Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

สิ้นสุดการรอคอยที่จะได้ดู Kodaline สด ๆ ใน Mangosteen Festival: Detour

Mangosteen หนึ่งในโปรโมเตอร์หน้าใหม่ที่ได้พาวง Honne มาเยือนไทยเป็นครั้งที่สอง (ขายดีจนบัตรหมดสองรอบติด) และ Wolf Alice มาเยือนไทยครั้งแรก ประกาศความยิ่งใหญ่ในการจัดงานครั้งที่ 3 กับการพา Kodaline วงที่แฟนเพลงชาวไทยเฝ้ารอมากที่สุดวงนึงมาเยือนไทยเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ภายใต้ชื่องาน Mangosteen Festival: Detour ซึ่ง Fungjaizine ก็ไม่พลาดที่จะพาบรรยากาศภายในวันงานมาเล่าให้คนที่ได้ไปได้ย้อนกลับไปซึมซับบรรยากาศอีกครั้ง หรือใครไม่ได้ไปก็มาติดตามอ่านไปด้วยกันได้จ้า

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเฟสติวัลที่ประกอบไปด้วย 5 วงได้แก่ Polycat, Phum Vipurit, Sunset Roller Coaster, Fickle Friends และ headliner Kodaline แต่ทางผู้จัดก็ไม่ได้ทำให้วงอื่นรู้สึกน้อยหน้าแต่อย่างใด จัดระบบแสงและเสียงเต็มที่ตั้งแต่ Polycat ซึ่งขึ้นเล่นค่อนข้างไวในเวลา 17.30 น. แน่นอนว่าด้วยสภาพการจราจรเย็นวันศุกร์ หลาย ๆ คนคงพลาดพวกเขาไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อประตูเปิดเวลา 17.00 น. แฟน ๆ ที่มารอก่อนประตูเปิดก็ไม่รอช้า กรูตัวกันเข้าไปยังฮอลคอนเสิร์ตอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนเองก็ไปสนับสนุนเครื่องดื่มจากทางสิงห์และ Jameson ก่อนเสียหน่อยก่อนเข้าฮอลเพื่อไม่ให้คอแห้งเวลาร้องเพลงตาม (แฮ่ม) เมื่อย่างกรายเข้าไป Hall 106 Bitec บางนา ก็ตกใจมาก เพราะพื้นที่ช่างกว้างใหญ่ไพศาล คาดคะเนเอาด้วยสายตาจากที่เคยจัดงานมาก่อน คิดว่าน่าจะจุคนได้เหยียบ 10,000 คนเลยทีเดียว แต่เนื่องด้วยคนที่มาทัน Polycat น่าจะมีเพียงราว ๆ 800 คนจากการคาดคะเน เลยทำเอาแอบโหวงเหวงพอสมควร

Polycat (17.30-16.15)

หลังจากเพลงสรรเสริญฯ ดังขึ้น Polycat ก็ไม่รอช้า ขึ้นบรรเลงเพลงแรกอย่างทันใด โดยเปิดตัวด้วยเพลงจังหวะสนุก ร้องตามได้ติดปากอย่าง มันเป็นใคร และต่อด้วยเพลงโยกสบาย ๆ อย่าง ภักดี ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ที่มาถึงทันได้พอสมควร จากนั้นต่อไปด้วยสองเพลงฮิตจาก The Ordinary Love Story EP อย่าง เพื่อนไม่จริง และเวลาเธอยิ้มที่ขยับความรู้สึกสนุกเพิ่มขึ้น จากนั้นเบรกด้วยเพลงช้า ซึม ๆ อย่าง เป็นเพราะฝน มาถึงจุดนี้แอบชื่นใจแทน Polycat ที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าพวกเขามีแฟนพันธ์ุแท้ ที่พร้อมเดินทางฝ่ารถติดมาแต่หัววัน และร้องเพลงของพวกเขาตามได้ทุกเพลง ทุกท่อน

หลังจากพักเพลงช้าไป 1 เพลง ก็เข้าสู่ช่วง 80s electronic beats interlude ที่บรรเลงประมาณหนึ่งนาทีเพื่อปรับมู้ดของคนดู ก่อนที่จะพาเข้าสู่อีกเพลงฮิต เพื่อนพระเอก และเซอร์ไพรส์คนดูทั้งฮอลด้วยการเล่นคัฟเวอร์เพลง ฟ้ากับตะวัน ของ นัท มีเรีย ที่กระตุกต่อมแก่อย่างผู้เขียนที่เกิดมาทันฟังเพลงนี้ได้พอดี Polycat re-arrange เพลงสุดฮิตจากยุค 90s นี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยการใส่กลิ่นอายของโซลและ r&b เข้าไปยิ่งทำให้ได้รสชาติใหม่ ๆ ขึ้นไปอีก ถือว่าประทับใจวัย gen y ต้น ๆ กันไป จากนั้นก็ลากเข้าสู่ช่วงซิงเกิ้ลใหม่อย่าง ดูดี และ อาวรณ์ ซึ่งผู้เขียนเองแม้จะได้ดู Polycat เล่นสดมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังสองเพลงนี้สด ๆ ทิศทางของอัลบั้มใหม่นั้นเน้นเรื่องของการดึงจังหวะ กรูเพลงที่มียืดท่อนอย่างมีชั้นเชิง บวกกับเครื่องเสียงที่ต้องชูสองนิ้วโป้งให้ของงานแล้ว ทำให้เพลงทั้งสองส่งพลังงานออกมาได้อย่างเต็มที่จริง ๆ ยอมใจแล้วจ้า ดูดีที่สุดเลยเว้ยแกไปหมดแล้ว จากนั้นโชว์ที่สุดแสนจะ professional ของพวกเขาก็จบลงด้วยการร้องเพลง พบกันใหม่ อย่างกระหึ่มฮอล

Phum Vipurit (18.30-19.15)

เมื่อเสียงกีตาร์สดใสของโน้ตแรกในเพลง Run เริ่มบรรเลงขึ้น หันไปมองรอบ ๆ ตัวผมก็พบว่าถูกรายล้อมไปด้วยแฟนคลับของภูมิที่ประกอบไปด้วยสาว ๆ ราว ๆ 70% ของคนที่มางานทั้งหมด ทุกคนพร้อมใจกันโยกตัวไปมากับกรูฟสบาย ๆ แล้วต่อด้วยเพลงที่สองและสามอย่าง Strangers in a Dream และ Trials and Errors ที่ยังคง tempo ช้า ๆ ซึ้ง ๆ เอาไว้ ให้คนได้วอร์มอัพ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง interlude ประมาณสองนาทีที่ทั้งวงบรรเลงร่วมกันเป็น instrumental disco แล้วเข้าสู่เพลงที่จังหวะที่สนุกสนาน เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวที่ทำให้ภูมิเป็นที่รู้จักกับ Adore โดยในเวอร์ชันเล่นสดวันนี้ แอบมีการรีอะเรนจ์ช่วงท้ายเพลงให้เป็นจังหวะเร็กเก้เบา ๆ สร้างรสชาติแปลกใหม่ได้เป็นอย่างดี

จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงโชว์พิเศษ ที่เชื่อว่าน่าจะไม่มีใครคาดเดาได้ คุณปอม มือกีตาร์ของวงวางกีตาร์ลงแล้วเปลี่ยนตัวเองเป็น beat-boxer เอาดื้อ ๆ โดยเล่นเมดเลย์เพลงที่เราคุ้นหูกันหลายเพลงต่อกัน ไม่ว่าจะเป็น Feeling Good ของ Michael Buble, Baby Shark หรือเพลงจาก The Prodigy ก็ยังมา ซึ่งก็เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ได้พอสมควร แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่ามันงง ๆ และหลุดจากแนวทางของวงไปหน่อย (ไม่แน่ใจว่าทาง Mangosteen ได้ขอให้ทั้ง Polycat และภูมิ เตรียมเพลงพิเศษมาทั้งคู่หรือเปล่า แต่ก็ถือว่าเป็นโบนัสของผู้ชม)

จากนั้นก็ปิดท้ายกันด้วยสองเพลงสุดฮิตอย่าง Long Gone และ Lover Boy ที่พอเข้าท่อนอินโทรเท่านั้น ทั้งฮอลก็กึกก้องไปด้วยเสียงกรี๊ด ก่อนที่ภูมิจะบอกว่าเวทีไปอย่างสวยงาม เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า body language ของผู้ชมระหว่าง Polycat กับภูมินั้นค่อนข้างต่างกัน (ไม่ได้เป็นการบอกว่าวงไหนเล่นดีกว่า หรือเพลงดีกว่านะครับ) โดยของ Polycat นั้นเราจะเห็นคนโยกตัว เต้นตามได้เกือบตลอดทั้งโชว์ ในขณะที่ระหว่างภูมิเล่น เหมือนคนจะไปสนใจกับการดูแบบนิ่ง ๆ พร้อมกลับหยิบกล้องขึ้นมามากกว่ามาก เหมือนกับจะเสพ visual มากกว่า sound ก็เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจดี

Sunset Rollercoaster (19.45-20.45)

มาถึงวงที่สาม ที่ส่วนตัวผู้เขียนอยากดูมากที่สุดรองลงมาจาก Kodaline ในค่ำคืนนี้ กับวง Sunset Roller Coaster วง pacific rock จากใต้หวันที่ได้อิทธิพลจากวงดนตรีเต้นรำ โซล แจ๊ส รวมไปถึงอิเล็กทรอนิกจาก 70s และ 80s ผสมกัน ซึ่งพวกเขาเคยมาเยือนไทยแล้วครั้งหนึ่งในงาน The Lucky Black Skirt ในปี 2017 แต่ปีนั้นผมพลาดไป วันนี้เลยตั้งใจจะมาดูพวกเขาเป็นพิเศษ

ไม่พูดพร่ำทำเพลง วงเปิดฉากด้วย No Man’s Land เพลงร็อกจังหวะสนุกที่มีกลิ่นอาย 80s rock มาพร้อมกับลีลาการ solo กีตาร์ที่ร้ายกาจ และเสียงกีตาร์อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น แค่ขึ้นมาเพลงแรกผมก็หลงรักวงนี้เข้าอย่างจัง วงโชว์ technical skill ต่อด้วยเพลงบลูส์ที่กรูฟต่อเนื่องกับเพลงแรก ชื่อเพลงก็บอกแล้วว่าฉันมา blues rock แน่ ๆ ด้วยเสียงกีตาร์แตกที่ดุดัน และมีเสียงร้องเพียงครึ่งแรกของเพลงเท่านั้น หลังจากนั้น instrumental ลากยาวไปจนจบเพลง ช่วง 30 วิสุดท้ายนี่ดุเดือดมาก ๆ จากนั้นสนุกกันต่อกับ Hogi Hogi La La เพลงที่จังหวะกลองชวนเต้นมากขึ้น มีจังหวะยกและดึงสลับไปมาน่าสนใจ เหมือนจะผสมลูกเล่นของความเป็นเร็กเก้และ world music เข้าไปเล็กน้อย เป็นเพลงที่มี progession ที่เท่มาก ๆ

จบไปสามเพลงผมหันไปรอบ ๆ ตัว พบว่าคนดูในฮอลค่อนข้างบางตา แล้วก็มาถึงบางอ้อว่าเป็นเพราะช่วงนี้จู่ ๆ ก็เกิดการห้ามนำแอลกอฮอลเข้ามาในฮอล ทำให้คนต้องกระดกดื่มกันภายนอก หรือหน้าทางเข้าฮอลเท่านั้น เป็นที่น่าเสียดายอย่างมากสำหรับคนที่ต้องพลาด Sunset Roller Coaster ไป เพลงที่สี่วงเริ่มดึงจังหวะช้าลงมา และชวนเรากลับไปยังยุค 80s กับ Almost Mature ‘87 และ Cool of Lullaby ที่ melody ช่างสวยงาม และแซ็กโซโฟนมีความโป๊มาก ๆ ฟังแล้วแทบจะย้วยละลายติดไปกับพื้นเวทีเวลาทีเดียว น่าสนใจที่ว่าวงร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และ โกว๋ (นักร้องนำ) มีสำเนียงภาษาอังกฤษที่ดีมาก ๆ เรียกว่าหยิบ reference ของแต่ละสไตล์มาได้อย่างเป๊ะ

จากนั้นเริ่มเข้าสู่ช่วงเพลงฮิต  ไม่ว่าจะเป็น Burgundy Red ที่ชัดเจนว่าวง pay homage to เพลงบัลลาดในยุค 70s-80s (ชวนให้นึกถึงเพลง Last Christmas ของ Wham ด้วยนะในบางท่อน) เบสมาถูกเบอร์ ไลน์คีย์บอร์ด คือถูกต้อง ดีงามมาก ๆ เล่นจบคนปรบมือกันสนั่นฮอล จากนั้นก็ต่อกันด้วย I Know I Love You ที่ท่อนโซโล่คีย์บอร์ดช่างเย้ายวน, New Drugs ที่บีตเริ่มสนุกขึ้นมาเล็กน้อย และเอฟเฟกต์จากคีย์บอร์ดเริ่มดึงเรากลับมาในยุคปัจจุบัน ก่อนจะปิดท้ายด้วย My Jinji ที่คนกรี๊ดตอบรับกันเป็นหย่อม ๆ และมีคนร้องตามได้บ้าง แสดงว่าวงประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแฟนคลับจากการมาเยือนไทยครั้งแรกได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้เขียนก็ขอถวายตัวเป็นหนึ่งในแฟนคลับอย่างเป็นทางการ

Fickle Friends (21.15-22.15)

ต้องกล่าวขออภัยไว้ตรงนี้เลยครับว่าวงนี้เป็นวงที่มีสมาธิดูน้อยที่สุด แล้วก็เป็นวงที่ส่วนตัวสนุกด้วยน้อยที่สุดในงานวันนี้แล้ว (ขออภัยแฟนเพลง Fickle Friends ทุกท่านเอาไว้ด้วยครับ) เนื่องจากดูติดกันมา 4 วงบอกตรง ๆ ว่าสังขารขามันเริ่มไม่ไหว และร่างกายก็ต้องการเติมแอลกอฮอลเพื่อวอร์มไป Kodaline ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ในฮอลตลอด

Fickle Friends เป็นวงแนว 80s synth pop จาก Brighton ก่อนมางานผู้เขียนได้ลองฟัง You Are Someone Else อัลบั้มล่าสุดของพวกเขาก็ค้นพบว่าเขียนเพลงโดยรวมจะเน้นไปที่เมโลดี้ป๊อปติดหู ผสมผสานกับความแข็งแรงของกีตาร์ที่มีความร็อก และไลน์กลองที่กระโดดตามได้สนุก ซึ่งพอได้มาดูของจริงก็พบว่าเป็นตามนั้นจริง ๆ วงขนเพลงฮิตอย่าง Swim, Glue (ส่วนตัวผู้เขียนชอบเพลงนี้ที่สุด) และ Say No More มาเล่นอย่างครบครัน และจากการเดินรอบ ๆ ก็เห็นว่ามีแฟนเพลงไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่เหมือนตั้งใจจะมาดู Fickle Friends โดยเฉพาะ เรียกว่าสามารถตะโกนร้องตามและกระโดดตามแทบทุกเพลง

Kodaline (22.45-00.00)

และแล้วก็ถึงเวลาของวง headliner ที่ทุกคนรอคอยขึ้นเป็นลำดับต่อไป ฮอลคอนเสิร์ตแน่นขนัดไปด้วยแฟนคลับที่จับจองพื้นที่ไม่ออกไปพักในช่วงเวลาเบรก เพื่อให้ได้มุมมองวงรักที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ต้องรอกันนานเมื่อ Kodaline ขึ้นเล่นได้อย่างตรงเวลาด้วยการแต่งตัวแบบสบาย ๆ เหมือนกำลังจะไปปิกนิกในสวนกัน เสียงโน้ตดนตรีตัวแรกดังขึ้นแต่แทบจะโดนกลบลงทั้งหมดด้วยเสียงกรี๊ดที่ดังกระหึ่มฮอล ก่อนที่ท่อนอินโทรของเพลงจังหวะสนุกอย่าง Follow Your Fire จะดังขึ้น ทุกคนปรบมือตามจังหวะพร้อมกันโดยไม่ต้องมีการบิลด์จากวงแต่อย่างใด ต่อด้วยเพลง Brand New Day ที่ยังคงจังหวะสนุก โยกกันได้เบา ๆ จบเพลงด้วยการโซโล่กลองจาก Vincent เพื่อส่งต่อเข้าเพลง Ready ที่ท่อนติดหู “I’m Ready, I’m Ready For It” ทุกคนร้องตามกันได้อย่างพร้อมเพรียง บวกกับจังหวะเร้าจาก lighting design ที่เรียกได้ว่ากดตามเพลงได้อย่างเป๊ะ ทำให้ performance สนุกขึ้นไปอีก ในเพลงที่สี่ Steve สลับมาเล่นคีย์บอร์ดในเพลง Honest ก่อนที่จะกล่าวทักทายแฟนเพลงไทย บอกว่าเป็นครั้งแรกที่วงได้มาเล่นที่นี่และประทับใจในผลตอบรับจากแฟน ๆ เป็นอย่างมาก ชมกันแบบนี้ แฟน ๆ ก็ส่งเสียงตอบรับอย่างกระหึ่มกันไป จากนั้นเพลง Brother ก็ถูกเล่น ซึ่งส่วนตัวเป็นเพลงที่ชอบที่สุดของผู้เขียน ซึ่งวงก็แสดงออกมาได้แน่นเหมือนกับ audio เป๊ะ ๆ ไม่มีผิดหวัง และด้วยเป็นเพลงที่ค่อนข้างทรงพลังในตัวอยู่แล้ว ทางฝั่ง lighting เลยลดลูกเล่นลงเพื่อให้เสียงดนตรีทำงานได้เต็มที่ ถือว่าเป็นการออกแบบโชว์ออกมาผสานกันได้อย่างลงตัว หลังจากที่ดึงจังหวะลงไปเล็กน้อย ก็กลับมาเป็นเพลงสดใสอย่าง Head Held High ที่ส่งพลัง uplifting สาดใส่ผู้ชมมาพร้อมกับแสงที่สีสันสดใส เป็นการปิดฉากครึ่งแรกของโชว์ได้เป็นอย่างดี

วงทำการเปลี่ยนเครื่องดนตรีเล็กน้อย เป็นการให้คนดูได้พักหายใจหายคอกันไป ก่อนจะเข้าสู่โหมดซึ้ง ๆ โรแมนติก ด้วยเพลง The One ในเวอร์ชันอะคูสติก ที่ Steve เล่าให้ฟังว่าแต่งให้เพื่อเป็นของขวัญเพื่อนสนิทในงานแต่งงาน และด้วยเสียงใสก้องกังวานของเค้า เชื่อว่า 90% ของคนที่อยู่ในฮอลต่างดวงตาเปลี่ยนเป็นสีชมพูกันทั้งหมด และแน่นอนไม่พ้นการขอ interaction จากคนฟังด้วยการเปิดไฟมือถือ สร้างทะเลดาวกันไปตามธรรมเนียม ยังคงอยู่ในโหมดโรแมนติกกันต่อด้วยเพลง I Wouldn’t Be ที่ Steve, Jason และ Mark ขึ้นเพลงมาพร้อมกันด้วยเสียงประสานอะแคเพลล่ากันสักพักก่อนที่เครื่องดนตรีจะค่อย ๆ เสริมกันเข้ามาแต่ละชิ้น เร่ิมด้วยเสียงเปียโน กีตาร์ เบสและกลอง และจบเพลงนี้อย่างทรงพลังไป ต่อด้วยเพลง Love Like This ที่ส่งพลัง positive ต่อด้วยสำเนียงเพลงที่มีกลิ่นอาย world music นิด ๆ โฟล์กหน่อย ๆ โดยมีเสียงของฮาร์โมนิก้าจาก Steve แทรกเข้ามาอย่างลงตัว และยังคงต่อด้วยอีกหนึ่งเพลง positive อย่างเพลง One Day ก่อนที่จังหวะจะกลับมาสนุกด้วยเพลง Raging ที่ต้นฉบับมีการ featuring กับ Kygo ที่มีกลิ่นอายของ edm แต่เวอร์ชันสดถูกเล่นให้กลายเป็นเพลงร็อกแทน ถึงตอนนี้ทั้งฮอลโยกกันไม่มีกั๊กฟอร์ม แหกปากร้อง “Raging, Raging” แบบไม่ต้องกลัวคอแตก

ก่อนจะเข้าสู่เพลงสุดท้าย Steve ก็หยอดยาหอมด้วยประโยค “We think we just fall in love with Bangkok” ก่อนจะเข้าสู่เพลง Love Will Set You Free เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ทำให้รู้สึก feel good และแน่นอนว่าคนร้องตามกันได้ลั่นฮอล แต่เข้าเพลงนี้ผู้เขียนแอบเริ่มสังเกตได้ว่า sound engineer เริ่มต้องดันเสียง vocal ดังกว่าปกติ อาจจะเป็นไปได้ว่าการทัวร์เอเชียเริ่มส่งผลกับเสียงของ Steve บ้างแล้ว (หรืออาจจะมีอาการป่วยก็ไม่ทราบได้) ทำให้เสียง high แอบสูงบาดหูไปสักเล็กน้อย ก่อนจบเพลง นักร้องนำขี้เล่นก็กระโดดลงมาจากเวทีเข้าสู่ walk way ที่ผ่ากลางฮอลคอนเสิร์ตพร้อมถือกล้อง 360 องศาภายในมือ (ไปติดตามดู footage จาก story ของ Instagram วงได้) ซึ่งการวิ่งลงมาแบบนี้ แน่นอนทำเอาแฟน ๆ ที่ติดขอบก็ได้มีโอกาสสัมผัสตัวอย่างใกล้ชิด เรียกใจแฟน ๆ ไปได้อีกโข เมื่อจบเพลงวงลงไปจากเวที แต่เสียงร้องในฮอลยังคงดังกึกก้อง จนวงเดินกลับขึ้นมาบนเวทีด้วยสองเพลงชาติที่ทุกคนร้องตามได้ทุกเนื้อเมโลดี้อย่าง All I Want ที่น่าจะเป็นเพลงที่ฮิตที่สุดของวง ก่อนจะปิดฉากค่ำคืนอันแสนจะมีความสุขด้วย High Hopes ศิริรวมเล่นรวมกันเพียง 75 นาทีเท่านั้น เชื่อว่าไม่จุใจสำหรับการรอคอยของแฟน ๆ พันธ์ุแท้สักเท่าไหร่

Mangosteen

หลังจากที่ไฟในฮอลเปิดขึ้น ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าหลาย ๆ คนในค่ำคืนนี้น่าจะได้รับพลังงานบวกจาก Kodaline ไปอย่างเต็มอิ่ม ด้วยแนวและเนื้อหาของเพลงที่ค่อนข้างเป็นเชิงบวก และให้กำลังใจกับผู้ฟัง ซึ่งก็ทำให้หวนไปนึกถึงบรรยากาศของคำ่คืนที่ได้ชม Coldplay สด ๆ ที่ราชมังคลา ฯ ที่แนวดนตรีและเนื้อหาของเพลงเป็นไปในเชิงการให้พลังงานบวกเช่นกัน สำหรับ Kodaline นั้นส่วนตัวคิดว่ายังไม่ได้มีการแสดงสดที่ทรงพลังขนาดนั้น และหลาย ๆ เพลงก็ยังแอบคิดว่าวงเล่นเป๊ะเกินไปทำให้ยังขาดเสน่ห์และสีสันในการแสดงสด แน่นอนว่าการเปรียบเทียบกับ Coldplay ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม แต่ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อ Kodaline ได้สั่งสมประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น พวกเขาสามารถจะสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องแน่นอน และเมื่อมาเยือนไทยคราวหน้า ผู้เขียนก็จะไม่ขอพลาดที่จะตามไปดูพัฒนาการของพวกเขาต่อไป

ภาพรวมอื่น ๆ ของงาน

  • ขอชื่นชมความเรียบร้อยในการจัดงาน ที่คาดคะเนด้วยสาตา น่าจะมีคนในงานทั้งสิ้นราว ๆ 7,000 คน (หากผิดขออภัย) แต่การจัดการคิว แถวการเข้างานเป็นไปได้ด้วยความราบรื่น มีพิธีกรอารมณ์ดีบริเวณประตูที่คอยประกาศให้ข้อมูล และอัพเดทคิวการแสดงอยู่ตลอดเวลา และตารางโชว์ที่ตรงเวลามาก จะมีเหลื่อมบ้างก็ไม่เกิน 10 นาที จะมีความงง ๆ บ้างเรื่องของการนำแอลกอฮอลเข้าไปในฮอลคอนเสิร์ต ที่ตอนแรกนำเข้าได้ แล้วช่วงหนึ่งทุ่มก็มีเจ้าหน้ามาห้ามนำเข้า จากนั้นหลังสามทุ่มก็เข้าได้อีกครั้ง (ผู้เขียนพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่น่าจะใช่ความผิดของผู้จัด แต่ก็มีคนต่อว่ากันพอสมควร)
  • ตัวสถานที่ของ Hall 106 เดินทางสะดวกสบาย ภายนอกจัดเป็นพื้นที่ food market มีอาหารหลากหลาย แต่ที่นั่งน้อยไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับจำนวนคน มีห้องน้ำภายในตัวฮอล ที่เมื่อคนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น ก็มีการเปิดให้เข้าจากรถห้องน้ำภายนอกได้ รวมไปถึงเมื่อดึกจริงๆ ก็ยังอำนวยความสะดวกด้วยการเปิดทางออกให้เข้าห้องน้ำใน Bitec ได้อีก เรียกได้ว่ามีการเช็คถึงความต้องการของคนดูอยู่ตลอด ขอชื่นชมในจุดนี้ ติดนิดเดียวคือแอร์ในฮอลพ่นลงตรง ๆ ลงบนหัวคน แล้วเกิดอาการเย็นหัวกันได้พอสมควร เห็นผู้ชมจำนวนนึงแอบมีเสียงบ่น แต่ก็เป็นเรื่องเล็กมาก ๆ
  • อีกอย่างที่ขอชื่นชมคือเรื่อง production โดยเฉพาะเรื่องซาวด์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ยอมรับว่าประหลาดใจที่ฮอลที่ไม่ได้ออกมาแบบมาให้เป็นงานคอนเสิร์ตโดยเฉพาะสามารถผลิตเสียงที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ รวมถึง lighting design ที่ไม่ได้เว่อร์วังแต่ก็มีเพียงพอให้โชว์ทุกโชว์ออกมาดูดี ลงตัว และไม่กั๊กตั้งแต่วงแรก
  • ส่วนสุดท้ายไม่ได้ประสบโดยตรงกับตัว แต่ดูเหมือนว่า VIP Zone จะโดนตำหนิมากพอสมควรในเรื่องพื้นที่ที่ไม่ค่อยเอื้อให้เห็นเวทีชัดเท่าไหร่ หรือการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองว่ายังไม่ค่อยคุ้มค่าตั๋ว หรือมีการปล่อยให้คนบัตรธรรมดาเข้าไปได้ อันนี้ก็เป็นกำลังให้ปรับปรุงต่อไปจ้า

ขอขอบคุณภาพจากเพจ Hear and There

Facebook Comments

Next:


Sarun Pinyarat

ท้อป ศรัณย์ ภิญญรัตน์ เคย: เรียนออกแบบที่ไทยและฟินแลนด์ / ทำงานที่ Startup ใน Sillicon Valley ชอบ: ฟังเพลง / ดูหนัง / อ่าน / การเล่าเรื่อง / บูมบูม เป็น: ผู้ก่อตั้งฟังใจ / นักออกแบบ / คนคิด / คนเจรจา / คนลงมือทำ / นักเขียนจำเป็น