มารับพลังดุดันและความเกรี้ยวกราดจาก industrial rock ในตำนาน Nine Inch Nails
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Viji Corp
14 สิงหาคม 2561
รอกันอยู่หรือเปล่ากับรีวิวคอนเสิร์ตสุดยอดอีกงานที่ใครเป็นแฟนของวงนี้ต้องฟินน้ำตาพรากแน่นอน ที่ Nine Inch Nails Live in Bangkok เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กับโชว์กว่า 20 เพลงที่ดุเดือดเลือดพล่าน จัดหนักจัดเต็มยาวนานแทบไม่มีเบรก
สำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ก็มีศิลปินเจ้าบ้านเล่นเปิดเป็น Marmosets หรือ DJ Kingkong ที่อดีตเคยคร่ำหวอดในซีนดนตรี drum and bass และผันตัวมาเปิดเฮาส์ เทคโน จนล่าสุดก็ออกผลงานใหม่เป็นดนตรีอิเล็กทรอนิก experimental, industrial tecno หนักหน่วง เป็นการอุ่นเครื่องก่อนไปเจอกับชาวคณะได้อย่างดุดัน เอาง่าย ๆ ว่าแค่ไลฟ์เซ็ตนี้ก็เรียกเหงื่อจากขาแดนซ์ไปได้แล้ว
จากนั้นเมื่อเวลาการแสดงเริ่มใกล้เข้ามา ผู้ชมก็เริ่มตบเท้าเข้ามาเติมเต็มพื้นที่จนแน่นขนัด สังเกตได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ผู้ชมค่อนข้างเป็นขาร็อกรุ่นใหญ่และมีชาวต่างชาติมากกว่างานอื่น ๆ เป็นพิเศษ ทันทีที่เมโลดี้กีตาร์ชวนหัวบรรเลง ไฟบนเวทีสว่างแต่ก็เหมือนว่าไฟเฮาส์ยังไม่ดับลง รวมถึงตัวเรายังไม่สามารถเลือกตำแหน่งยืนที่เหมาะ ๆ ได้ แต่เสียงเฮของผู้ชมก็ดังขึ้นนั่นแปลว่าเพลงแรกได้เริ่มขึ้นแล้วแบบไม่ทันตั้งตัว แต่อันที่จริงแล้วไฟเฮาส์ดับไปนานแล้วแหละเพียงแต่เทคนิคของไลท์ติ้งที่เขาใช้มันทำให้เหมือนรอบ ๆ ตัวเราสว่างอยู่ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าแค่ไฟในคอนเสิร์ตก็ชนะแล้ว แสงสีเหลืองนวลฉาบไปทั้งฮอลกับเพลงที่กำลังเล่นอยู่นั่นคือ Somewhat Damaged กับซาวด์โมดูลหนักหน่วงแตกพร่ากับเสียงร้องสะกดทุกห้วงอารมณ์ของ Trent Reznor ทำให้เราถูกดึงเข้าสู่โลก industrial rock ในทันที แล้วเมื่อจบเพลงแรก ไฟจากที่เป็นสีแดงฉานก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินลุ่มลึก พร้อมกับอีกบทเพลงจากอัลบั้ม The Fragile อย่าง The Day The World Went Away และช่วงที่เสียงกีตาร์กรีดร้องเกรี้ยวกราด ไฟก็ถูกเปลี่ยนเป็นเฉดสีต่าง ๆ ชมพู ม่วง มันมีความ panoramic มาก ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลย แบบ เสียง surround ไฟก็ฉาบทั้งฮอลอย่างที่บอก แล้วช่วงที่เป็น verse ที่พี่เทรนต์ร้องเสียงนุ่ม ๆ ขึ้นมาไฟก็เหมือนโมเมนต์ที่พระอาทิตย์ขึ้น เป็นสีส้มอ่อน ๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่น ก่อนที่จะเป็นเพลง Wish ที่เขยิบกันมาที่ร็อกเดือดดาลบ้างแล้ว บีตกลองสุดเกรี้ยวกราดในเพลงนี้นำมาซึ่งความปวดที่คอ ณ ตอนนี้ของอิฉัน เรียกว่าเฮดแบงสุดตัว ยิ่งตอนที่จังหวะกลองถูกหวดลงไปไฟขาววาบก็พวยพุ่งออกมาตามจังหวะ ต้องบอกว่างานนี้ใครอยากเมานี่แทบไม่ต้องพึ่งเบียร์ เพราะลำพังแค่โปรดักชันแสงสีเสียงสุดอลังการก็ทำเอาเราเมาไฟไปแล้ว นี่แค่เพลงที่สามนะ เดือดมาก
จากนั้นก็สลับจากร็อกดิบ ๆ มาที่งานเน้นซาวด์อิเล็กทรอนิกจากชุด Add Violence ใน Less Than และกลับมาคึกคักกันอีกเมื่อจังหวะกลองสุดเร้า ซาวด์ซินธ์เบสชวนปั่นจาก March of the Pigs ไฟยังเป็นสีเหลืองตามสีปกอัลบั้ม The Downward Spiral ซึ่งตอนนี้ก็ได้เต้นกันจนปวดตัวเลย มีช่วงนึงที่เป็นเหมือนท่อนดรอปที่เป็นซาวด์เปียโนอ่อนโยน พี่เทรนต์ร้องเสียงนุ่ม ๆ อยู่กลางเวทีพร้อมกับสปอตไลต์ที่ส่องลำแสงมายังพี่เขา ออร่าเป็นแบ็กกราวด์ราง ๆ เบื้องหลังทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าสุด ๆ ก่อนจะระเบิดความมันอีกครั้งในห้วงสุดท้ายของเพลง งานนี้ใครถือเบียร์อยู่ก็ต้องมีเบียร์หกเบียร์กระเซ็นกันแน่นอน สนุกมาก ตามด้วยอีกเพลงจากชุดเดียวกัน Piggy ที่สลับมาเป็นอารมณ์ลึกลับเซ็กซี่กับไฟสีม่วงเข้ม แล้วคนดูก็ช่วยกันร้องเสียงดังในท่อน ‘Nothing can stop me now cause I don’t care anymore’ เป็นเพลงที่เท่มากและพอคนให้ความร่วมมือกันแบบนี้ก็ยิ่งเท่เข้าไปอีก โดยเฉพาะกับท่อนรัวกลองในตอนท้ายของเพลงคือเป็นอะไรที่สุดมาก
ไฟถูกเปลี่ยนสีเป็นโทนพาสเทล เราก็ได้ยินเสียงอินโทรเปียโนจากเพลง The Frail เพลงบรรเลงสุดล่องลอยที่แค่ไม่กี่วินาทีคนดูก็โห่ร้องเสียงหลงด้วยความยินดี ก่อนจะตามด้วยการเปลี่ยนเฉดสีไฟเป็นสีเขียวสด สลับกับสีเทอร์ควอซสวยงามในเพลง Reptile คือโชว์นี้นอกจากระบบเสียงจะดีมาก ๆ แล้วไฟก็ดูเพลินจริง ๆ อะคุณ เสียงเอฟเฟกต์แตกพร่ากับโทนเบสหนักหน่วงทำเราเอาโยกจนโงหัวไม่ขึ้น รักเสียงเหมือนเครื่องจักรกำลังทำงาน เสียงเลื่อยไฟฟ้า แต่แฝงไว้ด้วยซินธ์ยุกยิก ๆ ในเพลงนี้มาก พักจากงานโหด ๆ มาที่สายเทคโนกันบ้างพร้อมกับไฟสีชมพูที่ The Lovers ลูปมาทางนี้คือใช่เลย เริ่มย่ำเท้าตามสเต็ปที่เราคุ้นเคย ช่วงหลังเป็นท่อนที่ล่องลอยเน้นบรรยากาศที่สะกดเราได้อย่างจัง
และเมื่อจบเพลงนี้ก็เป็นครั้งแรกที่พี่เทรนต์ทักทายคนดูหลังจากเล่นมาครึ่งทางอย่างยาวนานแบบไม่หยุดพัก พี่เขาบอกว่านี่มันสุดยอดมากจริง ๆ และต่อไปจะเล่นเพลงจากงานชุดใหม่ ถึงเวลาที่เราในฐานะแฟนเพลงรุ่นหลังรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เพราะรู้สึกถูกชะตากับชุด Bad Witch นี้รวมถึงเป็นตัวแปรที่ทำให้ตัดสินใจมาดูพี่เขาแบบสด ๆ ในครั้งนี้ด้วย มันคือส่วนผสมของความเป็นร็อกดุดันกับซาวด์อิเล็กทรอนิกเกรี้ยวกราดที่เราชอบ ประเดิมกันที่เพลงเดือด ๆ อย่าง Shit Mirror มีคนช่วยกันตบมือในท่อน ‘New world, new times, mutation, feels all right’ และร้องตามอย่างพร้อมเพรียงเหมือนกำลังท่องมนต์อะไรกันอยู่ แล้วพอเป็นท่อนกีตาร์ร็อกในเพลงนี้ก็หยุดไม่อยู่แล้ว ยิ่งเพลงต่อไปที่ขึ้นมาติด ๆ กันคือ Ahead Of Ourselves ที่มีบีตแบบอีกนิดนึงจะเป็น drum and bass อยู่ละ ก็ยิ่งเอาใจน้องไปเลย แล้วพอท่อนฮุคที่พี่เขาสาดเอฟเฟกต์กีตาร์กันเนี่ยก็ได้เฮดแบงกันอีกยกใหญ่ หรือริฟฟ์กีตาร์อันโดดเด้งของเพลงนี้ก็ทำเอาเราเผลอฮัมเป็นเมโลดี้ส่วนนั้นออกมาด้วย และตามสูตรที่ปิดท้ายด้วย God Break Down The Door เพลงโปรโมตของมินิอัลบั้มนี้ เปิดมาด้วยเสียงแซ็กโซโฟนสุดเซ็กซี่และเสียงเพอคัสชันกรุ๊งกริ๊งคือเสน่ห์ของเพลงนี้ ประกอบกับบีตที่เร้าใจไร้ความปรานีก็ทำเอาเราเมามายไปกับเพลงในบัดดล นึกถึงเพลงอิเล็กทรอนิกหนัก ๆ ในช่วง 90s อยู่เหมือนกัน และจบไปพร้อมเสียงซินธ์คว้าง ๆ ทำเราค้างเติ่งในความงงงวยของเพลงเหล่านั้น
แต่เมื่อไฟในฮอลเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานอีกครั้งก็เหมือนเราได้เริ่มการเดินทางบทใหม่ ในเพลงที่หลายคนคงรอคอยอย่าง Closer เพลงสุดเซ็กซี่ร้อนแรงที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องท่อนฮุก ‘I wanna fuck you like an animal’ แบบไม่เหนียมอาย ดิบเถื่อนสมใจกันมาก ๆ และความสนุกยังไม่จบแค่นี้เมื่อเพลงต่อไปคือ Copy of A บีตดนตรีเทคโนกลับมาทักทายเราอีกครั้งพร้อมกับเพื่อนร่วมชมคอนเสิร์ตที่แหกปากร้องไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงเป็นเพลงแซะอเมริกางานคัฟเวอร์จาก David Bowie – I’m Afraid of Americans ที่เรารักในเพลงนี้เพราะมีซาวด์ที่คล้ายกับคลื่นรับสัญญาณมาเล่นคลอไปตลอดทั้งเพลง การร้องแบบกึ่งแร็ป และท่อนฮุกที่เผ็ดมัน แล้วจึงเป็น Wake Up ทั้งว้าก ทั้งตบมือเข้าจังหวะ โยกกันหัวหลุดอีกเพลง แล้วบริเวณที่เรายืนอยู่ก็เริ่มเกิดเป็นวงมอชย่อม ๆ (ชนกันอยู่ 5-6 คน น่าร้าก แต่ได้ยินว่าแถวหน้า ๆ กว่านี้มีวงเดือด ๆ อยู่วงนึงแล้วก็มีผู้หญิงสักคนพลาดโดนหมัดไปจนการ์ดต้องพาออก) นี่ก็เป็นช่วงคอมโบเพลงฮิตที่ทุกคนรอคอย เริ่มที่ The Hand That Feeds กับจังหวะชวนเต้นและทำนองย่อยง่าย ไม่ต้องทำความเข้าใจกันมากนักเมื่อเทียบกับบรรดาเพลงอื่น ๆ ของ Nine Inch Nails ตามด้วย Head Like A Hole ที่ตอนแรกก็โยกกันหน่วง ๆ อยู่ดี ๆ ก็ยังจะมอชกันได้ ยอมใจพลังงานอันล้นเหลือของทั้งวงและแฟนเพลงจริง ๆ
จบจากเพลงนี้ไปก็กลายเป็นช่วงอังกอร์กันแล้ว วงก็ไม่ได้ปล่อยให้เรารอนานหลังจากตบมือและส่งเสียงร้องเรียก พวกเขากลับขึ้นมาและถามว่าพวกเราเป็นยังไงกันบ้าง และบอกว่าอีกไม่กี่ปีจะกลับมาเล่นที่นี่อีก (กลับมาเถอะ ขอร้อง นี่คือเล่นมาทั้งโชว์ไม่มีพักพูดคุยเลย นี่เป็นแค่ครั้งที่สองเท่านั้น เขาจัดแต่เพลงและ performance สุดทรงพลังให้เราแบบไม่หยุดจริง ๆ) ก่อนจะแนะนำตัวสมาชิกแต่ละคน และบอกว่าเพลงต่อไปเป็นเพลงโปรดของเขาจากชุด Year Zero นั่นคือ Survivalism ตามด้วยเพลงเท่ ๆ ใน Even Deeper ที่มีความลึกลับพิศวงดำดิ่ง ตอนนี้เหมือนเป็นช่วงผ่อนคลายจากความเดือดดาลที่วงมอบให้มาชั่วโมงกว่า ๆ ก่อนจะจากไปในเพลงสุดท้ายพร้อมคำขอบคุณนั่นคือ Hurt เพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงที่ดาร์กและดิ่ง ยิ่งถูกบรรเลงออกมาเบา ๆ ในช่วงต้น ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นผิดกับหลายเพลงก่อนหน้าและทำให้เราได้ซึมซับกับเสียงร้องของเทรนต์พร้อมกับได้ตั้งใจฟังเนื้อหาของเพลง และระเบิดออกมาในท่อนฮุกก็เป็นอีกช่วงที่ emotional และเป็นการจบโชว์ที่ทรงพลังได้ไม่แพ้การเล่นจบด้วยเพลงเสียงดังลูกเล่นแพรวพราวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อโชว์จบบางคนก็ทยอยเดินออกจากฮอล แต่ดูเหมือนว่าแฟนเพลงหลายคนยังอารมณ์ค้างอยู่กับเพลงก่อนหน้า เสียงเอฟเฟกต์ยังคงดังต่อเนื่องและเห็นว่ามีหลายคนที่ยังยืนอยู่ แถมยังเสียน้ำตาไปกับโชว์นี้ไม่น้อย ส่วนเราในฐานะคนฟังรุ่นหลัง ๆ แล้วก็ต้องบอกว่าโชว์ของพวกเขาดีงามสมคำร่ำลือจริง ๆ จากที่ก่อนหน้าหลายต่อหลายคนได้พูดถึง performance ทรงพลัง และโปรดักชันที่จัดเต็ม เราที่พกความคาดหวังมาเต็มกระเป๋าก็ได้รับประสบการณ์ที่ว่าได้อย่างที่ตั้งใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะแฟนเพลงที่ร่วมสนุกกันไปตลอดโชว์ ทั้งร้อง ทั้งตบมือ ทั้งโดด ทั้งมอช และดีใจมากที่มีคนยกมือถือขึ้นมาถ่ายไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ และต้องขอบคุณผู้จัด Viji Corp ที่ทำให้เราได้มีโอกาสดูวงในตำนานนี้สด ๆ ครั้งนึงในชีวิต แล้วพวกเขายังเลือกเล่นโชว์นี้แค่ที่สี่ประเทศ ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ซึ่งถือว่า exclusive มากจริง ๆ และยังมีโชว์จากวงคุณภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในปีนี้โดนโดยผู้จัดกลุ่มนี้อย่าง Tom Misch และ The Killers ซึ่งโชว์แรกก็บัตร sold out เรียบร้อย และอีกโชว์ก็ใกล้หมดแล้วเหมือนกัน ใครเป็นแฟนเพลงร็อกก็ไม่อยากให้พลาดกันนะ