These Rascals Tho พาไปสัมผัสวงดนตรีอินดี้ร็อกคลื่นลูกใหม่ที่ไลฟ์เฮาส์ย่านทองหล่อ
- Story and photos by Krit Promjairux
17 พฤษภาคม 2561
ถือเป็นงานที่สนุกสนานและเปิดหูเปิดตามากๆ กับ These Rascals Tho งานดนตรีที่รวบรวมคลื่นลูกใหม่ของซีนดนตรีอินดี้ร็อกแห่งกรุงเทพมหานครไว้อย่างครบเครื่อง โดยโปรโมเตอร์น่าใหม่ไฟแรง Narwhal and her Plankton เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนวันพฤหัสอันร้อนระรุ ณ ไลฟ์เฮาส์เฟี้ยวสุดซอยทองหล่อ De Commune กับไลน์อัพที่อัดแน่นด้วย 5 วงดนตรีคุณภาพที่มาซัดกันเน้น ๆ ประกอบไปด้วย Protozua, Diaries, The Young Wolf, Penny Time และ Yerm (อ่านว่า เยิ้ม)
ผู้เขียนไปถึงงานเวลาสองทุ่ม ตามตารางการแสดงที่โชว์ในหน้า event page เพราะอยากซึมซับบรรยากาศโชว์ของครบถ้วน เมื่อมาถึงสถานที่จัดงานปรากฎว่าวงยังซาวด์เช็กกันอยู่เลย นักดนตรีที่ซาวด์เช็กเสร็จเรียบร้อยและคนดูจึงถือโอกาสจับกลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปพลาง ๆ ระหว่างรองานเริ่ม นี่คือบรรยากาศอันคุยเคยที่เกิดขึ้นเสมอในงานดนตรีทางเลือก คือการไม่มีเส้นแบ่งศิลปินและคนดู ใครอยากคุยกับใครก็เดินเข้าไปทักทาย ใครใคร่ชนแก้วชนขวดก็ชนกันไป เป็นเสน่ห์อย่างนึงของการมาดูดนตรีในงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนดูเหมือนจะรู้จักกัน หรือคนที่ไม่รู้จักใครเดี๋ยวก็จะได้รู้จัก คุณสามารถสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ ได้มากมายจากช่วงรองานและระหว่างเปลี่ยนวง
2 ทุ่ม 40 ซาวด์พร้อม แสงพร้อม คนดูพร้อม คนเล่นพร้อม ประเดิมเวทีกันด้วย Protozua ศิลปินเดี่ยวหนึ่งเดียวของค่ำคืน ที่มาในรูปแบบ one man band ที่สามารถสร้างโชว์ออกมาได้อย่างลื่นไหลและน่าสนใจด้วยการผสมผสานเทคนิคการใช้ loop station ในการสร้างบีตและดนตรีผ่านกีตาร์ไฟฟ้าเพียงหนึ่งตัว ก่อนจะเอามายำรวมกับฟรีสไตล์แร็ปและการเล่าเรื่องร้อยแก้วที่มีการใช้เอฟเฟกต์ร้องเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศเข้าไปอีกชั้น
โชว์เริ่มขึ้นโดยการกล่าวทักทายและชวนคนมาดูอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะเริ่มดึงบทสนทนาใด ๆ ที่คุยกันนั้นเข้าไปสู่บทเพลงด้วยการอิมโพรไวส์ที่ปล่อยให้ผู้ชมในห้องมีส่วนร่วมทั้งการโต้ตอบผ่านการสนทนาระหว่างผู้เล่นผู้ฟังและการถามเปิดให้คนดูตั้งหัวข้อในแต่ละเพลงว่าอยากให้พี่เขาแร็ปหรือเล่าอะไรให้ฟัง โชว์โดยรวมของ Protozua อาจจะไม่ได้ดูเป็นการเล่นคอนเสิร์ตเท่าไหร่นัก แต่จะให้อารมณ์ออกไปทาเดี่ยวไมโครโฟนพร้อมซาวด์ประกอบซะมากกว่า เป็นการเล่าเรื่องโดยมีกีตาร์ลูปในสร้างบรรยากาศและดึงผู้ชมให้เข้าไปอยู่ในเรื่องที่เขาเล่าไปพร้อม ๆ กัน มีตั้งแต่เรื่องแม่, อารมณ์ขัน, มาโนช พุฒตาล ไล่ไปถึง บทสนทนาระหว่างมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาว ซี่งก็ได้ใจทุกคนในงานวันนั้นไปเต็ม ๆ เป็นโชว์เต็มไปด้วยร้อยยิ้ม, เสียงหัวเราะ และการมีส่วมร่วมของผู้คนจนอยากจะแนะนำให้ลองมาสัมผัสกันสักครั้ง
จบโชว์แรกแบบเบาสบาย มาต่อกันด้วย Diaries กีตาร์แบนด์ห้าชีวิตที่ประกอบไปด้วยนักดนตรีมากฝีมือที่ผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสได้ดูสดเต็ม ๆ เป็นครั้งแรกหลังจากได้ยินเสียงเลื่องลือเรื่องฝีมือการแสดงสดมานาน โดยทางวงนิยามสไตล์ดนตรีของตนเองว่าเป็นแนว neo-rock n’ roll ริฟฟ์และโซโล่กีตาร์อันเร่าร้อนที่ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีฮาร์ดร็อกและบลูส์ยุค 70s ประกอบกับ rhythm section ที่แข็งแรง ชวนในนึกถึงวงฮาร์ดร็อกดนตรีรุ่นพ่ออย่าง Deep Purple และ Cream แต่ในขณะเดียวกัน บทเพลงของวงกลับให้สีและกลิ่นที่มีความร่วมสมัยอย่างประหลาด ทางวงเริ่มไล่ดีกรีความความเดือดด้วยฮาร์ดร็อกความเร็วปานกลางไม่ช้าไม่เร็วที่เหมาะแก่มาวางไว้เป็นเพลงเปิด Hello ตามมาด้วยเพลงพาวเวอร์บัลลาดใน ร้อยยิ้มสีชมพู ซิงเกิ้ลล่าสุดของทางวงที่ปล่อยออกมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 ที่โดดเด่นทั้งเนื้อเพลงและเมโลดี้ที่มีความสละสลวยกับริฟฟ์เพราะ ๆ ของกีตาร์ เข้ากับ lighting สีชมพูที่สาดส่องอยู่บนเวที ก่อนจะเริ่มประเคนเพลงเร็วมาแบบรวดเดียว ซึ่งหลังอุ่นเครื่องกับการโยกหัวนิด ๆ ในสองเพลงแรก
ดูเหมือนผู้ชมจะเครื่องติดกันเสียที วงกดกันต่อด้วยเพลงเร็ว 3 เพลงรวด Apple’s Falling, My Pill, ดอกร้าย ทำเอาคนดูบางส่วนที่นั่งพิงกำแพงถึงกับต้องลุกขึ้นมาโยกบ้าง แน่นอนว่าสไตล์ดนตรีแบบนี้เครื่องดนตรีที่เด่นที่สุดย่อมหนีไม่พ้นกีตาร์ ซึ่งวงนี้มีมือกีตาร์ทั้งหมด 3 คนรวมทั้งนักร้องนำ ที่ผลัดกันโชว์ลวดลายโซโล่อย่างเมามัน แม้เพลงตัวเพลงจะมีพาร์ตที่เป็นโซโล่กีต้าร์ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เพลงฟังดูน่าเบื่อ แม้แต่กับคนที่ไม่ชอบฟังโซล่ากีตาร์ยาว ๆ อย่างผู้เขียน แต่ละคนมีช่วงเวลาของตัวเองที่โดดเด่นไม่น้อยหน้ากันเลย ก่อนลาไปด้วยสองเพลงมันกับ Mama Says และ Disco Love ถ้าใครชอบวงที่มีกีตาร์เยอะ ๆ ทีมเวิร์กดี ๆ ถูกใจในแน่นอน ชวนติดตาม
The Young Wolf เนื่องจากทางวงไม่ได้เข้ามาซาวด์เซ็กก่อนงานเริ่มทำให้ใช้เวลาเซ็ตอัพค่อนข้างนานพอสมควร ถึงแม้จะเริ่มช้าหน่อยก็เรียกได้ว่าคุ้มค่า สมาชิกวงก็เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของผู้เขียน โดยเฉพาะ โจ ฟรอนต์แมนร่างท้วมของวงที่คุณสามารถพบเจอเขาได้ตามร้านนั่งดื่มย่านรามบุตรี แถวถนนข้าวสาร สถานที่ที่ร็อกเกอร์ท่านนี้ใช้เสียงร้องอันทรงพลังในการทำมาหากินจากการร้องบรรเลงแทบทุกวัน สไตล์ดนตรีของทางวงก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่ผมเคยเห็นโจเล่นคัฟเวอร์ที่ข้าวสาร คือเป็นวงสไตล์ฮาร์ดร็อกที่ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีร็อกยุค 70-80s อย่างชัดเจน ทั้งตัวเพลง เนื้อหาและลีลาการแสดงสด ที่ทำเอานึกถึงวงดนตรีรุ่นเดอะอย่าง Led Zeppelin ที่ตัวฟรอนต์แมนค่อนข้างเปิดเผยถึงความคลั่งไคล้ในวงดนตรีดังกล่าว เปิดโชว์ด้วย Young Wolf City ที่เหมือนเป็นการประกาศศักดาต่อฝูงชนว่าพวกกูมาแล้วนะ เตรียมตัวกันให้ดี ฮาร์ดร็อกมัน ๆ กระแทก ๆ และเสียงร้องแผดซ่านทำเอาเราถึงกับต้องโยกตามแบบไม่คิดชีวิตแม้จะไม่เคยฟังมาก่อน
ทางวงสามารถนำเพลงนี้ไปเปิดต่อกับหลาย ๆ เพลงของ Guns N’ Roses ได้อย่างไม่สะดุด ตามมาด้วย Pigeon (Unexpect Situation) และ Alice in The Morning (Late Wake Up) สองเพลงจาก EP ชุดแรก Bitch ที่วงซัดกันอย่างไม่แคร์จำนวนคนดู ใส่เต็มอย่างกับเล่นสเตเดี้ยม ลีลาโคตรจัดจ้าน แม้แต่ในเพลงหลังที่เป็นเพลงช้าที่ผู้เขียนมีความเห็นว่าเพลงนี้เหมาะกับการเล่นในที่ใหญ่ ๆ มาก โจกล่าวกับคนดูสั้น ๆ ว่าสองเพลงดังกล่าวเจ้าตัวเขียนอุทิศให้ อลิซ หญิงสาวที่ตนรัก ก่อนซัดต่ออีกประมาณสามเพลงก่อนที่จะลาเวทีไป โชว์กระชับ สนุก และมืออาชีพเอามาก ๆ เป็นอีกวงที่สามารถเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าถ้าคุณมีความมั่นใจยังไงพวกคุณก็เท่ ไม่ว่าคุณจะอ้วน จะผอม หรือไร้กล้าม ถ้าอินเนอร์คุณได้อะไรก็หยุดคุณไม่ได้ ผู้เขียนถึงกับอุทานในใจว่า นี่ถ้า Robert Plant ตายไปแล้วมีคนบอกว่าฟรอนต์แมนวงนี้คือป๋าเราก็คงเชื่อ เสียดายที่ตอนช่วงที่วงเล่นคนดูน้อยไปหน่อย พลาดของดีกันไป ก็อยากจะขอเอาใจช่วยให้วงขยายฐานแฟนเพลงเยอะ ๆ คอเพลงร็อกไม่ผิดหวังแน่นอน ทั้งลุค การแสดง เนื้อเพลง แม่งร็อกแอนด์โรลจริง ๆ และขอแสดงความยินดีกับ Macrowave ค่ายเพลงใหม่แกะในเครือ BEC Tero ที่เพิ่งเซ็นวงนี้เข้าสังกัดไปหมาด ๆ
มาถึงวงที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของงาน Penny Time อัลเทอร์เนทีฟร็อกดาวรุ่งพุ่งแรงขวัญใจวัยรุ่น ที่วันนี้มีแฟนคลับตามมาดูเพียบโดยเฉพาะสาว ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างให้บรรยากาศในงานช่วงนี้คึกครื้นเป็นพิเศษหลังจากช่วงก่อนหน้านี้แทบจะเป็นงานปาร์ตี้ของชายหนุ่ม ฮา ด้วยความที่วงต้องแสดงต่อจากวงที่หนักกว่าถึงสองวง เลยทำให้บรรยากาศในงานดูดรอปลงไปบ้างตามสไตล์เพลงที่ซอฟต์กว่าวงก่อนหน้า งานจึงดูเหมือนนิ่ง ๆ ลงไปในช่วง 2-3 เพลงแรกที่ทางวงซัดกันต่อเนื่องแบบไม่พูดไม่จา ก่อนจะเริ่มขยับดีกรีความสนุกขึ้นในช่วงกลางโชว์ เมื่อหนึ่งในแฟนคลับสาวสวยของวงเริ่มโดดและเต้นไปตามจังหวะเพลงอย่างออกรสจนคนดูที่ยืนอยู่รอบ ๆ เห็นก็เริ่มเริ่มสละความเคอะเขินแล้วมาร่วมจอยทีละคนสองคน คนดูบางส่วนที่ยืนดูจากชั้นลอยด้านบนถึงกับวิ่งลงมาสนุกไปกับเสียงเพลง
พอคนดูข้างล่างสนุก บนเวทีก็เริ่มเดือดตาม เกิดการรับส่งพลังงานกันระหว่างคนดูและคนเล่น ทางวงงัดเพลงเด็ด ๆ มาเล่นอย่างครบถ้วน ทั้งเพลงฮิตติดหูริฟฟ์กีตาร์น่ารักอย่าง For Her และเดบิวต์ซิงเกิ้ลกลิ่นอาย 90s ที่คนดูร้องตามกันได้อย่าง Conversating รวมถึงเพลงใหม่จังหวะชวนโดดมาก ๆ แอบทำเอานึกถึง Green Day แต่ช่วงที่ประทับใจที่สุดของโชว์คงจะเป็นเพลงปิด I Wanna ซิงเกิ้ลล่าสุดของทางวง ที่มีการขยับเทมโป้ในช่วงท้ายเพลงที่เปิดโอกาสให้ทั้งคนเล่นและคนดูได้ระเบิดพลังกันสุด ๆ เรียกว่าได้จบโชว์ได้อย่างสวยงาม ยิ่งดูยิ่งมันขึ้นเรื่อย ๆ
ปิดงานด้วยวงสุดท้ายของค่ำคืนนี้กับ Yerm วงดนตรีโปรเกรสสิฟร็อก ไซคีเดลิก ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับค่าย Sanamluang Music และปล่อยซิงเกิ้ลล่าสุดไปหมาด ๆ นี่คือโชว์ในกรุงเทพ ฯ ของพวกเขาโชว์แรกหลังจากที่วงกลับมาจากทัวร์ภาคอีสาน ถึงแม้ว่าคนดูในงานจะเหลือกันค่อนข้างน้อยเพราะกว่าวงจะเริ่มแสดงเวลาก็เลยเที่ยงคืนแล้ว และพรุ่งนี้หลาย ๆ คนก็ต้องตื่นเช้าไปทำงาน แต่ก็ไม่ทำให้วงเสียกำลังใจแต่อย่างใด เล่นกันอย่างเต็มที่และอินไปกับบทเพลง หลาย ๆ เพลงของวงเยิ้มเป็นเพลงโปรเกรสสิฟร็อกที่มีวิธีการเขียนเพลงในรูปแบบของการเล่าเรื่อง แต่ละเพลงเหมือนหนังหรือนิทานสักเรื่องที่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ตีความตามประสบการณ์และจินตนาการของแต่ละคน ความลับจักรวาล, กลับดาว เพลงรักธีมอวกาศที่พาทุกคนล่องลอยไปไกลในจินตนาการเพียงแค่ลองหลับตา หรืออย่างเพลง การจากไปของราชสีห์ เพลงที่ ตูน นักร้องนำของวงเขียนอุทิศให้กับ สิงห์ Sqweez Animal มือกีตาร์ผู้ล่วงลับที่เป็นแรงบัลดาลใจให้กับตัวของเขาในการเล่นดนตรี บทเพลงที่พูดความสัมพันธ์เซอร์เรียล ๆ ระหว่างตัวละครกวางน้อยและราชสีห์ที่พูดถึงการจากลาและสิ่งที่ผู้ที่จากไปทิ้งไว้ให้ เป็นบทเพลงที่สามารถยัดเอาวีธีเล่าเรื่องแบบเล่านิทานลงไปในบทเพลงร็อกโดยฟังแล้วไม่ฟังดูแปร่ง ๆ หรือเคอะเขิน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ค่อนข้างยากสำหรับการเขียนเพลงภาษาไทย ทางวงเล่นไปทั้งหกเพลง โชว์ในค่ำคืนนี้จบลงอย่างเป็นทางการ
สำหรับเรา These Rascals Tho คือการรวมตัวของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ผู้มีไฟ นี่คือช่วงเวลาของคนเหล่านี้ที่จะขับเคลื่อนวงการดนตรีอิสระอย่างแท้จริง ทุกวงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและมีศักยภาพ มีทีมผู้จัดที่กล้านำเสนอและเปิดพื้นที่ให้วงเราได้มีโอกาสได้โชว์ของและสร้างสรรค์ซีนของตัวเอง และสถานที่ให้พร้อมสำหรับและสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นซีนดนตรี แม้งานอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในด้านจำนวนคนดู แต่ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้มางานครั้งนี้จะได้วงหรือเพลงในดวงใจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ๆ วงถึงสองวงอย่างแน่นอน การเริ่มต้นมักยากเย็นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการเริ่มต้นเชิงวัฒนธรรม สุดท้าย หากมีโอกาส ผู้เขียนอยากเชิญชวนให้ทุกคนลองมาสัมผัสประสบการณ์การดูดนตรีอินดี้ในวันธรรมดาดูบ้าง ยังวงดนตรีและเพลงดี ๆ ที่รอการค้นพบมากมายเหลือเกิน