Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Maho Rasop Festival 2019 วิ่งจนขาขวิด เต้นจนต้องร้องขอชีวิต DAY 1

  • Writer: Montipa Virojpan, Peerapong Kaewtae, Pongsathorn Chutachuen, and Donratcharat Phromsoonthornsakul
  • Photographer: Tas Suwanasang and Karin Lertchaiprasert

เฟสติวัลแห่งปี Maho Rasop Festival 2019 ยังสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้แบบไม่เสียมาตรฐาน แอบไปเห็นสเตตัสของผู้ชมท่านหนึ่งที่เคยมีความประทับใจในปีแรกบอกว่านี่เป็นเฟสติวัลที่ทำให้คำว่า วงอะไรวะ กลายเป็น วงอะไรว่าเล่นดีฉิบหายเพราะเรายังคงเสิร์ฟไลน์อัพทั้งวงในตำนาน วงหน้าใหม่ วงดี under the radar แบบคาดไม่ถึง แถมปีนี้ยังจัดเต็มถึงสองวัน และมีเวทีอิเล็กทรอนิกเพิ่มความหลากหลาย รอให้ทุกคนมาพิสูจน์กัน

ทางด้านทีมงาน Fungjaizine ที่เพิ่งทิ้งตัวลงที่นอนไปแหมบ ก็ขอตื่นมา recap สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาให้ได้อ่านกันอีกรอบสำหรับคนที่ยังอารมณ์ค้าง ส่วนใครที่พลาดไปก็มาตามอ่านได้ที่นี่ เรียกว่าใช้วิชาแยกร่างกันสนุกเลยทีเดียวเชียวล่ะท่านผู้โช้มมมมม

16 พฤศจิกายน 2562

Live Park พระราม 9 กลับมามีบรรยากาศสดใสอีกครั้งด้วยสารพันสิ่งประดับประดาของงาน Maho Rasop เรียงรายไปตั้งแต่แบ็กดรอปซุ้มประตูหน้างานให้ได้ถ่ายรูปกัน ไปจนถึงโครงสร้างก่อนทางเดินไป Maholarn Stage หรือ main stage ก็สามารถปีนขึ้นไปนั่งห้อยขาดูเพลิน ได้ด้วย น่ารักมาก

นอกจาก Installation ชวนตื่นตาแล้วภายในงาน Maho Rasop Festival 2019 ยังมีบูธกิจกรรมพร้อมโซน Market ที่เต็มไปด้วยอาหารเครื่องดื่มหลากหลายแนวให้ได้ลิ้มลอง ก่อนไปสนุกกับเสียงดนตรีจากวงกว่า 30 วง เราก็ได้แวะบูธ Marshall & Urbanears ที่มีกิจกรรมชิค ๆ ให้เราได้ถ่ายภาพพร้อม Print เป็นภาพเคลื่อนไหวลงใน Social Media ซึ่งใครที่ร่วมสนุกที่บูธนี้ก็จะมีสิทธ์ลุ้นรับ ลำโพง Stockwell II จาก Marshall อีกด้วย

หลังจากเดินสนุกสนานกับกิจกรรมหลากหลายรอบงาน เราก็ขอพุ่งตัวไปดูวงแรกของวันที่ Khamram Stage by LEO กับ Supergoods วง neo soul, groove ที่เราพูดถึงอยู่บ่อย จนความสามารถของพวกเขาก็ได้ปรากฏต่อสายตาชาวโลกจำนวนหนึ่งที่งานนี้ สังเกตว่าวันนี้มีมือเพอร์คัสชันจากวง Rootsman Creation และซินธิไซเซอร์จาก Game of Sounds มาช่วยเติมเต็มความแน่น เริ่มกันที่อินโทรที่พวกเขาบรรจงอะเรนจ์มาอย่างเท่ โซล ผสมร็อกแอนด์โรล แล้วเข้าเพลง อยู่เฉย ที่เป็นไซคีเดลิกหน่อย เพิ่มเสียงสะท้านทรวงด้วย dub wiser มีท่อนฟังก์สุดเฟี้ยวฟ้าว ให้บรรยากาศแบบอวกาศ ได้หนักหน่วง ต่อด้วย interlude เพลง Time’s Up ที่เอาไว้เชื่อมเข้าเพลง Bye Bye กับท่อน หมดเวลาของเธอ และ Come Rain or Come Shine ที่เปลี่ยนจากความ fierce มาเป็นกรูฟโยก เท่ ก่อนจะชวน บอส Rootsman Creation มาร้องในเพลงสุดล่องลอย Temporary ความมินิมัลในเพลงนี้ดูกลมกล่อมขึ้นเมื่อหยิบมาเล่นสด จากแดดเปรี้ยงยามบ่ายเจอเพลงนี้เข้าไปนี่ใจร่มเลย จบเพลงนี้บอสก็ยังอยู่ต่อ และเล่นเพลง สติ ของวงตัวเองในเวอร์ชัน Supergoods ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เกินคาดมาก ถูกเอามารีอะเรนจ์ให้เพิ่มความกรูฟ แต่ยังคงความละมุนละไมไว้ครบถ้วน เพิ่มด้วยเสียงประสานของคอรัสสามสาวที่ทำเอาเคลิ้มลอยไป ประหนึ่งกำลังโดนสะกดจิด ขอหลับตาไปฟังไปเลยอะ แล้วก็เป็นเพลง Blue Dream แต่เล่นไม่ทันถึงท่อน drum and bass วิ่ง สุดเท่ ช่วงท้ายของวงก็ต้องเล่นเบาลงเพราะว่ามีบุคคลสำคัญนั่งรถผ่าน (อีกละ แต่หัววันเลยวันนี้) ระหว่างที่เบรกอยู่ทุกคนอยู่ในความเงียบ เวลาของวงก็หมดลงทำให้ต้องลงเวทีไปอย่างน่าเสียดาย

เวทีมโฆฬารก็มี Stoic วงไทยคุณภาพอีกวงพร้อมแล้ว อินโทรด้วย Time End Here น้ำเสียงเย็นยะเยือก มีเชลโล่มาเติมความรุนแรงบาดลึก ก่อนจะกระแทกดนตรีเท่ๆ เข้าใส่คนดูด้วยจังหวะกลองมัน ๆ ที่ล้อไปกับกีตาร์ทั้งสองตัวและเบส ชูให้เชลโล่ยิ่งโดดเด่น ก่อนจะสาดไลน์กีตาร์ไฟฟ้าได้ดุดันจนทุกคนมันลืมร้อนไปเลย แค่เพลงแรกก็หนุกแล้ว แต่โชว์สะดุดนิดหน่อยเพราะอะไรคุณก็รู้ แต่เมื่อโชว์กลับมาก็จัด Di(c)e ที่จังหวะกลองเลี้ยงมาอย่างหดหู่ ระบายด้วยเสียงเอื้อนที่ฉุดเราให้ลงไปจมอยู่กับเนื้อเพลง ท่อนฮุกที่ดิ่งลงไปอีกสต็อปแล้วเร่งเร้าให้อารมณ์เพลงรุนแรงขึ้น ฮุกสองที่เพิ่มจังหวะมัน ๆ ขึ้นมาก็เข้าถึงใจเรามาก ฮุกสามคือใส่ทุกอย่างที่มีจนดนตรีพวกเขาเดือดกว่าแดดตอนบ่ายสี่อีก My Ghost เสียงร้องกับกีตาร์โปร่ง ค่อย ๆ สะกดพวกเราไว้ พาเราไต่ระดับอารมณ์ขึ้นไปพร้อมเชลโล่ที่ช่วยหลอน ขยี้ด้วยริฟกีตาร์ที่ค่อย ๆ คุกคามเราช้าๆ แล้งฟาดเข้ามาด้วยความร็อกอันวอดวายที่พวกเขาช่ำชอง จังหวะดรอปแล้วกรีดคนดูด้วยสายเชลโล่แล้วฟาดดนตรีหนักหน่วงเข้ามาก็ประทับใจโคตร โยกหัวตามทั้งเพลง Lost ก็ฟาดดนตรีอันดุดันมาตั้งแต่ต้นเพลง กรีดร้องสุดแรงปอดไปพร้อมกับเครื่องดนตรีทั้งห้าชิ้นได้เพลิดเพลินมาก ก่อนจะขาดใจและปล่อยให้เสรยงดนตรีให้ไป กลองก็ฟาดแล้วเข้ามาด้วยร็อกที่มันกว่าเดิม 5 มาถึงก็ฟาดด้วยรีเวิร์บกีตาร์ดุๆ แล้วสาดความเท่มาไม่หยุด อยากตะโกนตามทุกฮุก ท่อนโซโล่คือกีตาร์คำรามไม่หยุดเลยแม่จ๋า กับกลองที่ดุมากๆ ปรอทจะแตก เดือดกว่าแดดกรุงเทพอีก

ประมาณสามโมงครึ่ง เรามาถึงเวทีใหม่ล่าสุด Yoklor Stage by Vespa ที่อยู่บนอาคารด้านหน้าจุด register เป็นโซนเดียวที่มีเครื่องปรับอากาศให้เราได้มาหลบร้อนกัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิดนักเพราะศิลปินที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้คือ Gulf of Meru จากอินโดนีเซีย กับดนตรีอิเล็กทรอนิกทดลองที่ช่วงต้นเป็นนอยซ์แอมเบียนต์สุดดาร์ก คอยสอดประสานด้วยลูปหม่นที่คอยเร่งไดนามิกให้ดังขึ้นเรื่อย จนถึงพาร์ตที่เบสหนักมาก ปล่อยซาวด์เล่นลูกเล่นไล่เสียงซ้ายขวา บีตตุ้ม ๆๆๆ เหมือนสะเทือนอยู่ในคลื่นของสสารสีดำ วิชวลเท่ไปหมด จนครึ่งเซ็ตก็เริ่มมีบีตเทคโนให้ย่ำเท้า เต้นตามได้ จนตัดมาเป็นเสียงหลอน เทคโน แอมเบียนต์เมโลดี้เพราะ บีตมีความไทรบ์หน่อย กลับเข้ามาพร้อมไฟฉาบเวทีจนเป็นสีน้ำเงิน แล้วก้กลับมาเล่นแอมเบียนต์คว้าง นิ่ง ก่อนจะเปนแซมพ์เสียง ผู้หญิงพูดว่า wait วน แบบหลอน มีช่วงนึงที่เล่นไปแล้วหยุด กดลูปใหม่ เหมือนจะขัดหู แต่จริง แล้วเป็นการเล่นแบบดึงให้คนดูโฟกัสกับเสียงตรงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โอ้โห ฟีลแบบหัวโล่งเลย แล้วเขาก็แสบหนักด้วยการอัดบีตหน่วง กลับเข้ามาพร้อมเสียงเครื่องดีดแบบเอเชียน พร้อมกับไฟเอฟเฟกต์เหมือนฟ้าแลบ กับซาวด์วิ่ง ให้เราต้องเต้น มีช่วงดรอปเงียบไปก่อนจะตู้มมาด้วยเทคเฮาส์แบบเร้า ต่อด้วยเฮาส์เพี้ยน และปรับหูด้วยซาวด์สว่าง ให้เราได้คลี่คลายอารมณ์ก่อนไปพบกับโชว์ต่อไป บอกเลยว่าม้ามืดจริงคนนี้

คำรามก็ต่อกันด้วยดรีมป๊อปสุดชิลอย่าง Folk9 เปิดด้วย Plant กับ The Waiter ที่มาถึงก็ชวนทุกคนเต้นได้ทันที ซาวด์กุ๊งกิ้งสุด เติมกีตาร์เข้ามาอีกตัวแทนพัทที่ไปเล่นซินธ์ ทำให้ซาวด์แน่นมว๊าก ต่อด้วย Feel Good ที่รื่นเริงชวนโยกมาก ปล่อยกีตาร์ให้คร่ำครวญแล้วลากเข้าเพลง China Town ได้เนียนมาก ท่อนโซโล่ที่บรรเลงได้เพลิดเพลินมาก เสียงกีตาร์หวาบหวามเหลือทนกับ Lavender ฮุกที่สนุกสนาน ดรอปด้วยจังหวะเข้ม ๆ แล้วฟาดกลับเข้ามาด้วยเสียงกีตาร์หวาน ๆ ชวนเซิ้ง ใครยืนเฉย ๆ ไม่เต้นได้คือเก่งเกินไปแล้ว โซโล่ท้ายเพลงที่จัดหนักจนมันสุดๆ ก็ได้ใจเราไปหมด ฉันจะไปพายเรือ จากอัลบั้มเก่า ๆ กีตาร์กับกลองเข้าขากันมาก การแหกปากนับก็ช่วยให้คนดูเข้าถึงอารมณ์ดนตรีมัน ๆ มากขึ้นจนเผลอโยกตัวตาม ขยี้กีตาร์แบบให้แน่ใจว่าคนฟังจะใจละลาย แต่ละท่อนคือกีตาร์เอาตาย โยกหัวกันทั้งเพลง ยิ่งดรอปแล้วเข้าฮุกท้ายคือเท่โคตร ท่อนย้ำตอนท้ายคืออย่างเท่ ไม่ปล่อยให้พักเลย ซัดเซิร์ฟมัน ๆ ด้วย ไม่มีฉัน ใส่เราต่อทันที จี๊ดใจได้ทั้งเพลงมันไม่มีกำลังตก คนดูก็โยกเข้าไปค่ะ ท่อนโซโล่ก็กะเอาตาย ต่อด้วย ผลดอกไม้ เพลงที่เรารักที่สุด ก็ร่ำรวยไปด้วยเมโลดี้น่ารักๆ หัวดำ หัวทองโยกกันยับทั้งหน้าเวที ลดจังหวะลงหน่อยกับเพลง Romantic Scene ที่ใช้เบสเซ็กซี่ๆ ขับกล่อมอารมณ์ทุกคนให้เย็นลงตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ทิ้งท้ายกับ แว่นกันแดด ที่โคตรชิล โยกเอวตามเบา ๆ ไปมา หอมกรุ่นไปด้วยซาวด์หวาน ๆ ทั่วเวที ท่อนโซโล่คือขยี้ซาวด์ได้ฟุ้งมาก ติดอยู่ในใจไปตลอดกาล

17.00 . ระหว่างที่ Khamram Stage by LEO และ Maholarn Stage มีฟูลแบนด์ให้เสพ ฝั่ง Yoklor Stage by Vespa ก็มี DJ NUH PEACE คราวนี้เขามาพร้อมกับทวินเทลส์สีชมพูสว่าง แต่เพลงเดือดดาลมาก วิชวลและไลท์ติ้งสาดตามจังหวะจนอดขยับตามไม่ได้ เบสสั่นสะเทือนจนบังคับจังหวะหัวใจ เป็นที่ถูกใจของใครหลาย คน แอบมีเวียนหัวกันบ้าง เพราะเพลงแทบไม่มีเวลาให้พักเลย ออกจากเวทีไปก็คือแคลอรี่หายไปหลายร้อยอยู่

Maho Rasop Festival 2019

17.20 . ที่ Khamram Stage by LEO กับวงสุดกรูฟอย่าง Benny Sings ที่มีแฟนเพลงมารอดูกันอย่างหนาตา เปิดมาด้วย Big Brown Eyes ก่อนจะไปต่อกันที่ Duplicate กับดนตรีประหนึ่งป๊อป r&b ช่วง Michael Jackson รุ่งเรือง คอรัสคือดีงามมาก เข้ากับไวบ์สุดเพลินที่คนดูเริ่มจะโยกกันแบบไม่เหนียมอาย จากนั้นก็ประสานมาด้วยทรัมเปตที่ถูกที่ถูกเวลา กับคีย์บอร์ดที่เมโลดี้น่ารักเหลือกัน ตามด้วย Familiar ที่ให้เราได้ขยับตัวตามแบบน่ารัก กับโซโล่ที่ฟังแล้วเขิ๊นเขิน แล้วจึงเป็นเพลง Beach House ที่พาให้เราไปพักกายใจที่บ้านพักริมทะเล กับเพลงช้ากรูฟหนึบเพลงนี้ ต่อกันที่ Straight Lines และ My Favorite Game ที่กรูฟชวนโยกอีกเช่นกัน ก่อนจะส่งเข้าเพลงช้ายวบยาบอีกเพลงใน Champagne People และเล่นเพลงใหม่ที่ชื่อ Music กับคัฟเวอร์ที่ทำให้เขาโด่งดังนั่นคือ Passion Fruit ของ Drake ที่มีความงึก งัก ฟังแล้วต้องยุกยิกตาม ส่วนท่อนโซโล่ในเพลงนี้ก็มีท่อนดรอปที่เท่เหลือเกิน จากนั้นก็เป็น Not Enough ที่ให้ความรู้สึกเหมือน Something About Us ของ Daft Punk และเพลงช้า Everything I Know กับอีกเพลงที่สลับร้องดูเอตกันเข้าขา แล้วปิดท้ายกันไปในเพลง nu disco สุดน่ารัก Little Donna 

แต่คนอยากเดือดต้องมามโหฬารกับ No Party For Cao Dong นักร้องนำพูดว่า “สวัสดีครับ” เสร็จก็บรรเลงดนตรีลึกลับขึ้นมาทันที กีตาร์สองตัวกับเบสรับส่งกันได้รื่นหูมาก ก่อนจะขยี้ซาวด์ร็อกๆ เข้าใส่เราแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นอินโทรวงที่ตื่นตามาก ซัดด้วย 1 ทันที ดนตรีสลับจังหวะไปมาได้เท่มาก แล้วซัดด้วยท่อนฮุกดุ ๆ ใส่เราทันที กีตาร์ก็กรีดร้องกันบ้าคลั่งมาก รู้ชะตากรรมเลยนะว่าโชว์นี้เดือดแน่ 2 ฉาบเต้นระบำไปมาท่ามกลางเสียงกีตาร์ที่เบียดเสียดกันอย่างบ้าคลั่งไปหมด มีจุดให้เราหายใจนิดเดียว และสาดท่อนฮุกมาใส่เราทันที ชวนโยกหัวจนลืมหายใจ 3 นี่กะเอาตาย จัดหนักตั้งแต่เริ่มเพลง กีตาร์คือสะกดให้คนดูโยกหัวเป็นบ้าเป็นหลัง การแผดเสียงก็ทำให้เลือดคนดูเดือดผล่านไปหมด โชว์ลีลาร็อกแอนด์โรลด้วยกีตาร์เท่ ๆ ไปอีก ฟาดด้วยฮุกมัน ๆ อีกรอบแล้วโซโล่แบบบ้ามาก ๆ โอ้ยยยย ยอมแล้ว 4 นี่คือเพลงปล่อยของฉัน ๆ สลับจังหวะร็อกเท่ ๆ กับบลูส์ได้เหลือร้ายมากกกกกก กีตาร์พลิ้วสุด ๆ วาดลวดลายบาดใจมาก ๆ ทั้งเท่ทั้งเก่ง 5 มาด้วยกีตาร์สะดีดสะดิ้งที่ทุกคนได้ยินแล้วต้องเต้นตามทันที แต่เป็นแค่ลูกเล่นให้ตายใจเล่น เพราะตอนท้ายก็ซัดความร็อกท่วมคนดูอยู่ดี 6 เพลงที่เรารักที่สุดมาแล้วววว หล่อเลี้ยงคนดูด้วยอารมณ์ดิ่ง ๆ กลองกับกีตาร์ผสานกันได้กลมกล่อมมาก ก่อนจะหยอกล้อเราด้วยไลน์กีตาร์นุ่ม ๆ ในท่อนเชื่อม แล้วฟาดเราหนัก ๆ ในฮุกสามที่สาดความร็อกทั้งหมดที่มีเข้ามาอย่างท่วมท้นบ้าคลั่ง จนเราอยากกรี๊ดตาม 7 หล่อเลี้ยงเราด้วยร็อกจังหวะเท่ ๆ ก่อนจะดรอปให้เรา โว้ว โว้ว ตาม ก่อนจะฟาดเราด้วยซาวด์อันเดือดดาลบ้าคลั่ง แล้วลูบเราด้วยแจ๊สนุ่ม ๆ ซักหน่อยในตอนท้าย 8 สัมผัสเราด้วยกลองไฟฟ้า ก่อนกีตาร์ทั้งสองจะถักทอกันขึ้นมา แล้วสลับจังหวะให้ชวนโยกหู ท่อนเชื่อมดรอปลงมา แล้วกลองก็ฟาดแสนร์เข้ามาเป็นร็อกเท่ ๆ ได้งดงามมาก แล้วใช้ร็อกเข้ม ๆ นี่หลอกล้อเราเข้าไปถึงฮุกอีกรอบ แล้วฟาดกลองแสนร์เพื่อบรรเลงแต่รอบนี้ใส่เต็มด้วยโพเกสซีฟร็อกที่ซาวด์ข้นขลักมาก 9 รอบนี้มาด้วยซอล์ฟร็อกหวาน ๆ ชวนเลื่อยมาก ช้า ๆ นุ่ม ๆ โยกตามได้เรื่อย ๆ 10 ก็นุ่มนวลด้วยเสียงร้องของมือกีตาร์อีกคน กับกีตาร์สองตัวที่ล้อไปด้วยกัน เป็นโปรเกสซีฟร็อกที่ชวนเคลิ้มมากกับคอร์ดที่หวานเยิ้ม เสียงโหยหวนชวนเศร้าก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี ก่อนกีตาร์จะเร่งจังหวะขึ้นมาแผดเสียงได้อย่างดุดัน กระชากคนดูเข้าสู่ความมัน งดงามไปหมด 11 ขึ้นด้วยเสียงกีตาร์อันน่ากลัว แล้วเปลี่ยนมันเป็นจังหวะรุนแรงที่พุ่งเข้ามาใส่เราอย่าไม่ปราณี ก่อนจะทะลุขีดความมัน ก็โดนดรอปจังหวะลงให้นุ่มนวลเพลิดเพลิน มีลูกล่อลูกชนจนเดาไม่ออกว่าจะฟาดความมันเข้ามาตอนไหน จนเราเผลอใจโยกหัวตามทุกดอก เร่งเร้าทุกเมโลดี้ให้เดือดผลานไปหมด ใครจะทนไหวไม่โยกหัวตาม 12 ระหว่างที่กลองเร่งจังหวะขึ้นมากีตาร์ก็พาเราเข้าสู่ภวังค์ทันทีกับจะงหวะขวนฝัน ก่อนจะเข้าซอล์ฟร็อกหวาน ๆ ฟังแล้วชวนสบายใจท่ามกลางแสงสีม่วง แน่นอนว่าไม่ทิ้งลายร็อกในตอนท้ายไปเลย เนียนกริบด้วยกีตาร์ที่คำรามอย่างบ้าคลั่ง 13 กีตาร์กรีดกรายออกมาได้งดงาม รวมเข้ากับจังหวะกลองเดือด ๆ ทำให้เวทีมโหฬารลุดเป็นไฟทันที แล้วสลับจังหวะในช้าลง ค่อย ๆ ลูบหลังคนดูด้วยเมโลดี้งาม ๆ ไต่ระดับความบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง หยุดแล้วสาดใส่เราอีกไม่ยั้ง ไม่กลัวคนดูเหนื่อยตายเลยใช่มั้ย โซโล่สุดท้ายคือจัดหนักจัดเต็ม สะเทือนไปทั้งตัว 14 กีตาร์ ๆ ทั้งสองตัวล้อกันไปได้เพลินหู กับเสียงร้องประสานชายหญิงที่นุ่มนวลมาก ก่อนฮุกจะตะโกนออกมาสุดเสียง แล้วสาดความร็อกเข้ามาท่วมหน้าเวทีไปหมด กับไลน์กีตาร์ที่เย้ายวนสุด ๆ ฉาบเต้นระบำอีกครี้งจนคนมืออยากตบมือตาม ระบายด้วยกีตาร์หวาน ๆ คนดูกับศิลปินเชื่อมต่อความสุขกันได้อย่างลงตัว ฮุกสองที่ทุกคนรู้จังหวะแล้วก็โยกกันสุดหัว ปล่อยให้เสียงกีตาร์สาดเข้าใสแบบไม่หวั่นไหว

ที่ Maholarn Stage กับ Phum Viphurit อีกหนุ่มฮอตเจ้าบ้านที่ดังไกลไปทั่วโลก เปิดมาเพลงแรกก็เป็นเพลงน่ารัก Paper Throne ก่อนจะพักเข้าเพลงต่อไปแบบฟังก์ แล้วขึ้น Strangers In a Dream เมื่อจบเพลงภูมิบอกว่าดีใจมากที่ได้มาเล่น Maho Rasop พร้อมกับแนะนำตัวนักดนตรีในวงทีละคน ต่อด้วยเพลงป๊อปน่ารักแฝงลูกเล่นเท่ ไว้มากมายจาก EP Bangkok Balter Club นั่นคือ Softly Spoken ที่ทำเอาเขินกับท่อน ‘I wrote this riff for you’ ทุกครั้งที่ร้อง วิชวลคราวนี้น่ารัก เห็นละคิดถึงตอนที่ภูมิแต่งตัวเป็นแช็กกี้จากเรื่อง Scooby Doo ที่งาน Fungjai Crossplay เมื่อกลางปีเลย แล้วตัดเข้ามู้ดซึม ในเพลง Pluto กีตาร์บาดใจมาก แล้ววันนี้ ปอม มือเบส ที่ใส่ชุดมาริโอ้มา ก็จัดบีตบ๊อกซ์ธีมซองในเกมมาริโอ้ให้ได้ฟังเป็นเพลงแรก แล้วต่อด้วยอีกหลายเพลง หนึ่งในนั้นมี Bad Guy ของ Billie Eilish ทำเอาคนดูเต้นกันยับ ต่อด้วย Hello Anxiety ให้ได้สนุกกันต่อ จบเพลง ภูมิก็ถามว่ามีใครมากับแฟนบ้างมั้ย จะร้องเพลงหวาน แล้วนะแล้วจะเป็นเพลงอะไรไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่ Lover boy ที่อินโทรมาก็จัดกรูฟให้แน่น ต่อด้วย  Long Gone และ Adore ปิดท้ายไปด้วยแฟนเซอร์วิสสุดน่ารักของภูมิก็คือขึ้นไปโซโล่กลองเองแล้วก็ลาจากเวทีไป น่ารักจริง รู้สึกเต็มอิ่มแบบบอกไม่ถูกเลย 

ต่อกันที่ Peachy! หนุ่มวาไรตี้ป็อปจากอเมริกาขึ้นเวทีทักทายคนดูแบบเขิน ด้วยการพูดว่า ‘Hi’ ง่าย หลังจากนั้นเสียงดนตรีก็เริ่มเล่น Peachy! นั่งลงร้องเพลงหน้าเวทีดึงอารมณ์คนดู ก่อนที่จะลุกขึ้นมากระโดดไปพร้อมกับจังหวะเพลงอย่างหนักหน่วง ทำให้จำมาดของหนุ่มที่เขินอายก่อนหน้านั้นไม่ได้อีกต่อไป เพลงของ Peachy! หลายเพลงเป็นแนวโลไฟฟังสบาย แต่พอเอามาแสดงกลับกลายเป็นว่าแต่ละเพลงช่างหนักหน่วงกว่าที่คิด โดยเฉพาะช่วงที่เขาหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นยิ่งทำให้โชว์น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ใครจะไปคิดว่าเด็กอายุ 18 ปีจะสามารถเอาคนดูอยู่ด้วยตัวคนเดียวบนเวที ทั้งโชว์เต็มไปด้วยความสนุกทั้งเสียงเพลงและการเอ็นเตอร์เทนจากเขา คิดไว้ว่าครั้งหน้ามาโชว์แบบ full band คงจะฟินน่าดู

Maho Rasop Festival 2019

เนื่องจากความที่เลตกันมาจากที่ต้องเบรกโชว์กลางคันเมื่อช่วงบ่าย ทำให้โชว์ของ Tontrakul ต้องมาเริ่มเอาตอนทุ่มนึง เขาคือศิลปิน multi instrumentalist พื้นบ้านอีสาน เล่นได้ทั้งพิณ โหวด แคน และในโปรเจกต์นี้เขาก็เอาดนตรีอิเล็กทรอนิก ร็อก แจ๊ส มาผสมผสานกันอย่างน่าสนใจ จำได้เลยว่าครั้งแรกที่ทีมงานฟังใจได้ไปดูเขาเล่นสดที่ Wonderfruit คือประทับใจมาก จนต้องชวนมาร่วมงาน ส่วนในงานนี้ม่วนจั๋งหนักตั้งแต่เพลงแรกที่โซโล่แคนนำมาพร้อมแอมเบียนต์ซินธิไซเซอร์ล่องลอย ยืนดูไปได้พักนึงก็ต้องวิ่งไปสัมภาษณ์ศิลปินแล้วกลับมาดูต่อตอนทุ่มสิบห้า จัดไปกับเพลง ลำตังหวาย ที่ฟังแล้วก็นึกถึง The Paradise Molam International Band ซึ่งนี่เป็นเพราะทั้งสองวงเอาเพลงพื้นบ้านอีสานมารีอะเรนจ์ใหม่นนั่นเอง ต่อด้วยเพลงสุดเนิบในชื่อ เอิ้น และอีกเพลงใหม่ Electro Khan ที่โซโล่แคนได้อย่างสวิงสวาย บวกกับไลท์ติ้งบนเวทีที่กะทำเอาตาบอด อย่างสวย แล้วยังมีเพลง โฮม แต่ในที่นี้ไม่ใช่ ‘home’ บ้าน ทว่ามันคือการมารวมตัวกันในภาษาอีสานนั่นเอง เพลงนี้ซาวด์แพงมากเด้อ มีการผสมผสานความเป็นโพสต์ร็อกเข้ามาในเพลง ต่อด้วย Strategy กับเพลงที่ใช้เปียโนเป็นตัวชูโรง ได้บรรยากาศเพลงแจ๊สสวย เข้ามา แล้วพากันไปสนุกต่อที่เพลงที่เขาชวนให้ทุกคนร้องว่า เฮ้ยย่ะ ซึ่งคนดูทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สังเกตว่ามีชาวต่างชาติหลายคนที่มารวมตัวกันในเวทีนี้ พร้อมใจกันเซิ้งท่าใหญ่ไม่แพ้ชาวไทยเจ้าบ้าน และปิดท้ายกันที่เพลง drumn n bass อีสานลำล่อง ที่เสียดายว่าซาวด์กลองเบาไปนิดสำหรับสไตล์เพลงที่ต้องเน้นเบสกับกลองแล้ว แต่โดยภาพรวมคือเป็นโชว์ที่อะเมซิ่งไทยแลนด์ ตราตรึงใจทั้งไทยเทศ หวังว่าจะมีโอกาสได้ดูเขาอีกในครั้งต่อ ไปนะ

กลับเข้าที่ร่มกันบ้าง มีแฟนมารอดู Junoflo แร็ปเปอร์ Korean American คนนี้กันเยอะมาก เป็นปีของซีนฮิปฮอปจริง และเราเป็นหนึ่งในนั้น ดีกรีความฮอตเลื่องลือ เพลงก็ดีมากไม่แพ้กัน วันนี้ถึงเวลาได้เห็นตัวเป็น ก็เรียกได้ว่าวิ่งหน้าตั้งไปเกาะขอบเวทีเลยแหละจ้ะ พอจูโน่ออกมาเสียงกรี๊ดก็กระหึ่ม ออร่าพรุ่งพรวด แร็ปประหนึ่งว่าไม่ต้องหายใจก็ได้ มีแฟนชานท์ด้วยนะว่าไม่ได้ พอเล่นไปได้สักพักก็แวะมาพูดภาษาไทยสวัสดีครับ ผมจูโน่ครับพร้อมกับเมนชั่นถึงข้าวเหนียวมะม่วง ว่าชอบมาก ในขณะที่เล่นคนก็ยังทะยอยเข้ามากันเรื่อย จนล้น แล้วความ turnt ก็ยกระดับขึ้นเรื่อย มีการเอาแซมพ์เพลง Drake มาเล่นด้วย จนเพลงสุดท้ายเราต้องตะลึงไปกับโฟลว์ที่หาตัวจับได้ยากของเขา มันคล่องแคล่วล่องไหลสมกับชื่อ aka ของเขาจริง โอย

LITE ก็มาสานต่อความมันในคำรามด้วย Deep Layer มาถึงก็ควบจังหวะกลอง กีตาร์สองตัวและเบสได้ดุเดือดมาก math เข้ม ๆ ที่ตกตะกอนกลายเป็นร็อกทึ่รุนแรง มีจังหวะให้กีตาร์กรีดกราย เฉิดฉายด้วยคอร์ดแน่น ๆ เท่ ๆ ขยี้เมโลดี้ให้ร้อนเร้า หยุดหนึ่งจังหวะแล้วฟาดซ้ำด้วยไลน์กีตาร์คม ๆ Human Gift กีตาร์ตัวหนึ่งก็อวดลวดลายแบบดุดัน กีตาร์อีกตัวเบสก็คอยตบแต่งให้กลายเป็น math rock เท่ ๆ จังหวะกลองที่เดือดพล่าน ลีลาการเล่นกีตาร์และเบสของทั้งสามก็เหลือร้ายมาก ยิ่งทำให้อยากโยกหัวตาม บดๆ คีย์ตอนท้ายคือเท่ชิปหายไปเลย Image Game ลูปซินธ์เท่ขึ้นมาพร้อมเสียงสะกิดกีตาร์เบา ๆ ให้ครางไปกับมัน ก่อนจะร่ายมนต์ให้กลายเป็นไลน์กีตาร์ที่ดุร้ายมาก ตบได้มันแล้วกระชากเข้าฮุกที่เมโลดี้ทุกตัวเดือดมาก ผสมกับคีย์ซินธ์แน่น ๆ กระแทกหู แล้วชู math เทพ ๆ ที่แบ่งห้องได้เหวอและน่าตื่นเต้นมาก ประทับใจทุกห้องที่พวกเข้าเติมเต็มสูตรลับทางดนตรีลงไป มีผ่อนอารมณ์ลงหน่อยก่อนจะไต่กลับขึ้นไปให้พีคกว่าเดิม เขาก็พูดคุยแนะนำตัวเองนิดหน่อย Temple กีตาร์สุดสะดิ้งขึ้นมา เป็นจังหวะนุ่ม ๆ เท่ ๆ ก่อนจะสลับไปอีกสไตล์ด้วยการหยุดจังหวะหนึ่ง ร่ายมนต์อยู่แป๊ปนึงก็หยุด แล้วฟาดด้วยริฟกีตาร์คม ๆ อีกครั้ง ชิ้นอื่นค่อย ๆ เข้ามาประกอบเป็นจังหวะดนตรีที่เหนือความคาดหมายมาก ตบทุกสายให้คำรามได้อย่างบ้าคลั่ง Zone 3 โชว์ความ math ไปหลายดอกตั้งแต่เริ่ม เหมือนกีตาร์มีชีวิตและกำลังร้องเพลงด้วยตัวเอง ดรอปสวย ๆ หนึ่งทีจนทุกคนต้องปรบมือให้ แล้วฟาดกลองส่งตาม ขยี้กีตาร์ขึ้นมา ทั้งสี่เสียงประสานกันจนเป็นภาษาที่เหนือจินตนาการ ถึงใจคนฟังมาก ๆ จบเพลงแล้วนักร้อองนำก็พูดว่า “น่ารัก” ขึ้นมา เรียกเสียงโฮ่ร้องของทุกคนได้ ต่อกันเลยกับ One Last Mile ก็ดรอปจังหวะลงหน่อย เหมือนจับเมโลดี้เต้นรำ มีท่วงท่าจังหวะหยุด ขึ้นหรือลงที่ชดช้อยงดงามมาก จังหวะการหยุดแล้วเบิ้ลจังหวะเข้าไปคือเท่มาก แต่บทจะสาดกีตาร์อันบ้าคลั่งก็ใส่มาเต็มเหนี่ยวไม่ยั้ง คนดูได้แต่ซี๊ดอู้ยกันทั้งเวที ก่อนจะเอาซินธ์เข้าเติมในพายุอันบ้าคลั่งของกีตาร์ ที่ทวีความรุนแรงและเท่ขึ้นเรื่อย ๆ เลย แล้วทำลายล้างทุกซาวด์ที่ขวางหน้าเหลือแต่ความมันไปเลย D กดคอร์ดได้บันเทิงมาก มีเบสกับกีตาร์อีกตัวคอยซัพความมันให้อยู่ข้างหลัง เติมให้จังหวะมันโจ๊ะขึ้นไปอีก ฮุกคือเติมดีกรีความเท่ลงไปอีกให้จังหวะมันซับซ้อนขึ้น ค่อยปล่อยพลังกันเต็มเหนี่ยวกะเอาให้คนดูจมเมโลดี้ตายไปเลย ชวนคนดูปรบมือแล้วบรรเลงกีตาร์หวาน ๆ ขึ้นมาลูบหลังหลังจากโดนอัดพลังเข้าไปเยอะมาก และสลายหายไป คนดูก็ตายใจ เลยโดนซัดกลองเข้ามาอีกลูก แล้วบรรเลงกีตาร์หวาน ๆ ไปกับทฤษฎีอันดุดันไปพร้อมกัน แถมยังขยี้คอร์ดขึ้นอีกระดับ เรียกเสียงกรี๊ดจากทุกคนถล่มทลาย Double ประกอบซาวด์ที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมาได้ชวนตะลึงมาก สลับจังหวะตอนกลางเพลงให้กลายเป็น progessive เท่สุดๆ ก่อนจะตบกีตาร์ให้กลับมาเป็น math ด้วยจังหวะที่ดุดันมาก ทำท่าจะจบๆ แต่ก็ซัดต่ออีกสูตรหนึ่งแถมลากความมันให้ทะลุขีดความมันไปเลย Bond ฟิงเกอร์สไตล์โคตรรื่นหู แล้วเติมเข้ามาทีละชิ้นจนกลายเป็นดนตรีที่สดชื่นมาก แต่ฉาบไว้ด้วยความเท่โคตร ฟังแล้วต้องโยกหัวตาม อยู่ดี ๆ มือกลองก็ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้เรียกเสียงกรี๊ดจากทุกคนทันที ก่อนจะโดดลงไปฟาดกลองเข้าท่อนฮุกงาม ๆ เสียงกีตาร์มันซะจนอยากขยับร่างกายทุกส่วนเลย ท่อนฮุกก็สาดเมโลดี้มาแบบบ้าคลั่งมาก Infinite Mirror ก็ตามมาทันทีแบบไม่ให้พัก กีตาร์แม่งกระตุ้นสัญชาตญาณการเต้นมาก ยิ่งท่อนรัวกลองกับเบสนี่คือชวนทุกคนโดดทันทีที่เข้าท่อนฮุก กีตาร์สองตัวก็ขับเคี่ยวกันอย่างบ้าคลั่งมาก ก่อนจะดรอปด้วยจังหวะกีตาร์น่ารักๆ แล้วขยี้จนกีตาร์กรีดร้องลั่นเวทีลากเข้าจังหวะมันๆ เข้มๆ อีกรอบ เห็นทั้งสี่คนใช้พลังชีวิตอย่างสุดตัวออกมาเป็นดนตรีขนาดนี้ คนดูก็บิดตัวตามกันหมด Contemporary D ก็แผลงฤทธิ์กันเต็มที่ การเข้าออกของกีตาร์เบสจนเกิดเป็น math นี่เหนือมนุษย์ไปแล้ว แล้วบรรเลงกันเหมือนภัยพิบัติอีกรอบ จนถึงท่อนดรอปใต้แสงน้ำเงินที่กีตาร์ค่อย ๆ สร้างบรรยากาศอันลึกลับขึ้นมา แล้วสาดความมันเข้าอย่างภัยพิบัติในท่อนฮุก ที่กีตาร์ก็แผดเสียงสุดคอ มีเบสคอยกรีดร้องอยู่ข้าง ๆ ตามจังหวะนรกของกลองที่กลายเป็นการเต้นรำกลางกองไฟที่รุมร้อน กีตาร์ทั้งสองก็ประคองกันไปในจังหวะ progessive ที่ดุเดือดคมคายมาก ไม่มีช่องให้เราพักหายใจเลย ต้องโยกหัวตามไปตลอดทั้งเพลง ตอนท้ายยังรัวกลองส่งพลังเฮือกสุดท้ายให้ทุกคน ว่า LITE ไม่ธรรมดาเลยจริง

จนได้เวลาที่หลายคนรอคอย กับวงดนตรีที่โตมาด้วยกันอย่าง The Horrors กับโชว์แรกในประเทศไทยของพวกเขา ซึ่งเป็น exclusive show ที่เดียวในเอเชียด้วย เรียกว่าจีบกันอ้อนกันมานาน ในที่สุดก็ได้ดูละ ฮือ เอ้า มา ทันทีที่ไฟวาบขึ้นบนเวที การปรากฏตัวของวงดนตรีในชุดสีดำ พร้อมกับเสียงกรีดร้องต้อนรับจากแฟนเพลง ทำให้พวกเขาเปิดโชว์กันด้วยเพลงเท่สุดดุจาก Primary Colours ตามด้วย Three Decades และอีกเพลงที่สุดจะบริตใน Who Can Say กับงานจากชุดสองอีกเช่นกันคือ Scarlet Fields และงานสุดเท่ I Can’t Control Myself ให้ได้โยกกันแบบหน่วง เรียกว่าเล่นเกือบหมดยุคแรก ขนแรร์ มาเล่นทั้งนั้น แล้วก็อัดบีตซาวด์อนาล็อก อินดัสเทรียลใส่เรากันใน Machine จากอัลบั้มล่าสุด ก่อนจะกลับไปในชุด Skying ที่คุ้นเคยกันดีในเพลงสุดล่องลอย (แค่ในช่วงแรก) Endless Blue เพราะทันทีที่เข้าพาร์ตกีตาร์กลองก็ทำเอาโดดเป็นวัยรุ่นโหยงเหยงเลย จากนั้นฟาริส ฟรอนต์แมนก็บอกว่าจะเล่นเพลงต่อไปนี้ให้กับสองสาวที่บินตรงมาจากออสเตรเลียเพื่อพวกเขากับเพลง Sea Within A Sea และก็เป็นคิวของอีกเพลงฮิต Still Life ที่เสียงซินธิไซเซอร์สุดเป็นเอกลักษณ์ได้พาเราวนกลับไปวันเก่า ในทันที แล้วก็ได้เวลาดึงกลับมาในยุคล่าสุดของพวกเขาอีกครั้งกับ Ghose เพลงที่มีบีตหนึบ ออกหม่นชวนนึกถึงทริปฮอปแต่มีซาวด์ที่ร่วมสมัยหน่อย และเท่สุดไปเล้ยกับกีตาร์โซโล่แหบห้าว และปิดท้ายกันไปที่อีกเพลงดัง Something to Remember Me By ให้ทุกคนได้โดดกันยับ พร้อมกับไฟสุดตระการตาทำให้โชว์นี้น่าจดจำไปอีกนาน

ส่วนทางด้าน Yoklor Stage by Vespa ตอนนี้ก็มีบีตเมคเกอร์จากฝรั่งเศส Onra กำลังโชว์อยู่ ต้องบอกว่าเพลงของเขาสร้างเสียงฮือฮาให้กับคลับเบอร์มาก กับการมิกซ์เอาเพลงไทยเดิม เพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง มาผสมกับบีตชิลฮอป การวนลูปเป็น chopped and screwed ในแต่ละเพลงมันทำเอาเราต้องเลื้อยตามไปเสียทุกที แล้วเพลงพวก ลูกสาวกำนัน ก็ชวนหัวจนเราเผลอยิ้มออกมา พวกท่อนที่ร้องเอื้อน ร้องโอ๊ย ต่าง ในเพลงก็เอามาใช้เป็นเอเลเมนต์ในการมิกซ์เสียงได้สนุกสุด แต่อยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องวิ่งกลับไปที่เวทีมโหฬารเพื่อชมอีกวงสุดบ้าที่อยากจะดูให้ได้ในชีวิตสักครั้ง

King Gizzard & the Lizard Wizard รอเราอยู่แล้ว พวกเขาเริ่มบรรเลงกันแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ซึ่งความโหดของเพลงอัลบั้มใหม่มันก็ชวนให้อารมณ์พุ่งพล่านเสียเหลือเกิน โอ้ย มาอีผี เปิดด้วยเมดเลย์จากชุด I’m in Your Mind Fuzz เรียงกันไปเลย 4 แทร็คแรกตั้งแต่ I’m in Your Mind, I’m Not in Your Mind, Cellophane, I’m in Your Mind Fuzz เหมือนพี่กวนอะ แล้วตั้งแต่เพลงแรกคนดูก็จัดมอชพิตกันเลย ตามด้วยเพลงจากจาก Polygondwanaland คือ Crumbling Castle และ The Fourth Colour ก็กลับมาที่อัลบั้มล่าสุดที่เพิ่งปล่อยไปกับเมทัลดุ Venusian 2 และ Mars for the Rich ก่อนจะให้พักกับความยึกยักร็อกแอนด์โรลจาก The Great Chain of Being กับเพลงน่ารัก (?) Plastic Boogie ก็น่ารักได้แปปเดียวเท่านั้นแหละเพราะ Organ Farmer ก็รัวกระเดื่องกลอง กีตาร์บ้าคลั่งให้คนต้องมอชกันไปรอบ นี่ก็เฮดแบงกันหัวจะหลุด คนข้างหลังเราเริ่มถอดเสื้อแล้วดิ้นกระจายกันเป็นกลุ่มหย่อม ไม่ทันให้ได้พักหายใจพวกเขาก็เล่น Hell ถึงกับต้องเอายาดมมาเสียบจมูก ถามจริง เล่นไม่หยุดขนาดนี้ พี่เหนื่อยบ้างมั้ย!!! หนูเหนื่อยแร้ววววววว แหม พอเห็นเป็นวงสุดท้ายเวทีใหญ่ก็ซัดแหลกไม่พักคุยกับคนดูเลยโว้ย ต่อด้วย Digital Black และ Vomit Coffin จากชุด Murder of the Universe ให้ได้เมาได้ไซค์กันหน่อย และร่นไปอีกหนึ่งอัลบั้มกับ Robot Stop, Gamma Knife และ People-Vultures จาก Nonagon Infinity โอ้ย เป็นวงเพลงเยอะมันก็ต้องเล่นหลายอัลบั้มหน่อยนะ ขอ Paper Mâché Dream Balloon ให้พักหายใจซักนิดวะใน The Bitter Boogie ก่อนจะไปเดือดดาลแบบขั้นสุดใน Self-Immolate เสียงกีตาร์แผดขึ้นมาในอินโทร ตามด้วยกลองเดือดดาลผีบ้าทำให้เราจำต้องสะบัดหัวแรงขึ้น แล้วปล่อยพลังที่เหลือทั้งหมดไปกับแก๊งคนบ้าคนขยันแก๊งนี้ อว้อยยยยย สนุกสุด ไปเล้ยยยยย (ไม่รู้ว่าชาวร็อกแถวหน้าได้แผลกันไปกี่แผลแล้ว เทคแคร์นะทุกคน)

ใครไม่ใช่สายซิ่งหรือเหนื่อยจากเฮดไลเนอร์แล้ว ก็มาเจอความฟินของเวทีคำรามได้กับ the fin. ที่เปิดด้วย Chains ที่ครึ่งแรกของเพลงหวานเยิ้มด้วยซาวด์ละมุน ๆ ก่อนจะเติมความร็อกนุ่ม ๆ ลงไปในฮุกสองกับสาม สร้างบรรยากาศเคลิ้ม ๆ ได้ดีจริง Pale Blue ที่โฉบเฉี่ยวด้วยลูปซินธ์หอมหวาน กีตาร์เบสกลองก็สร้างจังหวะให้กลมกล่อมไปด้วยกัน ท่อนสองที่ใช้กลองไฟฟ้าไต่ระดับอารมณ์ก็เข้ากับเสียงร้องเท่ ๆ มาก ท่อนโซโล่ท้ายเพลงที่เค้นกีตาร์ออกมาเป็นซาวด์พุ่ง ๆ แต่นุ่มนวลออกมา Through The Deep เสียงร้องก้องกังวานเข้ากับเสียงซินธ์มาก ๆ ฮุกที่หวาบหวามทำให้ท่อนเชื่อมสดใสไปด้วย หล่อเลี้ยงดนตรีให้รื่นหูไปทั้งเพลง Misty Forest จังหวะกลองสนุก ๆ ขึ้นมาตามกีตาร์น่ารักๆ ระบายดนตรีให้สวยงามด้วยเสียงร้องของนักร้องนำ ท่อนฮุกที่กังวานก็ได้ใจคนดูไปหมดทั้งหน้าเวที Missing จังหวะสนุก ๆ แผ่ขยายความนุ่มนวลไปทั้งทั้งเวที ฮุกก็อ่อนโยนลงไปอีกด้วยลูปซินธ์แหลม ๆ ที่ลงตัวกับกีตาร์เบสกลองมาก แต่ยังใส่ความเท่ลงไปได้ในท่อนโซโล่ พร้อมท่อนสร้อยที่ทุกคนอยากร้องตาม Afterglow เสียงออแกนสังเคราะห์โหยหวนขึ้นมา กีตาร์เบากลองค่อยๆ ตบแต่งมันให้กลายเป็นบรรยากาศอันอบอุ่น แล้วกีตาร์ก็แผดเสียงเพื่อปลดปล่อยความในใจออกมาหมดทุกคอร์ด แล้วขยี้ให้มันฟุ้งกระจายกลายเป็นซาวด์อันรุนแรง คลี่คลายตัวเองออกมาอย่างดุดันเลยทีเดียว Come Futher ค่อย ๆ ใช้ซินธ์ไต่ระดับอารมณ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางเครื่องดนตรีหวาน ๆ ทุกชิ้น พอเสียงร้องฟุ้ง ๆ ขึ้นมาคือต้องโยกหัวตามทันที เป็นสไตล์ที่งดงามไม่เหมือนใครจริงเพลงนี้ Shedding ซาวด์หวาน ๆ น่าโยกย้ายจริง กลองสร้างจังหวะแล้วร้อยเรียงทุกเสียงเข้าไปให้นุ่มนวลไปหมด กีตาร์กรีดกรายแผ่ซาวด์หวาน ๆ ไปทั่วเลย กับเสียงนักร้องนำที่ล้อไปกับเพลงได้ลงตัวมาก Illumination ลากเสียงเข้ามาแล้วใช้กีตาร์รับลูกอย่างงดงาม แล้วพาทุกคนลอยหายไปท่ามกลางดวงดาวกัน ท่อนฮุกที่พาทุกคนเหาะไปไกลอย่างสนุกสนาน เสียงกีตาร์เหมือนกลิ่นหอมที่ลอยมาปะทะหน้าเราระหว่างทาง ขับกล่อมด้วยเสียงร้องของนักร้องนำได้อบอุ่นมาก ท่อนฮุกที่ใช้ซินธ์ระบายท้องฟ้าด้วยสวยงามมาก แต่ท่อนโซโล่นี่เหมือนพาซิ่งเลย อัดความรู้สึกเข้ามาผ่านดนตรีได้มันสุด ๆ เป็นความรู้สึกที่ถ้าไม่ได้ดูสดจะไม่เข้าใจเลย ว่าพวกเขาเจ๋งแค่ไหน Days With Uncertainty เสียงออแกนนุ่ม ๆ กับเครื่องเคาะเท่ ๆ พาทุกคนโยกตามกันหมด ท่อนเชื่อมก็หวานหยาดเยิ้มไปเลย เขาเรียก Bangkok แล้วชวนปรบมือตาม ทุกคนก็เคลิ้มทำตามกันหมอ แถมทิ้งท้ายด้วยจังหวะฟิน ๆ ไปอีก Night Time จังหวะสนุกๆ ขึ้นมาทุกคนก็โยกตัวตามทันที ซินธ์หมุนวนไปมาจนเกิดเป็นลูปหวาน ๆ ขึ้นมา แถมหยุดเต้นไม่ได้ด้วย Gravity ลูบไล้เราด้วยซินธ์นิดหน่อย ก่อนจะสาดซาวด์หวาน ๆ จากกีตาร์ใส่เรา ท่อนฮุกที่ฉุดทุกคนลงไปอยู่ภวังค์ชั่วครู่ แล้วตบด้วยจังหวะเท่ ๆ ซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะปาดเราด้วยดนตรีนุ่ม ๆ อีกที ฮุกสองก็คร่ำครวญได้สุดพลัง ดนตรีก็ขยับความมันขึ้นไปอีกระดับ Faded Light กลองกับซินธ์ประกอบความมันขึ้นมาช้า ๆ แล้วเติมความร็อกเข้าไปทีละน้อย ๆ ไต่อารมณ์ความมันขึ้นไปเรื่อย ๆ ท่อนหลังก็ปล่อยพลังกันสุด ๆ ถึงขนาดโดดดีดกีตาร์เลยทีเดียว คนดูหรอ ก็เต้นยับสิครับโผม แล้วปล่อยซาวด์ละมุน ๆ ออกไปด้วยในตอนท้าย Glowing จังหวะกับซินธ์ที่ล้อกันไปได้ละมุนหู ชวนโยกเบา ๆ ค่อย ๆ พาเราดำดึ่งลฃไปกับซาวด์ที่อ่อนโยน ลากเสียงซินธ์ไปยาวนานเหมือนไม่อยากให้คืนนี้จบเลย

ยัง ยังไม่หมดเท่านี้ เรามีโอกาสวิ่งกลับไปที่ Yoklor Stage by Vespa เพื่อพบกับโชว์สุดท้ายของวัน นั่นคือ Adriaan Van de Velde หรือ Pomrad ศิลปินอิเล็กทรอนิกจากเบลเยียม ที่ชวนแบ็กอัพซินธิไซเซอร์และกลองมาร่วมแจมความกรูฟ ความเด้ง ความหนึบ ในเพลงฟังก์จากยุค 80s ที่ได้อิทธิพลจากดนตรีฮิปฮอป 90s และยังรวมเอาเฮาส์ เบส ดั๊บ และแทร็ปมารวมไว้ในเพลงของเขาด้วย แม้โชว์จะเริ่มค่อนข้างเลตแล้วแต่ก็ยังมีผู้ชมรอดูเขาอยู่ไม่น้อยเลย เขาขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับแร็ปในเพลงแรก ก่อนจะต่อกันที่เพลงแบบบิ๊กบีต และสาธยายความเริงรมย์ผ่านเพลงฟังก์ให้ได้เต้นยุกยิกตลอดคืน บางแทร็คก็มีท่อนดรอป หรือเพลงที่เน้นเบสหนัก ให้ได้ย่ำ ได้เลื้อยกันจนไม่เหลือมาดกันอีกต่อไป เพราะแค่ท่าโยกพี่เขาก็ชวนเต้นแบบสุด แล้ว โอ้ย สนุกมาก รู้สึกได้เลยว่าตื่นมาอีกวันจะต้องปวดร่างแน่นอน อดใจรออีกนิดสำหรับรีวิววันที่สองนะทุกโค้นนนน อย่าเพิ่งตาแฉะMaho Rasop Festival 2019

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้