สัมผัสประสบการณ์ดนตรีรูปแบบใหม่ใน Noise Market 6 มหกรรมตลาดทางเสียง
- Story and photos by Nattawoot Nimitchaikosol
3 มิถุนายน 2560
งาน Noise Market ปีนี้จัดเป็นปีที่หกแล้ว ซึ่งความน่าสนใจที่ยังไม่เปลี่ยนไปของทุกปีคือเรามักจะได้ดูการแสดงสดของวงหน้าใหม่สายทดลองที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน และนี่เป็นเหตุผลหลักที่เราติดตามเทศกาลนี้ แถมทุก ๆ ปีมักจะมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมไปเรื่อย ๆ จนล่าสุดมีการฉายหนังทดลองภายในงานด้วย
การเปลี่ยนแปลงในส่วนผังการจัดงานในปีนี้ คือมีหนี่งเวทีย้ายไปจัดข้างหลัง หันหน้าหากันกับอีกเวที และมีเวทีจัดอยู่ข้างหน้าเหมือนเดิมหนึ่งเวที ซึ่งอยู่รวมกับลานฉายหนังกลางแปลงที่มีร่มใบบัวยักษ์สุดน่ารักอยู่ตรงกลางลานกว้างอีกหนึ่ง รวมเป็น 4 เวที และในหนึ่งโซนที่เวทีไหนอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาจะจัดให้เวลาที่วงดนตรีขึ้นเล่นเหลื่อมกัน เมื่อวงดนตรีเวทีนึงเล่นจบแล้ว เวทีข้าง ๆ กันก็จะเล่นต่อทันที เพื่อเวลาที่เล่นแล้วจะได้ไม่เกิดเสียงตีกัน และวงดนตรีที่เล่นอีกเวทีใกล้ ๆ กันจะมีเวลาให้เซ็ตเครื่องเสียงได้เต็มที่ เป็นอีกหนึ่งความชอบในการจัดการของงานปีนี้
ด้านตลาดขายของก็ดูคึกคักไปด้วยสินค้าแฮนด์เมด ทั้งเสื้อผ้า และซีดีจากศิลปิน พ่วงด้วยกิมมิกจากฝั่งขายอาหารอย่างการรียูส ที่ถ้าใครพกภาชนะ ไม่ว่าจะเป็นแก้ว จาน ชาม มาใส่อาหารเอง หรือเอาภาชนะที่เคยซื้อไปแล้วมาเติมอีกรอบก็จะได้ส่วนลดทั้งสองแบบ ถือว่าเป็นการช่วยลดขยะพลาสติกที่ดีทีเดียว
เราเข้ามาถึงงานประมาณสี่โมงครึ่ง ซึ่งโชคดีที่เข้ามาดู Funktion ทัน เป็นวงที่ยังไม่เคยดูสด ๆ เลยต้องขอลองสักหน่อย ซึ่งวง Funktion คือวงสาย fusion jazz ในไทยที่มีฝีมือจัดจ้าน วันนี้เหมือนมาเล่นให้เข้ากับบรรยากาศการนั่งฟังสไตล์ชิล ๆ และร่มรื่น ทำให้นึกถึงงานบางกอกแจ๊สไนต์ที่จัดอยู่ตรงแถวท่าพระอาทิตย์เลย ซึ่งเพลงที่วงเล่นก็เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม Solid Highway ทั้ง Natural Order, Suparee Funk และ Lost In Seoul เพลงช้าที่เราฟังเสียงแซ็กโซโฟนแล้วเคลิ้มไปถึงไหนต่อไหน
จบจาก Funktion เราเดินมาดูที่เวทีข้างหน้าสุดที่เพิ่งรู้ภายหลังว่าเป็นวง Scoutland แดนลูกเสือ ซึ่งเป็นอีกโปรเจกต์ของ ณป่าน Hariguem Zaboy แต่เราไม่เคยฟังเพลงของพวกเขามาก่อน แต่ความรู้สึกแรกที่ได้ยินเพลงวงนี้คือ อะไรเนี่ย การผสมแนวเพลงแบบนี้คืออะไรกัน มีส่วนผสมของ โปรเกรสซีฟ แจ๊ส แมธร็อก และแนวทดลอง ดูแล้วประหลาดใจผสมไปกับความตื่นเต้นที่มีลูกเล่นที่คาดเดาไม่ได้ (หรือเพราะเราไม่เคยฟังเพลงเขามาก่อนก็ไม่รู้) แต่ยิ่งตกใจที่มีการใช้เบสทำเสียง scratch แผ่นด้วย เมื่อเพลงจบแล้วมือกีตาร์ออกมาพูดแนะนำวง และแนะนำมือกลองที่มาจากวง Sasi ดูท่าทางเขิน ๆ เหมือนเป็นสายพูดน้อยต่อยหนัก ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ซัดเพลงกันต่อและจบอย่างง่ายดาย ชอบมาก แต่เสียดายที่เสียงกีตาร์มันเบาไปนิดนึง
ถัดมาตอนประมาณหกโมง เรามาดูวง Aesthethic Granny & Pete นี่ก็เป็นวงที่เราไม่รู้จักมาก่อน พอได้ดูการเล่นสดแล้วก็เป็นเพลงโฟล์กที่ฟังแล้วนีกถึง Little Fox หรือ Selina & Sirinya ในวัยที่หนุ่มกว่า (ถ้าเปรียบกับ View From the Bus Tour น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น) เนื้อร้องจะเป็นคำง่าย ๆ ซื่อ ๆ ตรงไปตรงมาไม่มีชั้นเชิง ฟังแล้วอบอุ่นดี ซึ่งเข้ากับคาแร็กเตอร์และบรรยากาศนั่งชิลอากาศร่มรื่นเย็น ๆ แบบนี้ แต่นักร้องนำแอบลืมเนื้อร้องตัวเองด้วย (แซวนะครับ) ถึงจะยังไม่ได้มีจุดที่โดนใจมาก แต่ถ้ามีประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมากกว่านี้ อาจจะเกิดการสะเทือนจิตก็เป็นได้
เสร็จปั๊บก็รีบไปดู Brandnew Sunset ต่อ (กำลังบอกว่าฟังเพลงโฟล์กแล้วเย็นใจดีอยู่เลย ข้ามมาอีกทีมาฟังสายร็อกเฉย) เป็นวงที่อยากดูสดมานานแล้ว ไม่มีโอกาสได้ดูสักที บุญพาวาสนาส่งขนาดนี้ก็ขอชมสักหน่อย ระหว่างที่กำลังเริ่มเล่นกีตาร์กัน เขามาบิ๊วคนตบมือหน้าเวทีแล้วครับ แถมยังกวักมือเรียกคนไปสนุกกันหน้าเวทีอีก แค่นี้ใจคนดูอย่างเราก็เริ่มฮึกเหิมแล้ว พอเริ่มเล่นก็เป็นเพลงจากอัลบั้มใหม่อย่าง Time แค่เพลงแรกก็จัดเพลงยาวสิบเจ็ดนาทีกันเลยเหรอ แถมพี่ตูนนักร้องนำนี่ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์กับคนดูสุด ๆ วิ่งเข้าไปแท็กมือชาวต่างชาติ ยื่นไมค์ให้คนดูว้าก เล่นกับตากล้อง แถมยังเล่นกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าฉันกำลังเจอกับอะไรบนโลกใบนี้ เด็กปิดหูหนีใหญ่เลย ฮ่า ๆ บางทีอาจจะมีปัญหาไมค์ดับไปบ้างแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความคลั่งของพี่ตูนได้เลย ที่สุดพีคมากสำหรับเราคือเล่นแค่ Time เพลงเดียวจบ แล้วลงเลย โหดสัส ๆ สำหรับเราแอบคิดว่าถ้าได้เวทีใหญ่กว่านี้คงดิ้นให้กระดูกหลุดจากข้อแน่นอน
ถัดมาเรากลับมาดูเวทีสายชิลอีกรอบก็เจอวง Jenny & the Scallywags กำลังเริ่มเล่นพอดี จริง ๆ แล้วเราอาจจะไม่ถูกโฉลกกับเพลงโฟล์กที่มีคันทรี่สไตล์นิดหน่อย แต่ก็ยอมรับนะว่าเจนนิเฟอร์นี่ชาร์มมิ่งทีเดียว เราว่าเล่นสดดีกว่าที่คาดหวังไว้นะ ถือว่าฟังได้เพลินสำหรับเรา อย่าง Sounds Like Maybe ที่ได้ฟังตอนเล่นสด ๆ แล้วโอเคกับเพลงมากขึ้น แถมเพลงที่เล่นคัฟเวอร์วง Glass Animals อย่าง Gooey ก็ถือว่าน่าประทับใจ ถือเป็นวงที่ใช้เวลาคุ้มค่ามากเล่นได้หลายเพลงเลย ปิดท้ายด้วยเพลง The Beast ซึ่งเป็นเพลงที่มีจังหวะต่างจากเพลงอื่น ๆ ที่เราได้ฟัง และชอบเพลงนี้ที่สุดที่เล่นมา สุดท้ายทางวงกด็ได้โปรโมตว่าอัลบั้มใหม่กำลังจะออกแล้ว ถ้าอยากฟังเพลงพวกเราเต็ม ๆ อัลบั้มครั้งแรกมาเจอกันที่งานเปิดตัวที่ Play Yard วันพฤหัสนี้นะจ๊ะ
ถัดมาจากเวทีฝั่งตรงข้ามเองเป็น Sao Moonlight Gypsy ที่พร้อมขึ้นเล่นต่อทันที ดูแล้วประหม่านิดหน่อย แต่พอบอกว่ามาเล่น Noise Market เป็นครั้งแรกก็พอจะเข้าใจได้ เป็นเพลงแนวโฟล์ก มีไวโอลินมาประกอบ ดึงเพลงที่เหงาให้หวานได้ เสียงนักร้องนำก็ถือว่ามีพลังแสดงความหม่นนิด ๆ ได้ดี มีเพลงออริจินัลที่ยังไม่ได้อัดเป็นเวอร์ชันสตูดิโออย่าง ฉันยังรักเธอได้ไหม และยังมีการคัฟเวอร์เพลงสากลยอดฮิตอย่าง All I Want ของ Kodaline อีก เสียดายมีเวลาได้ดูแค่ไม่กี่เพลง เพราะพอดีเราจะแว้บไปดูหนังสั้นที่อยากดู ถ้าคราวหน้ามีโอกาสก็อยากจะดูโชว์แบบเต็ม ๆ มากกว่านี้
หลังจากที่กลับมาจากการดูหนังสั้นก็เจอวง Sasi เล่นอยู่พอดี และเพิ่งเห็นว่ามีกลองสองตัว ดนตรีมีความเวิร์ลมิวสิกเล็กน้อย ส่วนตัวแล้วเราได้ฟังเพลงของเขาไม่บ่อยนัก แต่พอได้ดูเล่นสดแล้ว โหย ดนตรีแน่น บางเพลงพาอารมณ์ดิ่งแบบฉับพลันอย่าง Evening แล้วเนื้อเพลงมีความสละสลวยบางอย่าง แถมนักร้องยังเท่อีกตะหาก แต่เวลาเข้าช่วงพูดนี่จะเสียงเบามาก แต่เพลง Jai นี่ถือว่าไฮไลต์มาก มือกีตาร์ถึงขั้นแผดเสียงกรีดร้องระหว่างโซโล่ สร้างความช็อกแต่เร้าอารมณ์ให้คนดูทั่วเวที ก่อนทีจะจบลงไปด้วยความมัน หลังจากนั้นเราก็เลยออกมาดูกลุ่มหนังสั้นที่เป็นอีก section ที่น่าสนใจกันบ้าง
เราได้ดูแค่ไม่กี่เรื่อง โดยรวมคุณภาพแล้วจอใหญ่ดี แต่ความสว่างของจอจะโดนกลืนจากไฟอยู่ข้างหลัง ทำให้เราเห็นรายละเอียดและความมืดของจอไม่ครบ มีหนังสั้นทั้งจากไทยและจากต่างประเทศรวมกันหลายเรื่อง ที่เราสนใจคือการเปิดตัวของหนังเรื่อง ‘ดักแด้โกลาหล’ ของ ธีรภาส ว่องไพศาลกิจ หรือ Beam Wong คนทำเพลงสายนอยซ์และนักทำหนังสายทดลองที่มีคอนเซ็ปต์น่าติดตามในแต่ละเรื่อง โดยดักแด้โกลาหล Beam Wong ได้เปลี่ยนตัวมาทำเพลงแนวโฟล์กสายชีวิตต้อยต่ำ ที่สะท้อนออกมาถึงเนื้อเรื่องที่มีความหม่นแต่โรแมนติกอยู่บ้าง อาจจะมีที่ฉายอื่นในโอกาสถัดไป โปรดติดตามกันได้
พอออกมาดูหนังสั้นเสร็จฝนก็ตกพอดีเลยจ้า คนก็หนีจ้าละหวั่นไปอยู่ในเต๊นท์รอให้ฝนหยุดตก และจะได้ดูการเล่นดนตรีต่อ แต่ฝนตกหนักและนานมาก จนเวลาเลยไปประมาณสี่ทุ่มกว่า ๆ เมื่อฝนตกไม่หยุดเสียทีเลยต้องยกเลิกงานในคืนนั้นไป
น่าเสียดายที่เราไม่ได้มีเวลาไปดูงานวันที่สอง ซึ่งมีวงที่น่าสนใจอีกมากมายหลายวง และยังมีการฉายหนังเรื่อง ‘My Buddha Is Punk’ ที่ไม่มีโอกาสได้ชมบ่อยครั้งนัก พลาดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปดูที่ไหน ฮือ แต่โดยรวมแล้วงานเป็นที่น่าประทับใจเหมือนเดิม และเราก็ได้รู้จักวงดนตรีใหม่ ๆ จากซีนดนตรีที่น่าค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าปีหน้าคงมีวงดนตรีหน้าใหม่ที่น่าสนใจถูกค้นพบในงานนี้เช่นเคย