พาไปดูวงเด็ด SUEDE, LANY, Kodaline, Shura, ADOY, H3F ที่ Maya Music Festival
- Writer & Photographer: Montipa Virojpan
ทุกครั้งที่ได้ยินชื่องาน Maya Music Festival เราจะนึกถึงเทศกาล EDM แต่ปีนี้เขามีวงดนตรีเบอร์ใหญ่ที่พอได้ยินชื่อแล้วก็ต้องตาลุกวาว (แต่ทุกวงเคยมาเล่นที่บ้านเราแล้วทั้งสิ้น) ทั้ง SUEDE, LANY, Kodaline, Shura แล้วก็ได้วงเอเชียนขวัญใจวัยรุ่น ADOY กับวงไทยเจ้าบ้านมาแรง H 3 F มาเสริมพลังดนตรีสดกันถึงสองวัน มาดูกันว่า live stage ในงานดนตรีอิเล็กทรอนิกจะเป็นยังไงกันบ้าง
Day 1
ประมาณทุ่มนึง เราค่อย ๆ เดินทางมายัง Maya Space ที่จัดงานซึ่งพบว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากเฟสติวัลเพื่อนบ้านที่เรารักอย่าง Wonderfruit เท่าไหร่ แต่เส้นทางที่เดินทางมานั้นมืดมาก เพราะไฟถนนถูกปิดมาเกือบตลอดสะพานทางข้าม ซึ่งอันตรายมาก ๆ ต้องค่อย ๆ ขับคลานกันเข้ามา จนเราได้ยินเสียงเบสหนัก ๆ กับไฟเวทีเจิดจ้าเลยทำให้รู้ว่าตรงไหนคือบริเวณงาน พอขับรถมาถึง ก็พบว่าต้องเสียค่าที่จอดรถ 100 บาทแบบเหมาจ่าย พอได้ที่จอดเรียบร้อยก็ไปแลกริสต์แบนด์เพื่อเข้างาน
เมื่อผ่านประตูทางเข้ามาแล้วเราก็เห็นคนที่มางานใส่หน้ากากอนามัยกันเยอะมาก หนึ่งเพราะกังวลเรื่องฝุ่นภายในงาน และสองก็เรื่องเชื้อไวรัสโคโรน่าที่กำลังระบาด ยิ่งในงานเฟสติวัลที่คนมาจากทั่วโลกก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เป็นเรื่องดีที่ทุกคนคำนึงถึงเรื่องนี้ พอเดินไปอีกนิดก็เห็นแสงไฟแวบขึ้นมาทางซ้าย พบว่าเป็น air balloon กำลังอัดแก๊สให้พองลม ซึ่งน่าจะมีคนขึ้นไปนั่งได้ จากนั้นก็เดินต่อมาเห็นสามเวทีอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละเวทีตั้งไม่ไกลจากกันมากนัก ที่ใกล้เราที่สุดก็คือ Live Stage และตอนนั้น H 3 F ก็กำลังจะขึ้นเล่นพอดีเราเลยไม่ได้แวะไปดูส่วนอื่น ๆ เลยพุ่งตรงไปที่เวทีนั้นเลย
H 3 F ขึ้นแสดงได้ตรงเวลามาก ๆ ตอนทุ่มครึ่ง มีแฟนเพลงมารอกันตั้งแต่เริ่มโชว์เลย พวกเขาเปิดด้วยเพลงแรก City Lights เพลงกรูฟชวนโยกกับสำเนียงกีตาร์สุดเท่ โดยเฉพาะท่อนโซโล่ที่ก้อง กีตาร์ ร้องนำ ซัดเอา ๆ ต่อด้วย Can’t Change a Thing เพลงจังหวะสนุกที่ยังติดกลิ่นบลูส์ มีท่อนประสานเสียงที่ให้ความรู้สึกละมุนหูมาก ตามด้วย Half Measures ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเล่นเรียงตามแทร็คในอัลบั้ม Family Product กันเลย เพลงนี้ดรอปมาจังหวะช้า ๆ เพิ่งสังเกตว่ามีทรัมเปตกะทรอมโบนมาเล่นเป็น full band แบบที่ได้ยินกันในอัลบั้ม รู้สึกว่าเท่มากกับกีตาร์เล่นเป็นลูปวน ๆ ไล่เสียงไปเรื่อย ๆ จบเพลงนี้ก้องก็ทักทายคนดู บอกว่านี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้มาเล่นในเฟสติวัล อีกทั้ง H 3 F ยังเป็นวงไทยวงเดียวที่ได้มาเล่นในงานนี้ด้วย น่าดีใจแทนพวกเขาจริง ๆ จากนั้นก็เป็นเพลงที่เพิ่งปล่อย mv ไป นั่นคือ A Place to Cry กีตาร์ก้องลีดไฟแลบอีกครั้ง มีท่อนประสานที่สร้างรายละเอียดน่าสนใจให้เพลง ท่อนโซโล่มีเครื่องทองเหลืองประสานขึ้นมา กับช่วงที่ให้หม่อมโชว์ไลน์เบสเท่ ๆ ด้วย แล้วก็เป็น Just Sayin’ เสียงกีตาร์ขึ้นมาหวาน ๆ ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของแฟนเพลงที่รอฟังเพลงนี้
จบเพลงพวกเขาก็พักเล่นกันซักครู่ ทำให้เราได้ยินเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกหนัก ๆ มาจากเวทีอื่น โชคดีมากที่ตอนวงเล่นแล้วเสียงกลบหมดทำให้ไม่มีอุปสรรคทางการฟัง จากนั้นก็เป็นเพลงช้า กีตาร์กับเบสขึ้นประสานกันก่อนในอินโทรของ Time’s Not A Friend ได้ฟีลเพลงโซลเก่า ๆ ที่ท่อนโซโล่เพราะมาก ได้ความยิ่งใหญ่ของซาวด์เสียงบราส กับกีตาร์ของก้องที่ประสานกันได้ลงตัว จากนั้นก็เป็นเพลง I’ll Be Okay แทร็คสุดท้ายในอัลบั้มที่ตอนต้นเป็นกีตาร์โปร่งแบบ audio ผ่านไปครึ่งเพลงก็เปลี่ยนใช้กีตาร์ไฟฟ้าที่ส่งโซโล่บาด ๆ พร้อมด้วยเครื่องทองเหลือง เปลี่ยนอารมณ์จากเพลงอะคูสติกกลายเป็นบริตป๊อปแบบ Oasis ไปเลย แล้วตอนท้ายเพลงก็เชื่อมเข้า How Can I เพลงฮิตของวงได้อย่างแนบเนียน จบเพลงนี้พวกเขาก็มี interlude ที่เท่มาก เราผงะไปพักใหญ่เพราะไม่ได้ยินพวกเขาเล่นอะไรแบบนี้แล้ว ดนตรีทำให้นึกถึงยุคอัลเทอร์เนทิฟ 2000s ได้ฟีลแบบ Slur ตอนออกอัลบั้มชุดแรกที่มีทรัมเปต ก่อนจะเข้าเพลง Be Your Man และ All Your Love ที่ตอนแรกขึ้นมาเป็นกีตาร์เหงา ๆ แต่สุดท้ายก็ซัดด้วยความเป็นเพลงเท่ ๆ กีตาร์สุดจะร็อกแอนด์โรล บลูส์ร็อก โซโล่กันไฟแล่บอีกแล้ว โอ้ย เท่ไม่ไหว ได้เห็นทั้งมุมละมุนนุ่มของ H 3 F และมุมร็อกเกอร์ของพวกเขาแล้วเราก็แอบเชียร์ให้ทำเพลงมัน ๆ ออกมา เพราะศักยภาพของวงนี่สามารถเป็นวงกีตาร์ฮีโร่ได้สบาย ๆ เลย อิ่มครบรสมาก ๆ
ระหว่างรอวงต่อไปขึ้นเล่น เราก็ไปเดินดูบรรยากาศงานรอบ ๆ เดินผ่าน EDM main stage คนก็ดูยังไม่ค่อยเยอะ ส่วนเวทีต้นไม้ที่เปิดพวก dubstep ก็มีเลเซอร์ยิงไฟสีเขียวออกมา กับเล่นฉากหลังต้นไม้ด้วยสีแดงน้ำเงิน ดูแล้วอธิบายความรู้สึกไม่ถูกเลยแฮะ เราก็เลยจะไปซื้อเบียร์กิน ก่อนซื้อก็ต้องแลก wristband เช็กอายุว่า 20+ ซื้อแอลกอฮอล์ได้จ้า จากนั้นตอนจะเติมเงินพนักงานบอกว่า refund ไม่ได้ ค่อย ๆ เติมให้พอดีไปดีกว่า แล้วในเมนูตรงจุดเติมเงินเราเห็นเบียร์ Corona ขาย ก็อยากจะดื่มขึ้นมา เติมเข้าไป 250 แต่พอเดินไปซื้อตรงบูธเบียร์ เห็นแหละว่าสปอนเซอร์หลักเป็น Leo แต่ไม่คิดว่าจะมีแต่ลีโอขาย! เพราะเดินไปถามพนักงาน เขาก็บอกว่าต้องไปซื้อที่บูธเสริมสุข แต่บูธเสริมสุขอยู่ตรงไหนหว่า เขาก็บอกให้เดินไปโซนเวทีใหญ่ เราก็ลองเดินไปดู แต่สิ่งที่เจอคือ Jagermeister กับ Jim Beam Highball และ Red Bull พอเราเข้าไปถามจุดเติมเงินอีกจุด เขาก็ให้คำตอบเราไม่ได้ เอ้า ไม่กินก็ได้วะ กดน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด ราคา 50 บาท (เบียร์ลีโอ 80 บาท เค)
แล้วก่อนที่วงจะขึ้น เราก็ไปเดินดูบูธอาหารกับกิจกรรมในงาน เจอบูธดูดวงสามกระโจม (อันนี้รึเปล่านะที่เป็นไฮไลต์บอกว่ามี ริว จิตสัมผัส) โซนถักเดรดล็อก เพนต์หน้า กากเพชร แล้วก็โซนอาหารตั่งต่าง แต่ตอนนั้นไม่ค่อยหิว ไม่อยากทำอะไรเลย แต่ปวดฉี่เลยไปแวะเข้าห้องน้ำ พบว่า สายชำระที่ควรจะเอาไว้ใช้ฉีดแทนการกดชักโครกเนี่ย น้ำไม่ไหลเด้อออ กลิ่นเลยฟุ้งกระจายมาก ๆ แล้วก็ไม่มีที่ล้างมือ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือใด ๆ โอย ตอนนี้มันกำลังมีโรคระบาดก็ควรจะ concern หน่อยไหมนะ
จากนั้นตอนสามทุ่ม เราก็เดินกลับมา Live Stage เพื่อรอดูวงจากเกาหลีใต้ ตอนนั้นก็เห็นไฟบนเวทีก็ดับลงพอดี ส่วนจอก็เปลี่ยนจากโลโก้วง ADOY กลายมาเป็นวิชวล futuristic หลุดโลก กับอินโทรอิเล็กทรอนิกสุดเท่ เปิดมาด้วยเพลงนีโอไซเคเดลิก I Just Can’t Forget Her กับท่อนร้องลูป ชวนหน่วงด้วยเบส กับซินธิไซเซอร์ล่องลอย ต่อด้วยเพลงฟังกี้ นูดิสโก้ ผสานซิตี้ป๊อป ใน San Francisco จบเพลงนี้พวกเขาก็ทักทายคนดูและบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาพัทยา แล้วจากนั้นก็เล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่ Vivid ที่ชื่อ Lemon ซึ่งอินโทรที่เป็นเสียงเปียโนต้นเพลงดีงามมาก เมโลดี้เพลงนี้ก็น่ารักสุด ๆ ตามด้วยอินโทรลูปซินธ์เสียง หว่อบแวบแว้บแหว่บ สดใสน่าเอ็นดูไปหมด ได้ความเป็นบีตป๊อปใส ๆ ในเพลง Young จบจากเพลงนี้ แค่อินโทรขึ้นมาคนก็กรี๊ดกันลั่นเพราะนี่คือเพลง Wonder เพลงดังของวงที่กีตาร์เพราะมาก ๆ
แล้วนักร้องนำก็พูด ‘ขอบคุณครับ’ ภาษาไทย ชัดแจ๋ว ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์จากเพลงอิเล็กโทรป๊อปไปเล่นเพลงร็อก ซาวด์กีตาร์ชัดเจน ได้กลิ่นอาย shoegazer ที่เท่มาก ขึ้นมาอย่างอลังการ ซาวด์พร่า ๆ แบบที่คิดถึง เสียงร้องประสานกับซินธิไซเซอร์ซาวด์หนาแต่บรรเลงออกมาได้ชวนฝันเข้าเพลง Laika กับช่วงท้ายของเพลงเป็น post rock หนักหน่วงสาดเข้ามา ได้ฟีลแบบ Arcade Fire ยังไงอย่างงั้น ก่อนจะตัดกลับไปเป็นเพลงฟังกี้ ดิสโก้ แล้วเราก็ต้องกลับก่อน ทำให้ไม่ทันได้ดู Lany แต่จากผู้สื่อข่าวจำเป็นรายงานว่า ด้านหน้า Live Stage ถูกจับจองเต็มพื้นที่ด้วยแฟนเกิร์ลที่รอมากรี๊ดพวกเขา โดยเพลงที่ขนมาเล่นก็ไม่ต่างจากเซ็ตลิสต์เดิมเท่าไหร่ มี Thick and Thin, Taking me Back, I Don’t Wanna Love You Anymore, Hurts, If You See Her, Pink Skies, Hurricane, Super far, Malibu Night, Parents และ Thru These Tears เพราะ ๆ ฟิน ๆ กันไป
Day 2
เรามาถึง Maya Music Festival ตอนหกโมง และต้องจ่ายค่าที่จอดรถอีก 100 บาท (นึกว่าเหมาจ่ายได้สองวัน แหม) อันที่จริงก็มาเร็วไปนิดเพราะดูเวลาผิด นึกว่า Shura ขึ้นเล่นแล้ว เราก็เลยไปทำภารกิจค้นหาเบียร์โคโรน่าต่อ (หาเบียร์ไม่เจอ จะติดเชื้อแทนซะก่อนเนี่ยแหละ) ผลปรากฏว่าไม่เจอจริง ๆ ก็ถอดใจจะไปซื้ออย่างอื่นแทน เลยจะไปแลก wristband ตรวจอายุที่ Main Stage เพราะมันต้องขอแบบรายวัน แล้วตรงที่แลกเขาก็บอกว่า ‘ไม่ต้องใส่ครับ’ เพราะริสต์แบนด์เข้างานของเราเป็นประเภท GA+ ที่สามารถเข้า Wet Zone ใน Pool Party ได้ และเป็นโซนที่อายุ 20+ อยู่แล้ว แต่เราก็ยังจะขอริสต์แบนด์เขา เผื่อเวทีอื่นเขาไม่ยอมให้ซื้อเบียร์เพราะไม่มี age checked แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่ต้องใส่ เอ๊า อิหยังวะ เราก็เลยบอกว่า เอามาเถอะ ขี้เกียจต้องย้อนกลับมาแลกใหม่ เขาถึงจะยอมให้ แถมวิธีติดริสต์แบนด์ก็เหมือนคนไม่เคยจัดงานคอนเสิร์ต งงในงง แล้วพอจะไปซื้อ Jim Beam เขาก็บอกว่า ขายทุ่มนึง คืออิหยังวะ 2 มาก ๆ ปกติแอลกอฮอล์ 5 โมงควรจะขายแล้วนี่ เซ็งกับทุกสิ่งบนโลกเลยจบด้วย Jagermeister ช็อตให้เมา ๆ ไป
จากนั้นเราก็เดินไปดู Pool Party ไหน ๆ ก็เข้าได้แต่ไม่คิดจะไปเล่นหรอก เห็นโซนขายชุดว่ายน้ำเศร้า ๆ อยู่โซนนึง กับโซนชุดว่ายน้ำสปอนเซอร์ที่ดูดีขึ้นมาหน่อย ตรงนั้นเป็นเวทีที่เปิดเทคโน psych trance โดยดีเจที่ชื่อ Mikeymike มีเพลง Florence + the Machine มามิกซ์ก็เป็นอันโอเคมาก ๆ เป็นแนวที่พอจะฟังได้มากสุดเมื่อเทียบกับ EDM ภายในงานแล้ว เรามายืนเต้นตรง dry zone ของเขา ข้างหลังตรงสระน้ำก็มีสไลเดอร์กับ wet zone ที่เปลี่ยนชุดว่ายน้ำไปเล่นได้ ดูเสร็จจนสมควรแก่เวลาก็กลับไปที่เวที Live Stage
ตอน 6.50 ไฟบนเวทีก็ดิมลง Shura ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเล่น BKLYNLDN เพลงช้าจากอัลบั้มใหม่ forevher ต่อด้วยเพลงเร็ว ๆ ที่เล่นเชื่อมกันได้สมูธมาก คือ เพลงเร็ว ๆ ที่เล่นขึ้นมาเหมือนเป็นเมดเลย์สั้น ๆ ซินธิไซเซอร์สนุก ๆ เข้าเพลง Nothing’s Real ตามด้วยเพลงกรูฟหนึบ ๆ ที่เธอเปลี่ยนมาเล่นกีตาร์ชวนโยกใน religion (u can lay your hands on me) เพลงสุดเซ็กซี่ที่เมโลดี้น่ารักเสียเหลือเกิน ตามด้วย Indecision เพลงที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในไนต์คลับ 80s กับซินธ์ป๊อปสนุก ๆ จบเพลงนี้เธอก็บอกกับคนดูว่าดีใจมากที่ได้กลับมาเล่นที่ประเทศไทย แล้วก็เล่นเพลง Forever ตามด้วยเพลง side effects ที่เธอบอกว่าจะร้องให้แฟนสาว แต่ที่งงมากคือทำไมมีคนร้อง ‘โห’ กันหลายคนหน้าเวทีตอนเธอพูดว่า ‘girlfriend’ ไม่เห็นแปลกเลยไม่ใช่หรอ และเธอเองก็เปิดเผยมาก ๆ ในรสนิยมทางเพศของเธอด้วย ส่วนเพลงต่อไปเธอบอกว่าเป็นเพลงเกี่ยวกับการที่เธอไปเดต นั่นคือ the stage เพลงน่ารัก ๆ ที่ออกมาในชุดใหม่ ได้ผสมผสานดนตรีนีโอไซเคเดลิกเข้าไปด้วย ท่อนโซโล่ท้ายเพลงเลยมีกลองและซินธิไซเซอร์ที่เท่มาก
จบจากนี้ เธอก็ถามคนดูว่า “ใครมารอบก่อนบ้าง” มีคนยกมือให้เธอ แล้ว Shura ก็พูดติดตลกว่า “โห อย่างน้อยก็สิบคนเนาะ… รอบนี้เราเล่นไม่เลตด้วย แต่เพลงต่อไปเป็นเพลงเกี่ยวกับตอนที่ฉันโดนเทต่อหน้าประชาชี จริง ๆ มีอีกหลายเพลงให้เล่น แต่ฉันก็อยากเล่นเพลงนี้แหละ” นั่นคือเพลง Make It Up แล้วเธอก็พูดต่อหลังเล่นเสร็จ “เมื่อวานเพิ่งแลนดิ้ง ฉันนั่งเครื่องมา 11 ชั่วโมง และเพลงต่อไปที่จะเล่นคือเพลงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ คือฉันกลัวเครื่องบินน่ะ” นั่นคือเพลง flyin’ แล้วเธอก็พูดอีกว่า “มีอีกเพลงที่เกี่ยวกับความวิตกจริตของฉัน” เพลงนั้นคือ 2Shy เพลงดังที่ทุกคนร้องตามกันได้ จบเพลงนี้ก็ต่อด้วยอีกเพลงดังที่แค่อินโทรขึ้นมาคนก็ร้องเฮ นั่นคือเพลง Touch ที่เธอวางไมค์แล้วลงมาล่างเวที ให้คนดูช่วยกันร้องอย่างพร้อมเพรียง พอเสร็จเธอก็ขึ้นไปพูดว่า “โหเนี่ย ไมค์ฉันตื่นเต้นไปหน่อย พอจะร้องเพลงนี้แล้วก็เจ๊งเลย จริง ๆ ฉันเองก็ตื่นเต้นด้วยแหละ และนั่นคือเพลง Touch feat. ประเทศไทยค่ะ… ส่วนเพลงต่อไป คือเพลงเกี่ยวกับการเป็นอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น” White Light เพลงจังหวะมัน ๆ ที่เธอวางกีตาร์แล้วไปเล่นซินธิไซเซอร์ ที่เล่นมันมากจนลงไปนอนตอนท้ายเพลง และทำสายแจ็คไมค์หลุด แง จากนั้นก็เล่นเพลงช้า ๆ tommy ที่เพราะมาก ๆ ก่อนจะปิดด้วยเพลงสุดท้าย skyline, be mine ให้ได้โยกกันสบาย ๆ
ระหว่างรอวงต่อไปที่เรารอคอย เราก็แวะไปที่ installation หนึ่งเดียวของงานคือ Converse ทำแท่นไฟให้เราเหยียบเท้าลงไปที่ pedal แล้วจะเกิดเป็นเสียงขึ้นมา พร้อมกับไฟเปิดปิดตามแท่นนั้น ๆ คงสนุกดีถ้ามีหลาย ๆ คนมาเล่นพร้อมกัน ตรงนี้น่าจะกลายเป็นคลับย่อม ๆ ได้เลย
เวลาสองทุ่มครึ่ง เราเดินกลับมาที่ Live Stage เพื่อรอเจอกับ Suede วงบริตป๊อป 90s ที่แฟนชาวไทยคุ้นเคย เพราะพวกเขามาเปิดการแสดงที่บ้านเราถึง 5 ครั้งตั้งแต่ปี 1995 นักฟังรุ่นพี่หลายคนเลยน่าจะมีโอกาสได้ดูพวกเขามาบ้างแล้ว แต่เรายังไม่เคย แง ในปี 2020 นี้ เลยเป็นโชว์ครั้งที่ 6 ในประเทศไทยของ Suede แต่เป็นครั้งแรกของเราที่ได้ดู บอกตามตรงก็พกความคาดหวังไปเต็มกระบุง เผื่อเขาจะขนเพลงที่ชอบมาเล่นให้ได้ฟังเป็นบุญหู เปิดมาด้วยอินโทรเสียงเด็ก ๆ ร้องประสานเสียง พร้อมด้วยซาวด์เครื่องดนตรีออเคสตรา แล้วดึงเข้าในอารมณ์ดาร์กหม่นใน As One จากอัลบั้มล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาเมื่อปีที่แล้ว The Blue Hour ต่อด้วยเพลง Outsiders กับเบสเท่ ๆ และกีตาร์ซาวด์โดดเด่น คนดูเริ่มคึกคักกันตั้งแต่เพลงนี้แล้ว จากนั้นก็เป็นเพลง She จากชุด Coming Up ที่คนดูช่วยกันตบมือเข้าจังหวะ ตอนนี้ Brett ฟรอนต์แมนเต้นดีดดิ้นบิลด์คนดูเก่งมาก ตามด้วย We Are the Pigs ที่คนดูร้องเฮละโลตามเพลง เบรตก็ลงไปโยกกับเวทีอย่างเมามัน แล้วก็ต่อด้วยเพลงพลังวัยรุ่น So Young ที่เขาเริ่มเอาไมค์โฟนมาเหวี่ยงสาย แล้วเหวี่ยงยาวมาก ดูน่าหวาดเสียว แต่ก็ไม่พลาดเลยนะเพราะพี่แกเซียนมาก โชว์มากี่ปี แล้วก็เป็นเพลงร็อก ๆ ให้ได้โดดกันต่อใน Metal Mickey ต้องบอกเลยว่าวงเล่นแน่นไม่ต่างไปจากคลิปที่เราดูเขาเล่นในงาน Sonic Attack เมื่อปี 2012 เลย ฮือ จากนั้นก็ไปควงไมค์กันต่อในเพลงร็อกแอนด์โรลสุดโจ๊ะอย่าง Filmstar แล้วดรอปจังหวะไปซึม ๆ ในเพลง The 2 of Us แล้วจอด้านหลังก็เปลี่ยนเป็นภาพปกอัลบั้มล่าสุด กับอีกเพลงดนตรีซึมแต่เนื้อหาฟังแล้วฮึกเหิมนั่นคือ Life Is Golden เพลงนี้เขาลงมาเล่นกับคนดูหน้าเวทีด้วย แล้วก็กลับไปเป็นเพลงร็อก ๆ ใน The Drowners ตามด้วยบริตป๊อปสนุก ๆ It Starts and Ends With You โชว์ไลน์กีตาร์สุดเท่ทำเอาเราขนลุก
จบจากเพลงนี้ เบรตก็พูดกับคนดูประมาณว่า “นี่เรามาเล่นในงานดนตรีแดนซ์ แต่เราก็เต้นกับเพลงร็อกได้ใช่ไหม ไหน คุณอยู่ฝั่งไหน ฝั่งไหนนนน ใครรู้เนื้อเพลงนี้ก็ช่วยกันร้องหน่อย” หลังปลุกความร็อกในตัวทุกคนเรียบร้อยแล้วก็เป็นเพลง She’s in Fashion ทุกคนพร้อมใจกันตะโกนร้อง เป็นโมเมนต์ที่ดีมาก ๆ ในเพลงนี้ โดยเฉพาะท่อน ‘And the sunshine it blows my mind, and the wind blows my brain’ กีตาร์ตีคอร์ดง่าย ๆ แต่สวยงามมากจริง ๆ โอย นี่ผ่านไปหลายวันแล้วนึกตามยังขนลุกอยู่เลย มีการน้ำตาซึมได้ แล้วก็เป็นเพลงโจ๊ะ ๆ Everything Will Flow กับอัลเทอร์เนทิฟร็อกสุดเท่ที่ทุกคนช่วยกันตบมือใน Can’t Get Enough เมื่อจบเพลง เบรตก็บิลด์ให้ทุกคนตะโกนใส่เขา “ไม่ค่อยได้ยินเล้ยยยย ส่งเสียงหน่อยยยยย” จุดนี้เราต้องถอดแมสก์กันฝุ่นแล้วตะโกนไปด้วยจริง ๆ แล้วก็ขึ้นเพลง Trash อีกเพลงดังของพวกเขาที่คนโดดร้องกันลืมฝุ่น ลืมโคโรน่าไปเลย ต่อด้วย Animal Nitrate และปิดท้ายด้วยเพลงชาติ Beautiful Ones แต่เชื่อไหมว่า โชว์จบ อารมณ์ไม่จบ นี่เป็นโชว์เดียวที่ได้ encore ทุกคนตบมือและส่งเสียงร้องเรียกวงให้ออกมาอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาก็ขึ้นมามอบเพลงช้าความหมายดี ๆ ให้กับคืนวันเสาร์ที่แฟน Suede มารวมตัวอยู่ด้วยกันตรงนี้กับ Saturday Night ปิดฉากค่ำคืนของเราได้อย่างสวยงาม
อันที่จริงแล้วในคืนนี้ Kodaline จะต้องเป็นวงที่เล่นปิด แต่เราต้องรีบกลับกรุงเทพ ฯ ในคืนนั้นเลยไม่มีโอกาสได้ดู แต่สำหรับเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าพลาดเพราะได้อิ่มกับ Suede ไปเป็นที่เรียบร้อย เอาจริงชาตินี้ไม่คิดว่าจะได้ดูพวกเขา แล้วพลังงานวงร็อกที่ได้รับจากวงนี้คือสูบฉีดชีวิตมาก แม้ว่าสมัยนี้จะไม่ค่อยมีใครทำเพลงอะไรแบบนี้แล้ว แต่การที่พวกเขายังอยู่และทำเพลงสไตล์ที่ให้กลิ่นอายที่เราคุ้นเคย ก็ทำให้เราพอมีหวังในกีตาร์แบนด์อีกครั้ง
ขอบคุณ Maya Music Festival ที่มีพื้นที่ให้ live bands ดี ๆ ได้มาเล่นในงาน แม้การจัดงานและประสานงานต่าง ๆ ยังดูไม่เรียบร้อย สต๊าฟยังดูงง ๆ กับการให้ข้อมูล ในวันแรกมีการแบ่งโซนให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในงาน อยู่ในโซนที่ดีที่สุดของการดูโชว์ ซึ่งเป็นโซนปลอดแอลกอฮอลที่ไม่สามารถนำเบียร์เข้าไปได้ (กินไม่หมดต้องทิ้ง) วิชวลและไลท์ติ้งดูงง ๆ ในบางเวที ซุ้มอาหารและกิจกรรมดูไม่น่าเชื้อเชิญให้เข้าไปเท่าไหร่ บรรยากาศดูไม่ค่อยให้ความเป็นเฟสติวัลแบบที่เราสัมผัสได้จาก Maho Rasop, Wonderfruit หรือ Big Mountain เองก็ตามที มีแค่ตู้ไฟ Converse กับ air balloon มันไม่พอจริง ๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเวิร์กกันต่อ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้จัดพิจารณาถึงการจัดในครั้งต่อไปนะ
อ่านต่อ
Maho Rasop Festival 2019 วิ่งจนขาขวิด เต้นจนต้องร้องขอชีวิต DAY 1