ปิดฉาก Primavera Sound ด้วยโชว์สุดมันหลังปล่อยอัลบั้มใหม่ของ Arctic Monkeys
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographers: Montipa Virojpan, Garbine Irizar, Paco Amate, Eric Pamies, and Sergio Albert
อ่าน Primavera Sound ตอนก่อนหน้าได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้
ตอนที่ 1 / ตอนที่ 2 /ตอนที่ 3
2 มิถุนายน 2561
เข้าสู่วันสุดท้ายของ Primavera Sound อย่างเป็นทางการ (อันที่จริงหลังจากวันนี้จะมีงาน Primavera a la Ciutat ที่จัดตามสถานที่และคลับต่าง ๆ ในเมืองโดยเปิดให้เข้าชมฟรี แต่เราอยู่ต่อไม่ได้เพราะไฟลต์เครื่องบิน Royal Jordanian ดันร่นขึ้น จากที่กลับวันที่ 4 ก็ให้เลื่อนเป็น 3 ไม่ก็ 7 แต่ถ้าเลื่อนออกก็เกรงใจที่ออฟฟิศเพราะลามาหลายวัน เลยจำเป็นต้องเลื่อนขึ้นอย่างไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ กระซิก) ในวันนี้เรามีแขกรับเชิญพิเศษจากประเทศไทยมาร่วมทริปกับเราเป็นวันแรกและวันสุดท้าย นั่นคือพี่วิทวง Plot พี่พลอย แฟนพี่วิท และบอส รุ่นน้องพี่วิทจ้า คือสามคนนี้มีแพลนจะมาดู Primavera Sound วันสุดท้ายพอดีก็เลยนัดเที่ยวในเมืองกันก่อน แต่ไป ๆ มา ๆ พอเข้าเฟสติวัลกลับกระจัดกระจาย ติดต่อกันลำบาก เลยไม่ได้อยู่ดูด้วยกันสักวง ถถถ ฟาวล์ไปครับ
เอ้า มาเริ่มกันที่โชว์วงแรกที่เราตั้งใจมาดูมาก ๆ คือ Nick Hakim เล่นอยู่ที่เวที Adidas เป็นอีกหนึ่งวง bedroom pop, lofi ล่องลอย กับเสียงร้องสุดผ่อนคลาย ซึ่งก็เป็นวงที่เราบังเอิญเจอใน YouTube Suggestion แถบขวาอีกเหมือนกัน โดยโชว์นี้แม้คนดูจะไม่แน่นมากเพราะค่อนข้างเป็นวงในหลืบ แต่วงก็เล่นดี แจกกรูฟกันกระจัดกระจาย รวมถึงได้กลิ่นปุ๊นเป็นระยะ ๆ อันที่จริงเราก็รู้จักเพลงของพี่เขาไม่เยอะมาก แต่สุดท้ายก็ได้ฟังเพลง Roller Skates เป็นเพลงน่ารักของเขาที่เราชอบมาก hypnotize กันไป ก่อนเขาจะบอกว่าเมื่อวานเป็นวันเกิดตัวเองเลยจะเล่นเพลงที่ชื่อ Yesterday คนดูก็ส่งเสียงเชียร์ให้ใหญ่ แล้วพอเล่นออกมาก็เป็นเพลงที่เพราะมาก ๆ แต่เพิ่งรู้มาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็ปล่อยเพลงชื่อ Vincent Tyler ออกมา ซึ่งก็ถูกนำมาเล่นในโชว์นี้ด้วย มาเป็น r&b neo-soul กันเลย
โชว์ยังไม่ทันจบดี เราก็เขยิบมาที่เวทีข้าง ๆ กันอย่าง Pitchfork ที่มีน้อง Rex Orange County กำลังจะขึ้นเล่นพอดี กลับกันคือเวทีนี้คนเยอะมาก อย่างว่าของเขาแรงจริง ๆ เพลงอินดี้ป๊อปน่ารัก เนื้อหาแบบหนุ่มน้อยตัดพ้อสาวที่มาหักอกตั่งต่าง แต่ลูกล่อลูกชนในดนตรีเขาไม่ธรรมดา เริ่มกันที่เพลงป๊อปร็อกสนุก ๆ Television / So Far So Good แค่เพลงแรกสาวน้อยสาวใหญ่ก็ดิ้นกันไม่หยุดแล้ว ร้ายกาจมากกับท่อนแร็ปที่เรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูไปตามระเบียบ ต่อด้วยฮิปฮอปใส ๆ อย่าง Uno ให้โยกกันเพลิน ๆ ก่อนจะชวนแฟนสาว น่าจะชื่อเทีย มาร่วมร้องในเพลง Sycamore Girl หวานมาก ความรักของหนุ่มสาวช่างสวยงาม แล้วแฟนน้องก็เสียงเพราะมาก เป็น professional singer เลยปะเนี่ย
พอจบเพลงนี้ก็เป็นคิวโชว์เดี่ยวของน้องกับเพลงเศร้า ๆ เพลงโปรดของฉันอย่าง Untitled ก่อนจะเล่นอีกเพลงฮิต Loving Is Easy ที่คนดูช่วยกันร้องตามได้เสียงดัง และก็ถึงคิวของอีกเพลงที่ฉันรัก Sunflower มีคนคอรัสเสียงเบสทุ้ม ๆ ตลก ๆ ที่ได้ยินชัดกว่าฟังในออดิโอ กับความที่เป็นเพลงจังหวะเร็ว เมโลดี้น่ารัก เลยกลายเป็นโชว์ที่สนุกมาก ๆ และได้เวลาของเพลง Best Friend ซึ่งเราก็ต้องขอตัวแยกจากน้องก่อนที่โชว์จะจบไปเตรียมตัวดูวงต่อไปที่กำลังจะเล่นเวทีอื่นไกล ๆ ถือว่าน้องประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมากเพราะอายุก็ยังน้อย แต่จากจำนวนคนที่มารอดูและ performance ก็ถูกใจบรรดาแม่ยกไม่น้อยเลย
นี่เป็นอีกครั้งที่ต้องบอกว่ารู้สึกเป็นบุญหูบุญลูกตามากที่กำลังได้ดู Jane Birkin นักแสดงนักร้องชาวอังกฤษผู้เป็นคู่รักของ Serge Gainsbourg และแม่ของ Charlotte Gainsbourg รวมถึงเป็น fashion icon ของสาว ๆ หลายคน ซึ่งในโชว์ Birkin Gainsbourg Le Symphonique นี้เธอได้ร้องเพลงร่วมกับวงออเคสตร้ากว่าสามสิบชีวิต เป็นโชว์ในตำนานที่น่าเสียดายว่าคนดูน้อยกว่าที่คิดไว้มาก แบบ เจนบีเลยนะเว้ยยยย (คาดว่าคนอื่นคงไปดู Ariel Pink กับ Rolling Blackouts Coastal Fever กันอยู่ ซึ่งฉันก็อยากดูเหมือนกันแต่เวทีไกลกันหมดเลย อว้อยยยยย) ต้องบอกก่อนว่างานนี้เธอไม่ได้ร้องเพลง Je t’aime… moi non plus สุดเซ็กซี่อย่างที่หลายคนรอคอยไว้แต่อย่างใด แต่เธอก็หยิบเพลง French pop คลาสสิก หลาย ๆ เพลงอันเป็นผลงานในอดีตของเธอและอดีตคนรักมาแสดงในครั้งนี้ทั้ง Jane B., L’anamour, Baby Alone in Babylone, Physique et sans issue เสียงของเจนบียังคงใสเหมือนกับที่ได้ฟังในเรคคอร์ดยังไงยังงั้น ยิ่งได้การบรรเลงจากวงออเคสตราแล้วยิ่งทำให้ขนลุกเกรียวในหลายช่วงจังหวะของโชว์ ดูไปยิ้มไปแบบ ยิ้มไม่หุบ น้ำตาซึมนิด ๆ ด้วย ประทับใจมาก
จากนั้นเราก็ต้องชั่งใจแล้วล่ะค่ะว่าจะไปดูใครต่อ ตารางชนกันแบบไม่น่าให้อภัยสุด ๆ ทั้ง Lykke Li, Tom Misch และ Slowdive… ก็ต้องวงหลังสุดสิครับ!!! ดูมาแล้วสามรอบก็ต้องมีรอบที่สี่ อย่าให้เสียชาติเกิดแฟนเพลงของพวกเขาเหล่านี้ (Tom Misch ไว้รอดูบ้านเราละกัน แต่อาจจะไม่มี Loyle Carner มาเล่นด้วยแบบที่งานนี้ ฮือ ส่วน Lykke Li ก็ไม่ได้อินขนาดนั้น) เราหอบร่างจากเวที Seat มายัง Apple Music ก่อนเวลาประมาณ 45 นาที แต่ก็ยังได้อยู่แถวที่ไม่หน้ามาก และพอหันไปดูรอบ ๆ คนที่มาหลังจากเราก็ค่อนข้างหนาตาด้วย แบบ พื้นที่เต็มอย่างรวดเร็วอะคับ ของเขาดีขนาดไหนถามใจดู แต่ระหว่างนั้นคือวงก็ขึ้นมาซาวด์เช็กไปเรื่อย ๆ บรรดาติ่งก็เอาแต่ถ่ายรูปพ่อ ๆ แม่ ๆ อย่างหนำใจจนวงเดินลงจากเวที
เวลาสามทุ่มครึ่ง ไฟหรี่ลงพร้อมเสียงโห่ร้องของคนดู สมาชิกทุกคนก้าวขึ้นเวทีพร้อมโบกไม้โบกมือเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น Slowdive เปิดโชว์ด้วยเพลงเคว้งคว้างเมโลดี้งดงามจากอัลบั้มล่าสุด Slomo เช่นเดียวกับหลาย ๆ โชว์ที่เราเคยดู แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์เรามากคือปกติเสียงแม่เรเชลจะแหบ ๆ เลย ซึ่งครั้งนี้แม่เรเชลเสียงใสมากกกกกก โฮ ดีใจ จากนั้นก็เล่นมหกรรมเพลงเก่าเพลงฮิตติดกันรัว ๆ ทั้ง Catch the Breeze และ Crazy For You ก่อนจะกลับมาเล่นงานเพลงชุดใหม่สลับกับงานแรร์ Star Roving และ Souvlaki Space Station ตามด้วย No Longer Making Time จากนั้นก็จัดหนักให้กับความรวดร้าวที่ When The Sun Hits แล้วส่งต่อความสนุกสดใสใน Alison ต่อด้วย Sugar for the Pill และปิดท้ายตามคาดกับเพลง Golden Hair งานคัฟเวอร์ของ Syd Barrett แห่ง Pink Floyd แต่ด้วยความที่แม่เสียงใสขึ้นมาก การได้ร้องช่วงต้นของเพลงนี้เลยเพิ่มความขลังเข้าไปอีกสิบสต๊อป พร้อมกับลูกขยี้กีตาร์อันยาวนาน ทรงพลังและเรียกน้ำตา วันนี้รู้สึกว่าลุงคริส มือกีตาร์ เท่เป็นพิเศษ ส่วนลุงไซมอนก็หวดเอา ๆ ไม่ให้พักหายใจ เป็นอีกวงที่กลับมาคืนฟอร์มแล้วอยู่ตัวขึ้น วันนี้ไม่มีหลุดเลย ถ้ามีโอกาสได้ดูอีกยังไงก็จะไปดู แต่รอบหน้าแอบคาดหวังจะได้ฟังเซ็ตลิสต์อื่นบ้างแล้วแหละ
จบจากวงนี้แล้วเราก็ตัดสินใจเททุกวงที่อย่างดูในช่วงนี้ ได้แก่ Grizzly Bear และ Jay Som เพื่อไปรอดูวงที่ยังไงก็จะไม่ยอมพลาดแน่ ๆ นั่นคือ Arctic Monkeys หนึ่งชั่วโมงอันยาวนานแห่งการเข้าไปเบียดในฝูงชนคนคลั่งแห่งบาร์เซโลน่า ซึ่งตอนนี้เราได้รู้ซึ้งแล้วว่าคนที่นี่มีวัฒนธรรมการดูคอนเสิร์ตที่ชั่วประมาณนึง คือนอกจากจะตัวสูงใหญ่เป็นหมีแล้ว ไม่สละที่ข้างหน้าให้ยืนไม่ว่า แต่ยังโทรเรียกให้เพื่อนมายืนตรงที่เดียวกันทั้งที่แทบจะไม่มีช่องว่างให้หายใจแล้ว แถมยังส่งเสียงดังน่ารำคาญตลอดเวลาจนเรากับผู้หญิงข้าง ๆ ต้องสะกิดเรียกมันมาด่า ก็ยืนเบียดเสียดกันอยู่พักนึงระหว่างที่เวที Seat ด้านหลังก็มีน้อง Lorde กำลังเล่นอยู่ ฉันหันไปดูไม่เห็นหรอกแต่มันมีจอถ่ายทอดสดตรงเวที Mango ที่ยืนอยู่พอดี วันนี้น้องมาในชุดนอนน่ารักฟูฟ่อง วิ่งทีชุดก็สปริงตัวตามที แถมถอดรองเท้าโชว์ด้วยยังกะปาล์มมี ไม่ได้มีแค่น้องกับวงสด แต่รอบนี้มีแดนเซอร์มาร่วมการแสดงจินตลีลาเพลินตาไปพร้อมกัน สนุกสุดตรงนี้พอเพลง Royals ขึ้น เรากับผู้หญิงสองสามคนใกล้ ๆ กันเผลอเต้นและร้องตามไปด้วย หรืออยู่ดี ๆ ก็มีคนร้องท่อน ‘หล่า ลา า ลาลาล้า ลา’ ในเพลง Hey Jude ของ The Beatles ขึ้นมา แล้วหลาย ๆ คนก็ร้องตามกันไป ตลกมาก
จนถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เราหันไปสังเกตรอบ ๆ นี่แทบไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างสูงมิดหัวและคนเนืองแน่นไปหมด แต่สิ่งที่สัมผัสได้เลยคือพลังเดือดดาลของทุกคนที่พร้อมจะระเบิดในโชว์ความยาวกว่าชั่วโมงสี่สิบนาทีต่อไปนี้ Arctic Monkeys พร้อมแล้ว จุดนั้นคือผู้ชมทุกคนพากันดันมาข้างหน้า เราก็ต้องไหลตามแบบไม่มีทางเลือกนัก โดยอินโทรในมิวสิกวิดิโอของเพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Four Out Of Five ถูกบรรเลง เสียงกรีดร้องบ้าคลั่งของทุกคนพร้อมใจส่งไปยังผู้ที่อยู่บนเวที แล้วที่ไม่น่าเชื่อคือ ทุกคนร้องเพลงนี้ได้กันหมดแล้ว!!! เป็นแฟนเพลงที่เหนียวแน่นมาก แล้วความสนุกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเพลงที่สองคือ Brianstrom ทุกคนยังแหกปากร้องเพลงกันอย่างพร้อมเพรียงต่อไป แล้วอยู่ดี ๆ ก็เกิดการแท็กเคิลกันไปมา อีฉันก็เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นด้วย กลายเป็นวงมอชพิตย่อม ๆ แบบ แปปนึง Arctic Monkeys กลายเป็นวงเมทัลไปได้ไงวะ แต่ขอโทษนะคะ สนุกเหี้ย ๆๆๆๆๆ
ยัง ยังไม่จบแค่นี้ เพราะเพลงต่อไปที่เล่นคือ I Bet You Look Good on the Dancefloor มันยังเดือดได้อีกกกกก อินโทรมันเร้าซะขนาดนี้ก็กระแทกกันต่อไปเว้ยพวก ซึ่งก่อนที่เราจะโดนฝูงชนคนคาตาลันเหยียบก็ตัดสินใจถอยออกมาจากวงมอชดีกว่า เมื่อจบเพลงนี้ก็เหมือนให้ทุกคนได้พักหายใจหายคอในเพลงต่อไป แต่ก็ไม่ได้หายใจเต็มปอดหรอก เมื่ออินโทรสุดเก๋าอันคุ้นหูของ Don’t Sit Down ‘Cause I’ve Moved Your Chair ยังทำให้เราเฮดแบงกันต่อ เพลงนี้กีตาร์มันเท่จังโว้ยยยย ท่อน ‘อู๊วววว เย้เย้เยยยย’ ก็ได้รับความร่วมมือจากแฟนเพลงเป็นอย่างดีอีกเหมือนเคย ตามด้วย Why’d You Only Call Me When You’re High? สารภาพตามตรงว่าค่อนข้างไม่ถูกจริตกับเพลงในอัลบั้ม AM ซึ่งเอามาเล่นเยอะมากในโชว์นี้ ยกเว้น No. 1 Party Anthem แต่พอเพลงต่อไปเป็น 505 เนี่ย โอ๊ยยยย ความทรงจำวัยใสพรั่งพรู จนเมื่อเสียงเปียโนของเพลง One Point Perspective ขึ้น รู้สึกเข่าอ่อน ละลายไปตรงนั้นเลย ภาพของอเล็กซ์ประจำที่เปียโนของเขา พลีกายถวายชีวิตไปเลยค่ะ เสน่ห์รุนแรงเหลือเกิน แล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ชอบสุดในอัลบั้ม Tranquility Base Hotel & Casino ด้วย ไลน์เบสเพราะ เมโลดี้สวยงาม เวลาฟังสด ๆ นี่ขนลุกมาก
ขยับจังหวะขึ้นอีกนิดที่ Do Me A Favour ก่อนจะกลับไปยวบยาบกับเพลงสุดหวาน Cornerstone เออ เล่นอัลบั้ม Humbug ซักที! แล้วเป็น One For The Road กับ Arabella ก่อนจะกลับมาที่เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้มใหม่ล่าสุด และ She Looks Like Fun เพลงเท่ที่ซาวด์ยิ่งใหญ่ประหนึ่ง ‘The Phantom of the Opera’ คืองานชุดใหม่เนี่ยฟังสดแล้วมันเท่ แล้วในความเท่ก็มีความเพราะเฉพาะตัว เล่นออกมาก็เนียนกริ๊บจริงอะ เออ อยากบอกว่า Arctic Monkeys เป็นวงที่เล่นเนี้ยบประหนึ่งฟังจากแผ่น แต่ความสดของ performance และพลังอะไรต่าง ๆ ที่ส่งมาคือสุดยอด เอนเตอร์เทนเก่งจังวะคนบ้าไรเนี่ย มีตอนนึงที่พูดว่า “Such a lovely night, Primavera” ด้วยสำเนียงบริติชแล้วหน้าเก๊ก ๆ แบบอเล็กซ์อะ หลงไปดิ หรืออยู่ดี ๆ ก็บอกว่า “Very good” เรากับสองสามคนแถวนั้นหลุดขำออกมา เหมือนครูชมนักเรียกอะ บริบทตอนนั้นมันตลกมาก ต่อกันด้วยเพลง Knee Socks ในใจก็ภาวนาว่า เล่นอัลบั้มอื่นได้แล้วโว้ย แล้วก็เหมือนฟ้าจะได้ยิน จัด Pretty Visitors ความเดือดกลับมาอีกระลอกแล้วครับ มีความสุขมากที่ท่อนสเตเดียมร็อกท่อนนั้น เมื่อคนจากทั้ง Primavera มารวมกันแล้วตะโกนออกไป มันยิ่งใหญ่มาก แล้วต่อ Crying Lightning ให้เลย โว้ยยยย รัก อีทีมกองเชียร์ก็ร้องกันเก่ง เสียงไม่ตกจริง ๆ ก่อนจะถึงช่วงอังกอร์เขาก็กลับไปที่ AM อีกรอบค่ะ เล่น Do I Wanna Know? แล้วหลบลงเวทีไป
คนดูก็ยังไม่หมดแรง โห่ร้องเรียกให้วงกลับขึ้นมาเล่นต่อ รอกันไม่นานเท่าไหร่วงก็จัดงานจากอัลบั้มใหม่อย่าง Batphone ให้ปรับอารมณ์กันก่อน ต่อด้วย The View From the Afternoon งานในอัลบั้มที่ฉันรักที่สุด Whatever People Say I Am, That’s What I’m Not อยากให้เล่นอัลบั้มนี้เยอะ ๆ แต่จัดให้แค่สองเพลงถ้วน กระโดดและโยกกันคอหลุดไปเลยเด้อ ก่อนจะมอบ R U Mine? ให้พวกเราเป็นเพลงสุดท้าย เราขอสรุปตรงนี้เลยว่า โชว์ของ Arctic Monkeys คือโชว์ที่ดีที่สุดใน Primavera Sound เพราะความที่คนดูทุกคนสนุก สมัครสมานสามัคคีในการเต้นและร้อง เป็นเวทีเดียวจริง ๆ ที่มีบรรยากาศแบบนี้ในงาน รักมาก ขอบคุณทุกคนที่ทำให้เป็นไลฟ์ Arctic Monkeys ครั้งแรกที่น่าจดจำขนาดนี้
จากที่สนุกสุดมันกันไปแล้วก็ได้เวลาของเวทีฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง A$AP Rocky มาแล้วจ้า ไฟเวทีเหลืองสดแผดแสงเจิดจ้า คนดูพากันเต้นโหยงเหยงไปกับบีตฮิปฮอป ต้องสารภาพว่าไม่ค่อยชินกับซีนฮิปฮอปเลยไม่รู้จักเพลงพี่แกสักเพลง แต่โชว์สนุกมาก ยืนโยกไปได้นิดหน่อยก็รู้สึกเหนื่อย ตัดสินใจไปกดเบียร์กับหาข้าวกินก่อนกลับบ้าน แล้วระหว่างที่นั่งกินบูติฟาราอยู่นั่นเอง เราก็ได้ยินเสียงอินโทรเพลงที่คุ้นหูมาก ๆ จนต้องรีบยัดทุกอย่างเข้าปากแล้ววิ่งไม่คิดชีวิตไปที่เวที Apple Music คิดดูว่าเหนื่อยจนลืมว่า Beach House มีเล่นเวลานี้ และตอนนี้ก็กำลังเล่นเพลง Myth ซึ่งเป็นเพลงที่เรารักมาก ณ โมเมนต์นั้นถึงตำแหน่งที่ยืนจะไม่ได้ดีมากเพราะใกล้ลำโพงเยื้องมาทางซ้าย แต่ก็ใกล้พอสมควรและรู้สึกว่าได้รับพลังแห่งการปลอบประโลมจากเพลงอันอ่อนโยนของพวกเขาไปเต็ม ๆ อะไรที่รู้สึกย่ำแย่ในจิตใจอยู่ลึก ๆ ถูกเยียวยาไปได้ในปลิดทิ้งเพียงเพราะการยืนนิ่ง ๆ หลับตาฟังเพลงของวงนี้ การได้ดู Beach House เป็นวงสุดท้ายของเฟสติวัลคือบทสรุปอันครบถ้วนสมบูรณ์แล้วสำหรับการได้มาเป็นส่วนหนึ่งใน Primavera Sound ปีนี้
สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณพี่ที่รู้จักท่านหนึ่งที่บิ๊วจนเราตัดสินใจพาตัวเองมาถึงบาร์เซโลน่า ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในเฟสติวัลที่อยากมามากที่สุดงานหนึ่งในชีวิตจนได้ เหตุผลเดียวตอนนั้นที่ไม่กล้ามาเพราะคิดว่าทุกอย่างมันจะแพงแล้วค่าใช้จ่ายคัฟเวอร์ไม่ไหว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเทศกาลในเอเชียอย่าง Fuji Rock แล้วมันถูกกว่านิดนึงและสะดวกสบายกว่ากันมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจว่าจะไปงานไหนก็ขึ้นอยู่กับไลน์อัพเป็นหลักแหละ ปัจจัยอื่นเป็นเรื่องรองที่ไว้แก้ปัญหากันทีหลัง แต่งานนี้ก็มีความร้ายนิดนึงคือหมดเฟสติวัลไปได้ไม่กี่วันก็ขาย early bird (blind tickets แบบยังไม่ประกาศไลน์อัพ) ของปีถัดไปกันแล้ว และมีเวลาให้เพียงสองวันในการจับจ่ายเท่านั้น หลังจากนี้ก็คือรอประกาศไลน์อัพและเปิดขายบัตร phase 1 แหละ เอาเป็นว่าเชียร์ค่ะ ต้องมาสักครั้งให้ได้ ใครที่ตามอ่านกันมาได้ครบทุกตอนเราต้องขอขอบคุณมาก ๆ เพราะมันยาวมากจริง ๆ ถ้ามีโอกาสได้ไปงานไหนอีกจะมาระเห็ด ฯ ให้อ่านกันอีกเด้อ ตอนนี้ก็ขอตัวไปเก็บตังสำหรับอีเวนต์ต่อไปก่อนละเนี้ยว