบียบ ซึ่งวงกลับขึ้นมาพร้อมกับกล่าวอะไรอีกครั้ง ก่อนที่ Taihei จะบรรเลงเปียโนสุดไพเราะ เป็นบัลลาดที่สะกดอารมณ์เราได้อยู่หมัด Yonce นั่งร้องเพลงด้วยใบหน้าที่มีความสุขแบบไม่ผ่านเครื่องขยายเสียง นี่คืออีกโมเมนต์ที่ดีที่สุดของโชว์เลยที่ทั้งฮอลเงียบและฟังพวกเขาเล่นเบา ๆ กันอย่างอิ่มเอม ก่อนที่วงจะส่งท้ายด้วยเพลง Life Easy และออกมายืนเรียงแถว โค้งขอบคุณแฟนเพลงอย่างพร้อมเพรียง
Suchmos คือวงดนตรีที่เราไม่ได้รู้จักพวกเขาดีขนาดนั้น เราเคยตัดสินเขาว่าเป็นวงฟังก์ร็อกสไตล์ญี่ปุ่นที่… ว่ากันตามตรงคือเพลงแนวนี้นาน ๆ ฟังทีได้แต่คงไม่ติดตามต่อ แค่อาจจะมีคะแนนพิเศษให้เพราะสมาชิกหน้าตากรุ้มกริ่ม แต่ที่ไหนได้ พวกนี้คือปิศาจอัจฉริยะที่สามารถดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดของแต่ละเพลงออกมาได้อย่างถูกจังหวะ แม้จะมีประมาณช่วง 2-3 เพลงแรกที่เราเผลองีบไปบ้างจากไฟลต์สุดโหดที่แทบไม่ได้นอน แต่หลังจากนั้นเหมือนถูกกระตุ้นด้วยสารจากสรรพเสียงที่เป็นส่วนผสมคัดสรรมาแล้วอย่างดีจากหกคนนี้ คราวนี้ก็ตาค้างเพราะทั้งอึ้ง ทั้งสนุก ตลอดสองชั่วโมงกว่านี่คุณได้แฟนเพลงจากประเทศไทยเพิ่มไปแล้ว แม้จะเพียงสามคนจากโชว์ที่ Yokohama Arena แต่เชื่อเถอะว่าในงาน Big Mountain ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 8-9 ธันวาคมนี้ ชาวไทยที่ไปดูพวกเขาเล่นที่งานจะต้องโดนตกเหมือนพวกเราอย่างแน่นอน (ล่าสุดพี่แพท โดนแผ่นอัลบั้ม The Ashtray ไปแล้วเรียบร้อย) ส่วนพวกเราเองก็จะติดตามวงนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะต้องมีอะไรไม่คาดฝันมานำเสนอให้เราได้ฟังกันอีกในอนาคต
ขอบคุณ BEC Tero Music และ Sony Music Japan สำหรับประสบการณ์ในครั้งนี้ด้วยค่ะ
ส่วนอันนี้ก็เข้าไปดูภาพบรรยากาศในงานเพิ่มเติมได้จากสื่อ Natalie ฝั่งญี่ปุ่นเขานะ