Singha Light Live Series 3.2 – Mac DeMarco อีกโชว์สุดมัน ที่สุดของการแรนด้อม
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Have You Heard?
1 สิงหาคม 2561
หลังจากที่ Have You Heard? ได้พา Mac DeMarco มาให้ชาวไทยได้ทำความรู้จักแบบใกล้ชิดที่ Cosmic Cafe (ปัจจุบันคือ NOMA RCA) กันไปแล้วในปี 2013 ปี 2018 นี้ พวกเขาก็ได้ชวนศิลปินแคนาเดียนอารมณ์ดีกลับมาอีกครั้งใน Singha Light Live Series 3.2 – Mac DeMarco กับสถานที่ที่ใหญ่กว่าเดิม คนดูเยอะกว่าเดิม เพราะจากหลายปีที่ผ่านมา ผลงานต่าง ๆ ที่แม็คปล่อยมาให้เราได้ฟังก็พิสูจน์แล้วว่าเขาคือผู้บุกเบิกดนตรี slacker rock จนกลายเป็นที่นิยมสุด ๆ ในหมู่นักดนตรีรุ่นหลัง และแพร่กระจายความชื่นชอบในหมู่คนฟังได้ในเวลารวดเร็ว
เราไปถึงที่ Voice Space ก่อนเวลาที่วงแรกจะเล่นพักหนึ่ง ก็เลยได้เดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ งานและพบว่าด้านหน้าฮอลมีกิจกรรม interactive ให้เราได้เล่นกัน คือให้เราไปยืนตรงจุดที่เขากำหนดแล้วจะมีโปรเจกเตอร์คอย track การเคลื่อนไหวของเรา ซึ่งมันจะไป sync กับภาพบนจอที่เป็นหน้าพี่แม็คกับลายเส้น doodle แบบในโปสเตอร์ สมมติเราขยับแขน แขนพี่แม็คในจอก็จะขยับตามด้วย เด๋อมาก ชอบบบบ แล้วก็มีโปสเตอร์ริโซกราฟกับเสื้อทัวร์ของ Mac DeMarco มาขาย ซึ่งเป็นรูปทีมงานกำลังหลับในอิริยาบถต่าง ๆ กวนมาก มีลายนึงหน้าคุ้นเหลือเกิน พอดูจากชื่อและเพ่งหน้าดี ๆ ก็พบว่านั่นคือโกกิซังจาก Polyvinyl Records Asia ที่มักจะพาศิลปินเอเชียนมาเล่นที่บ้านเราบ่อย ๆ นั่นเอง สงสาร โดนแกล้ง ตอนนี้คงดังแล้วจากเสื้อพี่แม็ค
พอเวลาสองทุ่มครึ่งตามกำหนดการ ทว่าผู้ชมค่อนข้างบางตา แต่เราจะไม่ยอมพลาดโชว์ของวงนี้แน่ ๆ Gorn Clw ขึ้นมาประจำที่บนเวทีได้พักนึงแล้ว เริ่มกันที่บีตเบา ๆ ช้า ๆ ของเพลงใหม่ S-B-E (saddest.body.ever) ที่เล่นไปประมาณครึ่งเพลงได้ สมาชิกดูมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อยคล้ายว่ากำลังเริ่มปรับจูนกันอยู่ พอจบเพลงวงก็พูดแซวกันบนเวทีอย่างสนุกสนาน มีการเล่นมุขว่า ‘Who’s Mac? McDonald?’ ก็ขำแห้งกันไป เลยเลือกจะอัพบีตขึ้นมาในเพลงต่อไปกับ Honey I’m Lonely เพลงเท่ ๆ มีจังหวะ รวมถึงซาวด์กีตาร์ฟุ้ง ๆ ทำให้เต้นกับเพลงนี้ได้เพลิน ๆ วิชวลด้านหลังยิ่งช่วยทำให้บรรยากาศของโชว์เข้าที่เข้าทางมากขึ้น แล้วความดีงามคือ ไม่แน่ใจว่าอะเรนจ์ให้เล่นดึงท่อนหลังให้ยาวขึ้นหรือเปล่าแต่สมาชิกก็ได้โชว์ศักยภาพออกมาเต็มที่ เป็นเพลงที่เรียบเรียงมาได้เท่จริง ๆ
จากนั้น กล้วย มือเบสก็กำลังจะบอกชื่อของเพลงต่อไปที่จะเล่น แต่กลับเล่นอินโทรของเพลง The Less I Know The Better ของ Tame Impala ขึ้นมาแทน เรียกเสียงฮากันไป แล้วจึงจัดเพลงที่จะเล่นจริง ๆ ให้ได้ฟังกัน เป็นเพลงทำให้เรารู้จักกับพวกเขาเป็นครั้งแรกนั่นคือ Freaky Guy ซาวด์เย็น ๆ ของกีตาร์ และบีตฮิปฮอป รวมไปถึงไลน์เบสสุดเท่ทำให้เราโยกตามโดยอัตโนมัติ ตอนนี้วงก็เริ่มแนะนำสมาชิกแต่ละคนก่อนเข้าเพลง Hit Me (Ride) เพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาเมื่อเดือนก่อน เป็นเพลงที่มีเมโลดี้สวยงามและกล้าที่จะให้มีอินโทรยาวนานแบบที่เพลงสมัยนี้ไม่ค่อยทำกันแล้ว แน่นอนว่าพวกเขายังขยี้ดนตรีช่วงท้ายให้เราได้โยกกันต่อ พักเบรกก่อนเพลงต่อไปก็มีการแจกเบียร์กันเกิดขึ้นด้วยการโยนลงมาจากเวที แล้วจึงปิดท้ายกันไปในเพลงเดือด ๆ ที่สีสันแต่งต่างจากเพลงก่อนหน้ามากหน่อยนั่นคือ Rush Love จากวงอิเล็กทรอนิก r&b chillwave ได้กลายมาเป็นวงร็อกแอนด์โรลไปเสียอย่างนั้น แถมเพลงนี้ก็มีท่อนให้เราร้องตามอยู่หลายช่วง แต่แล้วสมาชิกวงก็เริ่มออกลีลากันหนักหน่วง กล้วยเริ่มวิ่งพล่านไปทั่วเวที และไม่แน่ใจว่า ก่อน ฟรอนต์แมน ทำสายสะพายกีตาร์หลุดหรือเปล่า สนุกเกิ๊น แต่ก็ยังพยุงโชว์ไปได้จนจบ เป็นเพลงที่มันมากกับกีตาร์โซโล่พุ่ง ๆ และไลน์เบสหนึบหนับ กลองก็เปลี่ยนจากดรัมแพดมาใช้เป็นกลองชุด คนดูที่ตอนแรกยืนกันนิ่ง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเต้นไปกับเพลงนี้ แม้โชว์จะมีปัญหาเทคนิคประปรายแต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นโชว์แรกจากการเพิ่งกลับมาเพราะไม่ได้เล่นด้วยกันมานาน ซึ่งเรายังประทับใจอยู่นะเพราะเล่น ๆ ไปก็เริ่มอยู่ตัว กับโดยรวมแล้วเพลงของวงนี้มีความน่าสนใจ รวมถึงการแสดงของพวกเขาก็มีอะไรที่คาดไม่ถึงให้ได้ดูอยู่เรื่อย ๆ คาดว่างานต่อไปจะเริ่มคล่องมือกันแล้ว รอติดตามกันให้ดี ๆ
รอกันไม่นานนัก ประมาณสามทุ่มครึ่งวงที่สองก็ขึ้นแสดง temp. วงดนตรีอารมณ์ดีกับเพลงที่จะยิ่งทำให้เราอารมณ์ดีด้วยจังหวะทรอปิคัลป๊อปน่ารักสดใส มีจังหวะให้เต้นและร้องตามได้ในแทบทุกเพลง เปิดประเดิมกันที่ Adult Video กับเนื้อเพลงสุดจั๊กจี้ ตอนจบเพลง นิค ฟรอนต์แมนแนะนำตัวว่า ‘We’re temp. from Soi Cowboy’ เรียกไปได้หนึ่งฮา เพื่อนฝรั่งนี่ถึงกับถามว่า นี่วงเขาพูดว่าซอยคาวบอยจริง ๆ ใช่ไหม ใช่ค่ะ นี่คือวงที่นอกจากเพลงจะสนุกแล้วโชว์ยังสนุกด้วย แค่นี้ก็สามารถสร้างบรรยากาศความเพลินในโชว์กันแล้ว ต่อกันกับเพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยไปชื่อ Miss Summer ที่เป็นกีตาร์ฟังก์ ๆ และจังหวะกลองที่เท่เหลือเกิน ยังไม่รวมไปถึงท่อนฮุกที่เรียบเรียงมาได้อย่างงดงาม แอบสังเกตว่าทรัมเป็ตนี่ใส่เอฟเฟกต์กันด้วย ซึ่งสำหรับเราเพลงนี้เป็นป๊อปที่ makes pop song great again เลยล่ะ
ปรับโหมดสนุกสนานมาที่เพลงช้าหม่นเศร้ากันบ้างใน Party’s Over จากที่มองไปรอบ ๆ ตอนนี้คนเริ่มแน่นฮอลขึ้นบ้างแล้ว ตามมาด้วยเพลงใหม่ที่พวกเขายังไม่ได้ปล่อยที่ไหน ชื่อว่า Ring Ring เป็นอีกเพลงจังหวะสนุกแต่ดันเป็นเพลงบอกเลิกสาวเสียอย่างนั้น และกลับมาที่อีกเพลงโปรดของหลายคนอย่าง Moonshine ที่เราก็ได้ยินคนร้องตามกันได้เยอะเลย ก่อนจะส่งเพลงสุดท้ายคือ Motel California ที่คนก็ร้องตามกันได้เยอะมากอีกเช่นกัน ถือว่าเป็นวงที่ประสบความสำเร็จในแง่ที่มีคนฟังติดตามกันอยู่ไม่น้อย จากเพลงที่แม้เป็นภาษาอังกฤษแต่ด้วยคำที่ใช้หรือทำนองต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดการจำและร้องติดปากได้ไม่ยาก รวมถึงเพอร์ฟอร์แมนซ์ของพวกเขายังคงไว้วางใจได้เสมอ
แล้วก็เป็นเวลาที่รอคอย นี่น่าจะเป็นโชว์ที่สามของ Mac DeMarco ที่เราได้ดู จากรอบแรกที่คอสมิกเมื่อประมาณห้าปีที่แล้วที่เขายังออกอัลบั้มมาถึงแค่ชุด 2 เองมั้ง ซึ่งแค่นั้นโชว์ของพวกเขาก็สุดมาก ๆ แล้ว (ปีนขึ้นไปชั้นสองแล้วโดดลงมา ดีนะไม่เป็นอะไร) แต่ตอนนี้มีมาให้ร้องตามกันได้ถึง 5 อัลบั้มแล้ว ลุ้นมากว่าพี่แม็คจะเอาเพลงอะไรมาเล่นให้ฟังกันบ้าง ระหว่างที่เรายืนรอในฮอลก็ได้ฟังเพลงเท่ ๆ ของหลายวงทั้ง Iceage (ที่เคยมาเล่นที่บ้านเราแล้ว) กับเพลง Against The Moon เพลงโปรดของฉัน หรือ Drugdealer ที่ทำกับ Wayes Blood ในเพลง The End of Comedy และยังมี The Magnificent Moon ของ Mildlife ก็แอบวาดหวังว่า HYH จะพาวงเหล่านี้มาให้ดูกันในโอกาสหน้า
จนเพลงเริ่มเปลี่ยนฟีลจากความ lo-fi bedroom pop ต่าง ๆ มาเป็นเพลงแดนซ์ ที่หลายคนคงสังเกตว่าหลุดมาก ๆ จากเพลงพี่แม็ค ก็ได้ถึงบางอ้อเมื่อสมาชิกวงมาปรากฏตัวบนเวทีพร้อมกับเพลงเปิดตัวเป็นเพลงแดนซ์รุ่นเดอะ แบบ จะเอาตั้งแต่ต้นโชว์กันเลยใช่มั้ย ยังไม่ทันเล่นเพลงอะไรพี่แม็คก็เริ่มแนะนำตัวและแกล้งสมาชิกคนอื่น ๆ บนเวทีสุดน่ารักที่มีแป้นบาสสามจุดอยู่ข้างหลัง ประเดิมกันที่ On The Level เพลงสุดย้วยจากอัลบั้มล่าสุด This Old Dog ที่แฟนเพลงสามารถร้องตามได้ตั้งแต่เริ่มเพลง อันที่จริงเสียงกรี๊ดนี่มาตั้งแต่อินโทรด้วยซ้ำ พอจบเพลงก็ตามติด ๆ ด้วยอีกเพลงฮิต Salad Days จากอัลบั้มชื่อเดียวกัน ก่อนขึ้นเพลงก็นับ 1, 2, 1 2 3 ซึ่งคนดูก็ช่วยตะโกนนับไปด้วย ตล๊ก แล้วท่อน ล้าลัลลาลัลลา ก็ยังคงได้รับความร่วมมือจากผู้ชมในการช่วยร้องเป็นอย่างดี จบเพลง เหมือนพี่แม็คเห็นคนชูป้ายว่า ‘From Hamilton’ แล้วพี่แม็คก็ถามว่า “You’re from Hamilton? What the fuck” ออกไมค์ ลั่นเฉยเลยพี่ แล้วความสนุกก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นเพลงเศร้า ๆ แต่จังหวะยังโยกได้อยู่จากชุด Another One ในเพลง No Other Heart ตอนนั้นกรี๊ดแตกมากแม้เสียงจะไม่มีเพราะนี่คือเพลงที่ฟังวนบ่อยมากในช่วงนึง เท่านั้นยังไม่พอ ต่อกันหนัก ๆ ที่อีกเพลงสุดซึมจากชุดล่าสุด For The First Time แต่ก่อนเพลงพี่แกดันพูดว่า ‘spicy mama’ อยู่หลายรอบ คือเป็นอะร้ายยยยย
ก่อนขึ้นเพลงต่อไปก็นับ 1, 2, 1 2 3 กันอีกรอบ จึงเป็น The Stars Keep On Calling My Name เพลงจังหวะน่ารักจากชุด 2 โชว์ของพี่แม็คสนุกจากความคาดเดาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ยิ่งสนุกขึ้นไปอีกจากทีมเวิร์กของแฟนคลับในค่ำคืนนี้ จากนั้นก็เป็นอีกเพลงจากชุดเดียวกัน Cooking Up Something Good เรียกว่าน่าจะเป็นอัลบั้มที่เพลงของเขาดังอยู่หลายเพลงมาก กลับมาที่เพลงน่ารักจากชุดล่าสุดกับ My Old Man ที่พอจบเพลงก็พูดขึ้นมาว่า ‘I feel so damn good’ อยากจะตะโกนกลับไปว่า me too, Mac! ตามด้วยอีกเพลงฮิตเพลงโปรดของหลายคนนั่นคือ Ode to Viceroy จากชุด 2
แล้วก็ถึงเวลาเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างที่เพลง One More Love Song จากชุดล่าสุดที่ถูกอะเรนจ์ใหม่กลายเป็นเพลงบรรเลงด้วยเปียโนแทนที่จะเป็นคีย์บอร์ดซินธ์กับกีตาร์ lo-fi ในเพลง ชอบการประสานเสียงโดยพร้อมเพรียงของแฟนเพลงในเพลงนี้มาก มีการบอกให้ผู้ชมยกไฟแช็กขึ้นมาจุดประกอบบรรยากาศกันด้วย แล้วระหว่างที่เล่นไปจะจบเพลงละ อยู่ดี ๆ พี่แม็คก็หกสูง เรียกเสียงกรี๊ดไปยกใหญ่ด้วยความคาดไม่ถึง แบบ มึ้งงง เพลงช้าจะตายละยังหกสูง แล้วก็หัวเราะคลั่ง ๆ กับเพื่อนออกไมค์ ก่อนจะเล่นเพลงต่อไปเขาพูดว่า ‘นี่จะเป็นโชว์สุดท้ายของทัวร์ แต่ทัวร์ทั้งหมดมีสามโชว์’ … ฮือออออ ทำไมเป็นคนแบบนี้ กวนเกิ๊น แล้ว Joe Lent มือเบสที่ใบหน้าของเขาเคยไปปรากฏอยู่บนป้ายบิลบอร์ดยักษ์เพื่อโปรโมตอัลบั้มล่าสุด (โดนพี่แม็คแกล้ง) ก็บอกว่าจบจากอันนี้จะมี after party ซึ่งระหว่างนั้นเราก็ได้ยินคนดูบางส่วนร้องตะโกนเชียร์เป็นจังหวะ แล้วแม็คก็บอกว่า โจจะอยู่ที่นี่ต่ออีกประมาณ 2 วัน ถ้าใครอยากไป after party ก็ไปจอยกับเขาได้
แล้วโจก็เริ่มร่ายยาวประกอบเสียงบรรเลงเปียโนเป็นแบ็กกราวด์ จับใจความได้ว่า ”ก็ไม่ได้จะมีช่วงเวลาพิเศษบ่อย ๆ ในชีวิตที่ได้ไปหลายที่รอบโลก ก็อยากมองหาเพื่อนใหม่ อันที่จริงผมเคยมากรุงเทพ ฯ เมื่อสามสี่ปีก่อน แต่ก็อยากสัมผัสรสชาติของคนท้องถิ่นจริง ๆ แล้วเมื่อวานก็ได้กินอาหารไทยเยอะมาก กุ้งทอดกระเทียม น้ำพริก อร่อยมาก แล้วจริง ๆ แม่หลอกว่าจะมาหาที่ไทย แต่ก็ไม่มา ดังนั้น ผมจะอยู่ที่นี่ต่อคนเดียวอีกสักสองวัน แล้วก็จะมี after party ไม่รู้ว่าจะอยู่ไหนแต่ฟรีนะ ตามมาเลย เข้ามาทักกันได้ เบอร์โทรของผมคือ 12132596052 หรือลองตามใน instagram ได้ อยากจะมาเจอ มาแฮงเอาต์กัน อย่าได้เขินครับ ติดต่อมาเลย ผมชื่อโจครับ” ซึ่งพอโจพูดจบก็ได้เสียงกรี๊ดปนเสียงฮาจากแฟน ๆ นี่คือขั้นสุดของไลฟ์โชว์แล้วจริง ๆ มาเป็นทอล์กโชว์เลยโว้ย ส่วนพี่แม็คก็ได้ไมค์คืนแล้วกลับมาประจำที่พร้อมกับพูดว่า “This—is— Thailand!!!!” ประกาศศักดาอย่างยิ่งใหญ่ไร้สติมาก พร้อมกับว้ากอีกสองรอบ ก่อนจะเล่นเพลง Freaking Out The Neightborhood กับซาวด์กีตาร์เอกลักษณ์ชวนเต้นแบบแค่ขึ้นมาคนดูก็กรี๊ดและออกสเต็ปตามกันแล้ว ว่ากันตามตรงพี่แม็คก็เอาเพลงอัลบั้ม 2 มาเล่นเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
แล้วไป ๆ มา ๆ ก็เล่นคัฟเวอร์เพลงของ Eric Clapton อย่าง Change the World แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงจะดูเหมือนเล่นไปเรื่อยแต่เลือกเล่นเพลงนี้ก็เป็นโมเมนต์ที่สะกดคนดูสุด ๆ เหมือนกันนะ ก่อนเล่นเพลงต่อไปเขาพูดว่า “I love Thailand. I love spicy food. I wish i could be here longer. I love spicy people.” แจกยาหอมกันไป แล้วพูดต่อว่าเพลงต่อไปนี้คนอยากร้องกันเยอะ แต่เขาไม่ค่อยอยากร้องเท่าไหร่ งั้นช่วยร้องกันหน่อยนะ อินโทรมาเลยค่ะกับเพลงชาติ My Kind Of Woman ที่บรรเลงแบบเชื่องช้าสะกดอารมณ์จริง ๆ นี่อาจจะเป็นช่วงที่ประทับใจที่สุดเพราะคนดูช่วยกันร้องลั่นฮอลมาก กับเพลงต่อไปเขาก็บอกว่า “ไม่ได้เล่นเพลงนี้มาสี่เดือนก่อนทัวร์ สองงานที่แล้วไปเล่นจำเนื้อไม่ได้เยอะมาก แต่งานนี้จะไม่พลาดโว้ย มาลองดู แต่ถ้ามันพัง ก็ช่างแม่ง!” ได้พี่แม็ค ได้! แล้วก็จัดเพลงช้า ๆ อย่าง Brother จากชุด Salad Days ให้ได้ฟังกัน จบจากเพลงนี้แล้วก็มีการชุลมุนกันเล็กน้อย แต่ไม่มีใครเป็นอะไรนะแค่เหมือนมีการปาเบียร์ขึ้นไปบนเวที นี่คือคอนเสิร์ตที่อะไรก็เกิดขึ้นได้จริง ๆ ค่ะ
เพลงต่อไป เกลียดตัวเองมากที่แค่เขาจิ้มซินธ์โน้ตเดียวก็รู้ว่านี่คือ Chamber of Reflection ชอบมากที่มีคนร้องอินโทร ตื๊อดือดื่อตื๊อดือดื่อ ไปพร้อมกับเราหลายคน สนุกกกก เก็บให้ครบทุกเนื้อ ทุกโน้ต เล่นไปเล่นมาอยู่ดี ๆ พี่แม็คก็ว้ากช่วงท้ายเพลง เอ้อ เอากับเขาสิ จบเพลงก็บอกว่าขอบคุณทุกคนมาก หวังว่ารอบหน้าจะได้มาอีกแบบไม่ต้องรอเกินสี่ปีแล้ว หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะพี่แม็ค แง แล้วอยู่ดี ๆ แอนดี้ก็พูดว่า “Joe’s friend, Joe’s a son, Joe’s God” แล้วพี่แม็คก็ร้องว่า “Joe is a father? You got a baby” แอนดี้ก็ปิดท้ายด้วย “We love you Joe” แล้วใส่ทำนองเพลง A Whiter Shade Of Pale ของ Procol Harum พร้อมการประสานเสียงแบบหลุดโลก ทุกอย่างแรนด้อมมากค่ะฉันตามไม่ทันแล้ว ก่อนจะปิดท้ายกันไปที่เพลง Still Together เพลงที่เขามอบให้กีกี้แฟนสาวของเขา ซึ่งเธออยู่ที่งานในคืนนี้ด้วย แต่งงมากที่เพลงนี้พี่แม็คยังจะว้ากอีกหรอ ยอมใจความเพี้ยนความสุดของพี่แล้วววว
ตอนแรกนึกว่าจะจบโชว์กันไปแล้ว แอนดี้ มือกีตาร์ก็ปั่นริฟฟ์ดุเดือด จัด Killing In The Name ของ Rage Against The Machine ให้ ยัง ยังไม่จบ ต่อด้วย Black Sabbath ในเพลง Paranoid ให้เลยค่ะ ซึ่งข้าง ๆ เราตอนนั้นมีการเบิกทางให้คนเต้นพล่าน และเกิดวงมอชพิตย่อม ๆ นี่โดนลูกหลงไปด้วยค่ะ ไม่ได้สุดแค่วง แต่คนดูเราก็สุดเหมือนกัน แล้วความคาราโอเกะของพี่ ๆ แกยังไม่จบแค่นี้ ส่งคัฟเวอร์ที่ต้องเจอแน่ ๆ อย่าง Red Hot Chili Peppers – Under The Bridge มาให้โยกกันต่อ และ Weezer เพลง Undone – The Sweater Song นำทีมโดยพี่โจคนเดิม ซึ่งตอนนี้พี่แม็คไปอยู่ข้างหลังกลองเป็นที่เรียบร้อย และตามด้วย Say It Ain’t So มาให้ได้ฟังอีก มาเมทัลแล้ว อัลเทอร์เนทิฟแล้ว อย่าหยุดค่ะ ไปต่อที่ฮิปฮอปกับ 50 Cent – In Da Club ก่อนจะเล่น Still Together reprise ให้อีกรอบจบโชว์ไปแบบงงงวยแต่ประทับใจทุกวินาทีจริง ๆ
เป็นโชว์ที่ยาวนานเกือบสองชั่วโมงกับ 15 บทเพลงของพี่แม็ค และคัฟเวอร์อีกเป็นพรวน จนมีคนให้นิยามไว้ว่า ‘เคล็ดลับของแม็คคือทำทุกที่ให้เหมือนห้องซ้อม’ ซึ่งจริงที่สุด อะไรมันจะฟรีสไตล์ แรนด้อม อยากเล่นอะไรก็เล่น แต่ขณะเดียวกันก็จัดเพลงโปรดเพลงฮิตจากทุกอัลบั้มมานำเสนอได้อย่างครบถ้วน ถึงแม้ว่าเพลงของเขาจะไม่ได้มีความหนักแน่นเดือดดาล แต่โชว์ของ Mac DeMarco ก็ยังเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดอยู่เสมอ เป็นอีกครั้งที่กลับบ้านแบบเสียงหายโดยสมบูรณ์ ดีใจที่ได้ทำหน้าที่แฟนเพลงสุดความสามารถจริง ๆ และขอบคุณ Have You Heard? ที่พาพี่แม็คกลับมาเล่นอีกครั้งในโชว์ full scale เต็มอิ่มขนาดนี้ด้วยนะ