จบไปแล้วกับ Pink Cloud Festival งานรวมวงสายพังก์วัยรุ่นที่จ๊าบที่สุดในประเทศนี้!
- Writer: Malaivee Swangpol, Tas Suwanasang and Widthawat Intrasungkha
- Photographer: Panot Kunsongkeit
เชื่อเลยว่าตั้งแต่งาน Pink Cloud Festival ประกาศไลน์อัพแรก เด็กสายพังก์อย่างเรา ๆ ก็คงมีกรี๊ดกันบ้าง ด้วยความที่ขนมาหมดทั้งสายเซิร์ฟพังก์ ฮาร์ดคอร์ ชูเกซ และอีกมากมายที่แค่เห็นก็พร้อมกระโดดแล้ว ซึ่งพอถึงวันจริง ด้วย vibe ดิบ ๆ ได้ฟีลเฟสติวัลออสซี่ ก็ยิ่งทำให้เราตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ วันนี้ทีมงาน Fungjaizine เลยขอช่วยกันเล่าบรรยากาศตามสไตล์ตัวเองกันคนละนิดละหน่อย
Verge Collection
ด้วยการเดินทางอันยาวไกลทำให้เรามาไม่ทัน Daniel Didyasarin, Abuse The Youth และ Wave And So ฮือ แต่ก็ยังพอทัน Verge Collection เพลงท้าย ๆ อย่าง Our Place ซึ่งเพลงก็ดังข้ามคลองมาไปถึงวัดตรงหน้างาน ซึ่งก็รู้สึกได้ถึงความพุ่งของซาวด์มาก ๆ ไว้โอกาสหน้าจะต้องดูให้ได้! สัญญาาา — อีโมลัย
Srirajah Rockers
หลังจากฝนโปรยปรายไม่หยุดหย่อน ช่วง 6 โมงเสียงเครื่องเป่าก็ดังขึ้น ซึ่งทุกคนก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นใคร ชาว Pink Cloud ที่หลบอยู่ใต้ชายคาก็แห่กันมาดู ซึ่งระหว่างโชว์ฝนก็ตก ๆ หยุด ๆ แต่ วิน นักร้องนำก็ตะโกนบอกทุกคนว่า ‘ฝนตก แดดก็ออกได้โว้ย!’ ทำให้ทุกคนพร้อมใจเต้นกลางฝนกันอย่างสนุกสนาน แถมจำนวนคนในวงที่ร่วมใจช่วยเอ็นเตอร์เทนกันเป็นอย่างดี ซึ่งพวกเขาก็ขนเพลงฮิตมาอย่าง Organix, Karma Sound System, ตากแดด, พรรณลำพัง, ดงกัญชาบาน และอีกมากมาย ก่อนวงจะทิ้งท้ายด้วยคำว่า ‘สาธุเด้อ ๆๆ ขอบใจหลายเด้อ ๆๆ’ — อีโมลัย
Turnover
พวกเขาขึ้นเวทีมาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วลุยเล่นเพลงฮิตกันอย่างจุใจทั้ง Dizzy on the Comedown, Humblest Pleasures, Cutting my Fingers off, Super Natural, Humming และอีกหลายเพลง ที่ Austin Getz นักร้องนำกล่าวขอบคุณว่า ‘ขอบคุณทุกคนที่มาซัพพอร์ตพวกเรา ทั้ง ๆ ที่ต้องตากแดดตากฝน พวกเราอยู่ไกลจากบ้านมาก ๆ ดีใจที่พวกคุณมาดูเรา แล้วก็ดีใจที่ได้มาที่นี่อีกรอบ’ — อีโมลัย
Thud
หลังจากฝ่าฟันคลื่นรถยนต์จนมาถึงงานได้ก็เห็นว่าเมฆฝนมาครึ้ม ๆ แต่ก็ไม่ทำให้บรรดาผู้คนรู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด ซึ่งตอนที่เราไปถึงก็คิดว่าคงพลาด Thud ละ แต่กลายเป็นว่าตอนวงเล่นไปได้กลางเซ็ตฝนก็เริ่มเทลงมา ทำให้ต้องเลื่อนเวลาการเล่นออกไป (เหมือนโชคเข้าข้าง) โดยทางทีมงานได้เร่งทำการย้ายเวที Garden Stage มาตรงลานจอดรถซึ่งมีหลังคาและใกล้กับบูธเบียร์ โดยหลังจากเซ็ตเครื่องและ ซาวด์เช็คไม่นานนัก วง Thud ก็เริ่มบรรเลง ปล่อย wall of sound ออกมา ทำให้เรารีบวิ่งเข้าไปอยู่ในวงล้อมทันที ซึ่งสิ่งที่เราได้เรียนรู้คือวงมีนักร้องผู้หญิงด้วย! ซึ่งซาวด์ของวง shoegaze จากฮ่องกงทำให้เรานึกถึงวงชูเกซชั้นตำนานจากฝั่งยุโรปเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะมีสำเนียงความ dreamy จากซินธ์ของนักร้องแล้ว ตัววงเองยังแอบมีลูกเล่นอยู่เรื่อย ๆ ไม่ปล่อยให้ผู้คนจมปลักหรือล่องลอยนานเกินไป วง Thud มีส่วนผสมทั้งซาวด์กีตาร์ที่หนาเป็นกำแพง และเสียงซินธ์ที่มีทั้งเมโลดี้ sequencer และ appregiator ส่วนตัวเราชอบเพลง Ado มาก ๆ เลย เพราะเป็นเพลงที่ทำให้นึกถึง My Bloody Valentine วงโปรดของเรา ถือเป็นอีกวงที่น่าจับตาสำหรับคนที่โหยหาเสียงกำแพงกีตาร์แบบหนา ๆ — น้าแมว
Death of Heather
ถัดจาก Thud ไม่นาน Death of Heather ที่จะต้องเล่นใน Garden Stage ก็ได้ถูกโยกขึ้นมาเล่นบน Youth Stage ซึ่งเป็นเวทีใหญ่ ซึ่งถึงแม้จะฉุกละหุกเรื่องการจัดตารางเวลาใหม่เล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็เริ่มจะลงตัว ผู้คนเข้าใจ โฟลวใหม่ที่เกิดขึ้น และก็ยังคงเต็มที่กับการแสดงสดของวงที่เล่น ณ ขณะนั้น โดย Death of Heather เปิดตัวมาด้วย She’s Not There เพลงจาก EP แรกของพวกเขา นอกจากนั้นยังขนเพลงมาเกือบทั้ง EP พร้อมเพลงใหม่ที่ยังไม่ได้ปล่อยซึ่งทางวงแอบกระซิบว่าอาจจะใช้ชื่อ What Do You See ก่อนจะต่อด้วยเพลงฮิตติดชาร์ต I Can Tell และปิดท้ายด้วย Drown ซึ่งแม้พวกเขาจะขึ้นเวทีใหญ่เป็นครั้งแรก ๆ แต่ตัววงเองก็สามารถ perform ออกมาได้ดี และทำให้คนดูเพลิดเพลินไปกับซาวด์ล่องลอยของงานนี้ — น้าแมว
Gymshorts
วงสุดซ่ากับนักร้องนำสาวที่เรากรี๊ดมาก ๆ ในความเท่ ซึ่งด้วยซาวด์ฮาร์ดคอร์ดังลั่นก็ทำให้เวทีเล็กแทบระเบิด แถมคนดูก็ร่วมกันมอชกันอย่างไม่ยั้ง ซึ่งคนก็ร่วมกันตะโกนตามเนื้อเพลงกัน อย่าง Gotta Get Away, Ding Dong Ditch (เพลงนี้เล่นสดสนุกมากกก), Hey Parents! ฯลฯ ที่เชื่อว่าใครไปยืนอยู่หน้าเวทีต้องโดนวงนี้ตกอย่างแน่นอน อ้อ แอบเห็น Getz นักร้องนำ Turnover มายืนดูด้วย โคตรได้ฟีลชาวเรา — อีโมลัย
พวกเขาคือ Gymshorts วงสโตนเนอร์พังก์จากโรดไอส์แลนด์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากที่ฝนเทกระหน่ำลงมาก็เลยทำให้ตารางงานเกิดรวนนิดนึงจนต้องย้ายมาเล่นที่เวทีเล็กตรงที่จอดรถแทน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พลังการแสดงของวงลดลงเลย แถมยังทำให้เราใกล้ชิดกับวงขึ้นไปอีก ซึ่งด้วย energy ของวงทำเอาคนดูหอบกันไปตาม ๆ กัน เพราะแทบไม่ให้คนดูได้หยุดพักกันเลย ซึ่งในไฮไลต์ของโชว์นี้คือมีเพลงที่ให้ทุกคนได้แหกปากพร้อม ๆ กันว่า ‘Your mom’s a bitch! แถมในแต่ละเพลงยังมีท่อนดร็อปหน่วง ๆ ตามสไตล์สโตนเนอร์ร็อกที่พร้อมจะตัดเข้าท่อนฮาร์ดคอร์พังก์ ได้ในทุก ๆ เมื่อ ส่วนคนดูก็ต่างแท็กกันอย่างดุเดือด นี่แหละคือพังก์สายเลือดอเมริกันที่แท้!! — ทัสสึ
Hockey Dad
Hockey Dad คือวงคู่หูดูโอ้จากนิวเซาธ์เวลส์ ออสเตรเลีย พวกเขาผสมผสานกลิ่นอายความเป็นเซิร์ฟ ป๊อปพังก์ อีโมและสเก็ตเข้ากันอย่างลงตัว ถึงจะมีกันแค่สองคนแต่ก็ถือว่าเอาคนดูได้อยู่หมัดจริง ๆ เพราะทุกคนกระโดดและเต้นกันแทบทุกเพลง แถมตลอดทั้งโชว์ของ Hocky Dad นั้นมีการโต้ตอบกับคนดูตลอด แล้วบวกกับสำเนียงการพูดพูดของทั้งคู่เรียกได้ว่ากวนขั้นสุด วงปิดท้ายด้วยเพลง Seaweed ซึ่งเป็นเพลงเดียวที่ผมร้องตามได้ ฮ่า ๆ แต่นับว่าเป็นการแสดงสดของวงที่เต็มอิ่มและสนุกมาก ๆ เลยทีเดียว — ทัสสึ
สองหนุ่มทำเอาเวทีที่เล่นอยู่ใหญ่ไปเลย ฮ่า ๆ ไนซ์มาก ๆ แย่งกันพูดตลอด ไม่ปล่อยให้มี gap ว่างเลย แถม Zach Stephenson นักร้องนำก็บอกพวกเราว่า ‘ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเล่นที่ไทย ดีใจมาก ๆ’ — อีโมลัย
Beddy Rays
พวกเขาเล่นต่อจากสองหนุ่ม Hockey Dad โดยไม่ให้เราได้พัก ซึ่งโชว์ของพวกเขาเป็นอีกโชว์ที่สนุกสนานมาก ๆ แล้วมีสาว ๆ แฟนคลับ และแฟนจริง ๆ (ฮ่า ๆ ) ของวงมาร่วมร้องเพลงกันหน้าเวทีอย่างสนุกสนาน แถมยังมีช็อตเด็ดที่มีคนปารองเท้ามาแล้วมือกีตาร์หยิบมาใช้แทนแก้วเบียร์ ที่ทำเอาคนดูเฮดังลั่น ที่สุดแห่งความออสซี่!! ซึ่งวงก็เอ็นเตอร์เทนคนดูได้ตลอดโชว์ แถมยังขนเพลงอย่าง Fool Around, Sway, As it Comes my Way และเพลงฮิตอีกมากมายมาให้เราโดดทั้งโชว์ — อีโมลัย
Dune Rats
ปิดท้ายไปด้วยสามหนุ่มสโตนเนอร์ที่เอ็นเตอร์เทนกันดีสุด ๆ หัวเราะกันทั้งโชว์ แถมแย่งกันพูดอีก (อย่าพูดเร็ว ฟังสำเนียงออสซี่ไม่ออก ฮ่า ๆ ) แล้วก็ยังทักทายพวกเราด้วยภาษาไทยสำเนียงออสซี่ว่า ‘สวัสดีค้าบบบบ It’s fuckin’ hot!’ — อีโมลัย
วงพังก์ขวัญใจสายเขียวจากออสเตรเลีย ซึ่งในเวลานั้นผมเริ่มเมาในระดับนึง หรือจะเรียกได้ว่าเมาจัดเพราะกินเบียร์ไปแทบไม่หยุดเลยก็ว่าได้ บอกไว้ก่อนเลยว่าอาจจะจำไม่ได้ทุกเพลงหรือเพลงไม่ตรงก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
พอถึงเวลา 5 ทุ่มโดยประมาณ สมาชิกวงทั้งสามคนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากก็เปิดด้วยเพลง Don’t Talk แล้วต่อด้วย 6 Pack ซึ่งทันทีที่เพลงดัง เบียร์ที่ถือในมือผมสั่นงึ่ก ๆ จนต้องกระดกเบียร์พร้อมกระโดดไปด้วยอย่างแรง เพลงสาม เพลงสี่ก็ยังกระโดดอย่างต่อเนื่อง พอมาถึงเพลงที่ห้าก็ถึงเวลาของ Red Light Green Light (เพลงที่ดึงบ้องตลอดทั้ง mv) โดยนักร้องนำ Danny Beus ก็บอกให้แฟนเพลงทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองฝั่ง หรือที่ชาวร็อกเรียกกันว่า wall of death นั่นเอง เท่าที่จำได้คือ ก่อนเพลงเริ่มมีไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้ก็วิ่งเข้าสเปียร์ใส่ตากล้องของวงที่คอยเก็บภาพอยู่ที่กลางวงมอช ทำเอาถูกใจคนดูและวงสุด ๆ ซึ่งพอคนพร้อมได้ที่ทางวงก็เริ่มเพลงแล้วทุกคนก็พร้อมใจวิ่งเข้าแท็กกันอย่างดุเดือด จนหลาย ๆ คนล้มไปกองกันอยู่ที่พื้น รวมถึงตัวผมด้วย จนต้องถอยมาตั้งหลักซักครู่นึงแล้วก็เข้าไปลุยต่อในมอชพิตสองเพลงรวด
จากนั้นก็เดินทางมาถึง Braindead ต่อด้วย Buzz-Kill และเพลงดังอย่าง Scott Green ที่ทำเอาหายใจไม่ทันเพราะแทบไม่ได้พักจากการแท็กกันอย่างบ้าคลั่งเลย หลังจบเพลงทางวงก็ได้พูดอะไรซักอย่างกับคนดูแต่ผมดันจำไม่ได้ว่าพูดอะไร และวงก็ได้เซอไพรซ์แฟนเพลงด้วยการคัฟเวอร์เพลง Blister in the Sun ของวง Violent Femmes ประมาณครึ่งเพลงและก็ตามด้วย Dalai Lama, Big Banana, Marijuana ก่อนจะปิดด้วยเพลง Bullshit ที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องว่า ‘Everything you say, is bullshit!!!’ จบงาน ถึงเวลาที่ต้องร่ำลากันแต่เหมือนกับว่าทุกคนยังอินกันอยู่ เพราะหลาย ๆ คนก็ยังคงเดินร้องเพลง Bullshit กันอย่างเมามายในช่วงที่เดินออกจากงาน เรียกได้ว่าผมกลับบ้านในสภาพสะบักสะบอมเลยทีเดียวแต่ก็ถือว่าคุ้มมาก ๆ กับการได้มางาน Pink Cloud ในครั้งนี้ เพราะจากที่เคยบ่นกับเพื่อนหลาย ๆ คนว่าอยากดู Dune Rats ชิบหาย แล้วสุดท้ายวันนี้ก็มาถึง แถมด้วยวงอย่าง Hockey Dad และ Gymshorts ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของคืนนั้น ซึ่งถึงจะเป็นวงเล็ก ๆ แต่ผมเชื่อว่าใครหลาย ๆ คนต่างพากันโดนตกไปเป็นที่เรียบร้อย — ทัสสึ
สิ่งที่ชอบคือบรรยากาศของงานที่แม้จะเป็นงานเซิร์ฟพังก์ แต่ผู้ก็คนเปิดใจกับแนวเพลงที่หลากหลายซึ่งเป็นสีสันที่ดีและอยากให้เกิดขึ้นในทุก ๆ งานไป — น้าแมว
แอบเห็นผู้จัดแย้บ ๆ มาในเพจเฟสบุ้คว่า ‘Who should we bring in 2020’ ถ้าใครอยากสนับสนุนให้เกิด Pink Cloud 2020 ก็อย่าลืมไปให้กำลังใจพวกเขาได้ที่ Facebook Pink Cloud
อ่านต่อ
จับเข่าคุยกับ ออม-ดิว สองผู้จัดแห่ง Wildest Youth ก่อนจะถึง Pink Cloud Festival งานรวมวงออสซี่ในฝัน!
‘Death of Heather’ จาก Pop Punk สู่ Dream Pop จาก Blink-182 สู่ Turnover
10 วง จากออสเตรเลียที่เราอยากให้คุณ ‘ฟัง’ เดี๋ยวนี้
Laneway 2018 เทศกาลดนตรีที่จะแผดเผาคุณด้วยศิลปินสุดฮอตและแดดในฤดูร้อน