Pow! Fest 4 จัดเต็มกับวงดรีมป๊อปไทย และโชว์แรกของ Bearwear กับ Motorama
- Story and photos by Montipa Virojpan
Pow! Fest เทศกาลดนตรีขนาดย่อมที่เลือกเฟ้นเอาวงดนตรีทั้งไทยและเทศมารวมตัวกันในงานเดียว ได้เดินทางมาถึงครั้งที่ 4 แล้ว และครั้งนี้ก็มีความพิเศษมาก ๆ กับไลน์อัพที่ทำให้เราเรียกงานนี้ด้วยชื่อเล่นว่า dream pop festival ได้ เพราะแต่ละวงนี่ถือว่าเอาใจ ‘สายบูด’ กันสุด ๆ (พวกพี่ ๆ ในวงการชอบใช้เรียกดนตรีย้วยยาน ซาวด์ lo-fi กีตาร์ก๊องแก้ว ๆ เบสหนุบหนับ) แถมยังมีระยะเวลาจัดนานขึ้น ยาวไปตั้งแต่สี่โมงถึงเที่ยงคืน กะเอาให้คอเพลงแนวนี้คุ้มเต็มอิ่มจุใจกันไปเลยกับรวมมิตรวงดรีมป๊อปยอดฮิตทั้ง Wave and So, Folk 9, Mindwanders, Plasui Plasui, Blue Yogurt, Death of Heather, Anatomy Rabbit, The Vuniyerse, Soft Pine และอีกความพิเศษที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือวงอินดี้ร็อกหน้าใหม่มาแรงจากญี่ปุ่น Bearwear และวงโพสต์พังก์รัสเซียในตำนาน Motorama
15 มิถุนายน 2562
จากเดิมที่กำหนดการเริ่มแสดงของวงแรกอยู่ที่ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง แต่จากสาเหตุบางประการทำให้ Blue Yogurt ขึ้นแสดงตอน 16.15 น. พวกเขาคือวงน้องใหม่แกะกล่องที่ตามรอยรุ่นพี่หลาย ๆ วง กับแนวดนตรีเซิร์ฟป๊อป ดรีมป๊อป ซาวด์ซินธิไซเซอร์จัด ๆ พาร์ตดนตรีหนักหน่วง และนักร้องนำเป็นผู้หญิง ซึ่งเสียงถือว่ามีเอกลักษณ์มากทีเดียว โดยแม้งานจะเริ่มเร็วแต่ก็มีคนมารอดูพวกเขาจำนวนนึงเลยนะ วันนี้วงหยิบเพลงมาเล่นทั้ง Moning, Boyhood, Storm, Forever และคัฟเวอร์สองเพลงคือ Hazel English ในเพลง I’m Fine และที่เซอร์ไพรส์มากคือมี พาฝัน ของ Desktop Error ที่พอพวกเขาพูดว่าจะเล่นเพลงนี้เป็นเพลงต่อไปก็มีเสียงร้อง ‘หูว’ ขึ้นมาในทันทีให้กับเพลงที่เป็นระดับ masterpiece ของหนึ่งในวงอัลเทอร์เนทิฟร็อกที่เป็นต้นแบบของวงหลาย ๆ วงในบ้านเรา ถือว่าเป็นงานแรก ๆ ของพวกเขาแต่ก็ค่อนข้างเอาคนดูได้อยู่ทีเดียวกัน
แล้วประมาณ 16.50 วงที่สอง Death of Heather ก็ขึ้นแสดง วงนี้ประกาศตัวชัดเจนมาเสมอว่าดนตรีของเขาได้อิทธิพลจากวงชูเกซ ดรีมป๊อป หลาย ๆ วง โดนเฉพาะ DIIV ทั้งในบทสัมภาษณ์ เพลง และแม้เสื้อโชว์ที่แล้วหรือหมวกที่ใส่ในวันนี้ก็เป็นของวง DIIV ทั้งสิ้น มีคนมาตามเชียร์พวกเขาประมาณนึงเลยเพราะได้ยินเสียงร้องตามและเสียงเชียร์ตลอด ๆ เริ่มที่เพลงแรก She’s Not There มีความแช่มช้า ได้กลิ่นไซคีเดลิกร็อกเบา ๆ ต่อด้วยเพลงใหม่ที่ยังไม่มีชื่อเรียก โดยพวกเขาเรียกมันว่า New Song กลองนี่ดึงอย่างหน่วง คอร์ดเท่ ๆ ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ เพลง Adversity ของ Beach Fossils แต่ปรับให้กระชับและมีโซโล่สุดเกรี้ยวกราด
ตามด้วยเพลง Brighter ที่มีความอัลเทอร์เนทิฟดุ ๆ กว่าเพลงก่อน ๆ กลิ่นอายแบบ DIIV มาเต็มมาก ต่อด้วย Mind เพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งให้ความรู้สึกแบบเพลงช้า ๆ ของ Slowdive คือ Sugar for the Pill แต่มีเสียงประสานที่น่าสนใจ แล้วจึงเป็นเพลง I Can Tell ที่แฟน ๆ รออยู่กับจังหวะกลางนุ่ม ๆ และปิดท้ายอย่างคุ้มคลั่งใน Drown ที่ดนตรีช่วงท้ายไล่อารมณ์ไปเรื่อย ๆ ดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เอเนอร์จี้พุ่ง ๆ ประมาณเพลง Doused ของ DIIV ลืมไปเลยว่าเล่นเป็นวงแรก ๆ เพราะเพลงเดือดมาก
พอถึงเวลาห้าโมงครึ่ง The Vuniyerse วงตัวจี๊ดจากเชียงใหม่ที่เคยตกใครหลายคนได้จากงาน ฟังใจมัน ตอนนี้พวกเขาก็มาตกคนดูต่อที่ Pow! Fest เริ่มกันที่ Behind the Scene ที่ช่วงอินโทรเป็นการประสานเสียงที่ทำเอาขนลุก เป็นจุดแข็งของวงเลย จากนั้นดนตรี twee pop ก็น่ารัก ๆ ก็เริ่มบรรเลงโดยมีมือกีตาร์ร้องเป็นหลัก และเพลงต่อไปมือซินธิไซเซอร์ก็ร้องนำขึ้นมาบ้างใน Blue Bus แล้วก็ประสานเสียงกันอีกครั้ง โน้ตกีตาร์ช่วงโซโล่มีความจั๊กจี้มาก (ในทางที่ดี แบบ เสียงมันเหมือนยุกยิก ๆ) ให้ความรู้สึกเหมือนเพลงยุค The Beatles อัลบั้มแรก ๆ แล้วท้ายเพลงดนตรีทุกอย่างก็เงียบลงและกลับไปเหลือเสียงร้องของมือซินธ์คนเดียว โอ้ย ขนลุกอีกรอบสิงานนี้
และพวกเขาก็เล่นเพลง Dreamer Lover ที่กลิ่นอายดนตรี Shibuya-Kei ประมาณวง Flipper’s Guitar พุ่งพล่านมาก น่าเต้นง้อกแง้ก ตามด้วย Card Game เพลงที่เพิ่งปล่อยออกมาหมาด ๆ เป็นเพลงเหงา ๆ ที่น่ารักและใช้ซาวด์กีตาร์หลอนได้น่าสนใจ แล้วในที่สุดวงก็ปลุกความเดือดใน Rush เชื่อมกับเพลงก่อนหน้าด้วยเบสสุดกรูฟ กีตาร์เร้า ๆ ฮุกเร้า ๆ เพิ่มด้วยซินธ์ฟุ้ง ๆ ในท่อนหลังและกลองก็หวดไม่ยั้ง อย่างมัน และปิดด้วยเพลงนุ่ม ๆ ใน Summer Down ที่เป็นเหมือน Last Dinosaurs ภาคไซคีเดลิกป๊อป ต้องบอกตรง ๆ ว่าถึงวงจะเริ่มได้ไม่นานแต่การแสดงและการเรียบเรียงเพลงร้ายกาจมาก น่าติดตามต่อ ๆ
หกโมงตรง คนดูยังคงหนาตาขึ้นเรื่อย ๆ ได้เวลาของวง Mind Wanders จากบางแสน อีกพิกัดในไทยที่ถือกำเนิดวงดนตรีดี ๆ มากมาย ถึงจะยังมีเพลงไม่เยอะมากแต่แฟนเพลงก็ติดตามให้กำลังใจตั้งแต่ต้น เริ่มกันที่เพลงแรก The Girl With Short Hair ด้วยกีตาร์ dreamy กล่อม ๆ ฟุ้งฝัน เข้าขนบดรีมป๊อปที่แท้ ต่อด้วย By Your Side ที่พวกเขาบอกว่าหลายคนคิดว่าเพลงนี้เป็นเพลงรัก ให้ลองฟังกันดูว่าจริง ๆ แล้วเกี่ยวกับอะไรกันแน่
แล้วจึงเป็นเบสหนึบหนับ เมโลดี้น่ารักกุ๊งกิ๊ง แต่แอบเท่หน่อย ๆ ในโซโล่ของเพลง Into the Sky ตามด้วยเพลงใหม่ Time is Running Out ราวกับจะบอกว่าเวลาของพวกเขากำลังจะหมดลง และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อเพลงต่อไปที่เล่นคือ Goodbye Summer เป็นเพลงสุดท้ายที่มอบให้กับฤดูร้อน อากาศร้อนแดดเปรี้ยงที่ใครหลายคนไม่ชอบ แต่พอหน้าฝนมาถึงเมื่อไหร่ เราก็คงจะคิดถึงสายลมแสงแดดเหล่านั้น
ก็ได้เวลาของวงเซิร์ฟป๊อป ดรีมป๊อปรุ่นพี่ที่อยู่มาอย่างยาวนาน Wave and So เปิดมาด้วยเพลงเร้า ๆ เดือด ๆ ในงานใหม่ Follow the Sun ต่อด้วย ให้เธอได้รู้ กับอินโทรที่เบสให้ความรู้สึกเหมือนวงต้นแบบเซิร์ฟป๊อป lo-fi จากฝั่งบรู๊กลิน ก่อนจะเล่นเพลง Davy Jones ที่โซ่มือเบสทั้งแต่งและร้องด้วยตัวเอง เหมือนได้เห็นมิติใหม่ ๆ ของวงมากจากเพลงน่ารักแอบเหงาเพลงนี้ ก่อนจะเชื่อมเช้าเพลงที่กลิ่นอายของซินธ์สามารถโยงกันได้อย่างแนบเนียนกับ WayHey จนเพลงต่อไปที่ปลุกความกระฉับกระเฉงด้วยกีตาร์หนัก ๆ กลองหนัก ๆ กับ Moonlight เพิ่มเติมด้วยคอรัสดีงามเลยแหละ กับเพลง DD ที่เพิ่งเล่นไปได้ไม่กี่ครั้ง ดนตรีหนักขึ้นกว่าเพลงอื่น ๆ มาก และโซโล่ก็อย่างเฉียบ
และก็เป็นอีกเพลงที่เดือดดาล เล่นเร็ว ๆ เร้า ๆ ปลุกอารมณ์คนดูใน Blue ที่ทำให้นึกถึงเพลง Careless ของ Beach Fossils อยู่เหมือนกัน กับอีกเพลง First Track ของอัลบั้มใหม่ที่อารมณ์ยังเกาะกันกับเพลงที่แล้วแต่ฟังแล้วมันมาก ตอนนี้วงก็บอกว่า Sun เพลงต่อไปจะเป็นเพลงสุดท้าย และอาจจะเป็นงานสุดท้ายของชิน มือกีตาร์และ illustrator ของวงที่กำลังจะไปเรียนต่อ ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงแรก ๆ ที่พวกเขาทำร่วมกับชิน รวมถึง นี่อาจจะเป็นการเปิดตัวมือกลองเป็นครั้งแรก คือ ปูม ปิยสุ เจ้าของค่ายปรินาม และผู้จัดงานครั้งนี้อย่าง Seen Scene Space นั่นเอง ถึงนี่จะเป็นโชว์ที่ชินจะไม่อยู่แล้ว แต่ถือว่าเป็นการเดินทางก้าวใหม่ของ Wave and So ที่น่าสนใจทีเดียวกับดนตรีที่หนักหน่วงและจังหวะกระฉับกระเฉงมากขึ้น
ต่อกันกับอีกหนึ่งวงที่เมืองมหาสารคามส่งเข้าประกวด กับน้องใหม่มาแรง Plasui Plasui ที่มิวสิกวิดิโอสุดเซอร์เรียลของพวกเขาน่าจดจำไม่แพ้เพลง มากันในอินโทรที่มีความเท่ ๆ ปนมึน ๆ และขึ้นกลองมาดุ ๆ กระชากความน่าสนใจให้ทุกสายตาและทุกใบหูต้องโฟกัสไปที่พวกเขา แล้วก็เล่น Dream เพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาที่มิวสิกวิดิโอเป็นการหาวิธีทำให้เพื่อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ตามด้วย Woman และ Shoe ที่ดูจะเป็นเพลงที่แฟน ๆ ชื่นชอบและรอคอย จากนั้นก็คัฟเวอร์ Beach Fossils ให้กันซักเพลง ตามด้วย Time งานที่มิวสิกวิดิโอหนุ่มปลากับสาวน่ารักไปอยู่ในใจใครหลาย ๆ คน ก่อนจะจากไปด้วยเพลง เหมือนเคย ที่สลัดความ dreamy ทิ้งไปในช่วงท้ายที่กีตาร์ปั่นกันยับ ดีงามมาก แต่น่าเสียดายที่เพลงยังน้อยไปหน่อย
สองทุ่มตรง Folk 9 พร้อมแล้วที่จะเสิร์ฟเพลงฮิตให้กับพวกเรา ในไลน์อัพใหม่นี้วงได้มือกีตาร์ Soft Pine มาช่วยเล่นเพิ่มให้อีกไลน์ เปิดตัวกันด้วย Plant เพลงน่ารักสดใสสีเขียวชวนปลูกต้นไม้ และ The Waiter กับความจีนแสนจีนจากอัลบั้มล่าสุด Chinese Banquet รู้สึกว่าจะปรับให้จังหวะเร็วขึ้น ฟังเล่นสดรอบนี้เลยรู้สึกว่าสนุกขึ้นมาก ต่อด้วยเพลง Feel Good ที่ให้เราปรับตัวให้ช้าลงก่อน แล้วโยงเข้าเพลง Mermaid สุดล่องไหล ก่อนจะกลับไปเป็นเพลง China Town อันที่จริงวงนี้ดูจะอินกับเอเลเมนต์จีน ๆ อยู่ไม่น้อย ตามด้วย Morning Day จากชุดก่อน และเพลงน่ารักเมโลดี้สวย ๆ ใน Lavender และเมื่อเมโลดี้สุดคุ้นหูดังขึ้นก็รู้ทันทีว่านี่คือเพลง แว่นกันแดด ที่แฟนเพลงช่วยกันร้องตามเสียงดังฟังชัด จบเพลงนี้ก็ได้เวลาของเพลงสุดท้าย จากกันไปแบบหวาน ๆ ใน Romantic Scene แม้ก่อนหน้านั้นกราฟเหมือนจะเล่นมุขอะไรสักอย่างซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากฤทธิ์ยาดองแห่งซอย 26 นั่นเอง
เกือบสามทุ่มก็เป็นคิวของวงอินดี้ร็อกจากญี่ปุ่น Bearwear ที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเล่นนอกประเทศตัวเอง วงมาในลุคสบาย ๆ แต่ดนตรีไม่ชิลอย่างที่เข้าใจ ที่สำคัญคือทุกเพลงร้องเป็นภาษาอังกฤษแล้วสำเนียงดีด้วย! เอ้า เราก็ได้ดูพวกเขาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน มาลุยกันเลยดีกว่า เริ่มกันที่ Letters เป็นอัลเทอร์เนทิฟร็อก ดุ ๆ กระชากอารมณ์จากทุกวงที่ผ่านมา ไม่ให้ต่อนยอนกันจนเกินไป ตามด้วย Through a Side Street มีความเป็นทั้งแมธ โปรเกรสสิฟ อัลเทอร์เบา ๆ เท่ชะมัด แล้วนักร้องนำเขาก็ทักทายเป็นภาษาอังกฤษ ‘We’re Bearwear from Tokyo’ บอกว่าคนไทยเจ๋งมาก แล้วชวนมาเต้น มาสนุกกันในเพลงต่อไป Awayfrom ได้ฟีลแบบ The Drums มาก ต่อด้วย e.g เป็นป๊อปพังก์ผสมอัลเทอร์เนทิฟ และมีท่อนหน่วง ๆ ให้ headbang ได้ ต่อกันติด ๆ ไม่ให้เครื่องดับใน Free Fall ที่ต้องโดดกันสุดตัว ร็อกมาก ดีมาก จากนั้นมือเบสก็หยิบโพยภาษาไทยขึ้นมาอ่าน ‘คนนิชิวะ สวัสดีครับ พวกเรา Bearwear ดีใจที่ได้มาเล่นที่นี่ ผมชอบอาหารไทย ขอบคุณครับ’ พูดชัดมากแม่ ซ้อมกี่รอบ เอ็นดู๊ว แล้วฟรอนต์แมนก็ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘เมื่อกี้พอได้ไหม’ แล้วเพลงต่อไปก็เป็นดรีมป๊อปช้า ๆ เพลงแรกของวงที่เล่นเลยมั้ง คือ I’ll Take You Anywhere จบเพลงก็พูดอีกว่า ‘ที่นี่คนเจ๋ง เมืองเจ๋ง ผู้จัดดี เหลืออีกสองเพลง มาดื่มเบียต่อนะ สนุกกันต่อครับ’ แหม๊ อ้อนเก่ง ลุยเลยในสองเพลงสุดท้ายคือ Decay กับ In the Wood ที่อินโทรเข้าช้า ก่อนจะชวนโดดต่อ มีท่อนดรอปแบบกรันจ์ ๆ มีประสานเสียงเพราะ ๆ คือครบรส หลากหลายมาก เอ็นจอยกับ performance ของวงสุด ๆ
สามทุ่มครึ่ง กลับมาที่สายบูดยวบยาบกันบ้าง แต่ Soft Pine ไม่ได้ทำให้ขัดฟีลแต่อย่างใดเพราะพวกเขาก็ออกแบบโชว์ให้ดูมีอะไรเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้เพลงจะไม่เยอะแต่ก็มีการเพิ่มท่อนอินโทร ท่อนเชื่อมระหว่างเพลง เรียบเรียงโซโล่ใหม่อยู่เรื่อย ๆ อย่างรอบนี้ก็เปิดด้วยอินโทรฟุ้ง ๆ ก่อนจะอัพบีตให้กระชับ ๆ หนัก ๆ มือกีตาร์ใส่เอฟเฟกต์เสียงฟ้าว ๆๆๆ ปลุกคนดูกันอีกรอบ แล้วเข้าเพลง Morning ที่ปรับให้เล่นเร็วขึ้น มีท่อนโซโล่ที่อะเรนจ์เท่ ๆ ก่อนจะเล่นเพลงฮิต เผลอนอนต่อ ที่บรรดาแฟนเพลงช่วยกันร้องอย่างพร้อมเพรียง โชว์สนุกขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะตัดเข้า interlude ฟุ้งฝัน มีความเป็นเทพนิยายแบบปั่น ๆ ชวนจิตหลุดนิด ๆ และเป็นทำนองของเพลงบรรเลงที่ชื่อ ไข่หวาน ที่เล่นหลังจากนั้น น่าดีใจแทนวงที่ทุกคนก็ช่วยร้องทำนองของเพลงนี้แม้ไม่มีเนื้อ สุด แล้วปรับเข้าอารมณ์ซึม ๆ อุ่น ๆ กับ Indoor Plant ที่ฟรอนต์แมนได้โซโล่กีตาร์แบบอิมโพรไวส์น้อย ๆ ก่อนจะจากไปในเพลงน่ารักล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมา Lido วงแอบบ่นว่าเพลงน้อยแล้ว ต้องขยันทำเพลงเพิ่มทั้งคนฟังคนเล่นจะได้ไม่เบื่อ รอฟังกันไว้ได้เลย
อีหนึ่งวงที่หลายคนรอคอย ความภูมิใจจากอุดรธานี Anatomy Rabbit ที่โด่งดังพลุแตกในเวลาอันรวดเร็วอีกเหมือนกัน ฮอลแน่นขนัดจนเราต้องร่นมายืนด้านหลัง เปิดมาด้วยเพลงเปิดตัว We are Rabbits และเพลงฮิตก่อนหน้านี้นั่นคือ ยังเยาว์ ต่อด้วยเพลง อุดรทาวน์ กับป๊อปย่อยง่ายแต่แอบเท่สไตล์ Last Dinosaurs ที่มีคนร้องได้เต็มไปหมด แล้วก็เล่น Everytime ซึ่งเป็นเพลงจุดเริ่มต้นของวง พวกเขาชวนทุกคนร้องในท่อนเท่ ๆ โหวกเหวกว่า ‘จะกลับมารัก ๆๆๆๆ’ ท่อนนี้ซึ่งมันใช้ได้เลย แล้วก็เป็นเพลงล่าสุดที่พวกเขาปล่อยมานั่นคือ สภาวะเดียวดายบนดาวอังคาร ให้ได้ซึม ๆ กันไป ก่อนจะชวนกันมา ขับรถเล่น ในเพลงสบาย ๆ หน่วง ๆ ย้วย ๆ เพลงนี้ และปิดด้วยเพลง Wonder Why? เพลงแรกที่ทำให้เรารู้จักกับพวกเขาและลองติดตามมาเรื่อย ๆ ก็พบว่า เออ เพลงนี้มีสีสันและน่าสนใจมาก ๆ แต่ในวันนี้พวกเขาอินโทรด้วยการเล่นช้า ๆ ให้คนได้ช่วยกันร้อง ซึ่งก็ร้องกันดังลั่นฮอล แล้วดนตรีเดือด ๆ ก็เข้ามาให้ได้โดดกันยับ ก่อนเปลี่ยนไปเป็นท่อน alternate ที่จังหวะดึงช้ายวบยาบ เป็นเพลงที่มีหลายอารมณ์และเอาอยู่จริง ๆ
และก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของงาน เวลาห้าทุ่มตรง วงโพสต์พังก์ ดรีมป๊อปจากรัสเซีย Motorama ก็ขึ้นมาประจำที่บนเวที ไฟแสงสีต่าง ๆ ถูกปิดมืด ไม่มีการฉายวิชวลใด ๆ ลงบนแบ็กดรอป ไฟขาวและไฟสีแดงสาดไปยังพวกเขาในเพลงแรก You & the Others จากอัลบั้มล่าสุด Many Nights ตามด้วยกลองยึกยักก่อนเข้า Heavy Wave จากชุด Poverty และกลับไปชุดล่าสุดใน Homewards ให้เดือดกันอุตลุต แต่แล้วเพลงต่อไปเราต้องกรี๊ดแตกมาก ๆ เพราะนี่คือ Wind in Her Hair จากชุด Alps กับกีตาร์ในอินโทรที่มีความโกลว สดใส ปนหม่นเศร้า ซาวด์เอกลักษณ์ที่ได้ยินครั้งแรกในร้านกาแฟแถวมหาลัยทำเอาวัยนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง ตามด้วยเพลงช้า ๆ เสียงซินธ์ตุ้มต่อมใน Voice from the Choir และ Kissing the Ground ตามด้วยเพลงเบสหนึบหน่วง ๆ ใน I See You จากชุด Dialogues แล้วก็เล่น This Night และ Empty Bed จากนั้นซาวด์มิดิที่เล่นซินธิแหลมสูงกับกลองบีตถี่ ๆ แบบที่เราชอบก็ดังขึ้นในเพลง He Will Disappear ที่มีเสียงกลองแอฟริกันเท่ ๆ ในนั้น ตามด้วยเสียงเบสลุ่มลึกและความมืดหม่นของเพลง Hard Times และ No More Time ที่อินโทรกีตาร์เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ ต่อด้วย Rose in the Vase งานจากอัลบั้มชุดแรก Calendar ที่พอจะทำให้เราหวนนึกถึงซาวด์ดรีมป๊อป เซิร์ฟป๊อปนุ่มนวลในมุมหนึ่งของวงได้ (เพราะพี่ ๆ ทั้งสามคนเขามาลุคหน้าเครียด ดูเท่น่าเกรงขามเหลือเกิน)
และก็เล่นซิงเกิ้ลสนุก ๆ She Is There ตามด้วยการโดดยับหยองแหยงใน To the South และ Alps ที่ซาวกีตาร์โดดเด่นและไพเราะ กลองเร้า ๆ ทำให้เราหลุดไปในภวังค์ชั่วขณะ ก่อนที่เสียงมิดิน้ำไหลในเพลงSecond Part จะดังขึ้น บีตในเพลงนี้สุดจะ post punk จนเราโดดสุดตัว และจบไปด้วย Devoid of Color ที่ท่อน ‘She’s waking on the night train’ คนแถวหน้าช่วยกันร้องไปกับวง จบเพลงนี้พวกเขาโบกมือบอกลาและขอบคุณพวกเรา แต่ก็เปิดซาวด์ค้างไว้เหมือนรอให้เราอังกอร์ ผู้ชมตบมือเสียงดังเป็นเวลานาน มากกว่าที่จะตะโกนโหวกเหวกอังกอร์ ซึ่งแปลกดีเหมือนกัน แล้วสักพักวงก็กลับขึ้นมาเล่นเพลง Ghost ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเพลงดังของวง ดีใจมาก ๆ ที่เล่นเพลงนี้ ระหว่างโชว์เราจะได้ดูการที่วลาด ฟรอนต์แมน เอาไม้กลองตีฉาบ ต่อยฉาบ และเคาะไปตามขาฉาบ เวที ขาไมค์ เอเนอร์จี้ของพวกเขาพุ่งพล่านมาก ๆ แม้จะเป็นแนวเพลงที่เราไม่คิดว่าจะเต้นยับได้ขนาดนี้ แต่รู้ตัวอีกทีก็เต้นตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย
ขอบคุณ Seen Scene Space ที่จัดงานดี ๆ แบบนี้ เราได้เห็นศักยภาพของวงไทยหลาย ๆ วง และได้ลองฟังเพลงจากวงดรีมป๊อปหน้าใหม่ ๆ รวมถึงได้ซึมซับบรรยากาศของแฟนเพลงกลุ่มนึงที่ซัพพอร์ตวงที่พวกเขารักเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือไม่คิดว่าจะได้ดู Motorama ที่ประเทศไทย และดีใจที่ได้รู้จักกับวงอย่าง Bearwear นี่ขอรอไลน์อัพ Pow! Fest 5 ล่วงหน้าเลยได้ไหมนะ ฮ่า แต่ก่อนจะไปถึงงานรอบหน้า Seen Scene Space ยังมีคอนเสิร์ต Circa Waves รอเราอยู่อีกงานนะ จับจองบัตรกันได้แล้ววันนี้