Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

The Lucky Black Sunset คอนเสิร์ตสุดฟินที่รวมสี่วงดนตรีฝีมือจัดจ้านไว้ในงานเดียว

  • Story and photos by Montipa Virojpan and Peerapong Kaewtae

24 กุมภาพันธ์ 2561

นี่คือคอนเสิร์ตที่รวมวงดนตรีดาวรุ่งจากสี่ประเทศ ไทย ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ไว้บนเวทีเดียวกันที่งาน The Lucky Black Sunset ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา   Voice Space ที่เราคุ้นเคย แต่ในค่ำคืนนั้นกลับมาความพิเศษเกิดขึ้นมากมาย

Plastic Plastic 1

เวลาหกโมงครึ่งผ่านไปไม่กี่อึดใจ ศิลปินก็เดินฝ่าความมืดบนเวทีไปประจำเครื่องดนตรีของตัวเอง เสียงหวาน จากการกดคีย์เรียกให้ทุกคนหันมารวมกันให้รู้ว่า Plastic Plastic มาแล้วจ้า เริ่มด้วย intro น่ารัก ละลายพฤติกรรมคนดูให้เตรียมตัวสนุกไปกับโชว์ในคืนนี้ เพลงแรกอย่าง Dancing Like Crazy ก็ตามมาโดยไม่รอช้า หลังจากเคลื่อนไหวร่างกายกันเบา ให้เราตื่นตัวแล้วก็ต่อด้วยเพลง หยิบแฮมเป็นแผ่นที่หก ซึ่งเราเพิ่งสังเกตว่าไฟบนเวทีดีไซน์ออกมาได้น่ารักมาก เพราะวิ่งตามจังหวะสนุก ของเพลงไปมาสร้างบรรยากาศให้เราบันเทิงตามไปได้ มาสนุกกันต่อกับเพลง วันก่อน ที่ดนตรีชวนโยกและเสียงของน้องเพลงที่สดชื่นแล้ว พี่ป้องยังโชว์เป่าเมโลเดี้ยนน่ารัก  ทำเอาเราเคลิ้มไปตาม กัน และเพลง The Trip ที่ใช้เอากบไสไม้มาบรรเลงไปกับเมโลดี้ของเพลงได้อย่างลงตัว แถมยังมีท่อนโซโล่ทรัมเป็ตจนหูเราแทบละลาย ต่อกันด้วยเพลงบรรเลงได้ฟีลหน้าร้อนญี่ปุ่นแบบ Gardening และ Elastic ที่แจกความสดใสกันไปทั่วฮอล แถมยังโชว์ความสามารถทางด้านดนตรีของทั้งวงได้อย่างบรรเจิด ก่อนจะแนะนำสมาชิกในวงซึ่งได้ ฮ็อบ จาก Gym & Swim มาช่วยเล่นเบสให้ แต่สุดท้ายก็ต้องลากันไปด้วยเพลง วันศุกร์ ที่ส่งให้วันนี้เป็นวันที่เรามีความสุขอีกวัน แต่ไม่ท้ายสุด Plastic Plastic ก็เซอร์ไพรซ์เราด้วยอีกเพลงคือ อยากรู้ ปิดโชว์ในคืนนี้ไปได้อย่างรื่นรมย์

Sunset Rollercoaster 1

จากนั้นวงที่สองก็ขึ้นมาประจำที่บนเวที Sunset Rollercoaster จากประเทศไต้หวัน เจ้าของเพลง My Jinji ที่หลายคนต้องเคยได้ยินจากการแรนด้อมมาทางฝั่งขวาของ YouTube มาบ้าง พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นวงแนว Pacific rock ซึ่งอันที่จริงคือก็ได้อิทธิพลจากวงดนตรีซินธ์ กรูฟ โซล แจ๊ส ยุคปลาย 70s 80s มาเยอะพอสมควร เราเคยดูวงนี้เล่นสดที่ไต้หวันหนนึงและค้นพบว่าเป็นวงที่เล่นสดได้เนี้ยบและเก๋ามากวงนี้ ก็คาดหวังที่จะให้โชว์ที่ประเทศไทยครั้งนี้ประทับใจเหมือนโชว์นั้น พวกเขาเปิดตัวมาด้วย intro ซึ่งเป็น instrumental ไพเราะสว่างไสวแบบไซคีเดเลีย ซึ่งเป็นท่อนหนึ่งในเพลง Burgundy Red ที่จะเล่นในเพลงถัดไป ถือเป็นเพลงที่บูชาเพลงป๊อปรุ่นคุณแม่ได้แบบถูกยุคมาก จากนั้นก็เล่น Greedy โดดเด่นด้วยไลน์เบสหนึบหนับและแซ็กโซโฟนที่หวานหยาดเยิ้ม พอจบเพลง โกโกว๋ทักทายคนดูและบอกว่าอัลบั้มใหม่ของพวกเขาจะเสร็จแล้วและขอเล่นเพลงจากในนั้น คือ Cool of Lullaby เพลงนี้ดีงามมากกับท่อนกรูฟที่ขยี้ อย่างยาวนานทำให้เรายกเท้าเยื้องย่างแบบหยุดไม่ได้ แล้วเล่นเพลง Summum Bolum ต่อแบบ transition ติดกันแบบไร้รอยต่อ เท่มาก แล้วจึงเป็นเพลงน่ารัก ซาวด์ล่องลอยแบบ New Drug ตามด้วย Slow นีโอโซลที่แม้ตอนต้นเพลงจะดูเนือยเนิบไปบ้าง แต่ตอนหลังก็ปลุกให้เราตื่นกับการบรรเลงสาดพลังไม่ยั้งมือ ก่อนจะเล่นอีกเพลงจากอัลบั้มใหม่ Almost Mature ตั้งใจฟังเนื้อเพลงแล้วเขินมาก มีองค์ประกอบของบีตดรัมแมชชีนฟุ้ง เล่นน้อยสไตล์ minimal ambient คอยห่อหุ้มเราตลอดเพลงแล้วอัดตอนจบแบบแกรนด์ และเป็นเพลงหวาน   I Know You Know I Love You ก่อนจะส่งท้ายกันด้วยเพลงดังของเขา

Sunset Rollercoaster 2

ก่อนที่จะเริ่มเล่น โกว๋ชี้ให้คนดูดูเสื้อ May the Force be with Can Can นั่นไง ใครเอาเชื้อโอตะ BNK48 ไปแพร่ใส่โกว๋! โดยเขาบอกว่าจะเล่นเพลงนี้ให้แคนแคน และแน่นอนว่าท่อนหลังของ My Jinji ยังขยี้หนักแบบสุดลิ่มทิ่มประตูจนแฟนเพลงฟินกันไปเป็นแถบ แต่แล้วโชว์ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อโกว๋บอกว่าพวกเขาเป็นวงแบบ pregnant rock (ที่เราเข้าใจคือ baby making song เอิบ เพลงเซ็กซี่ ๆ ที่คนเปิดเวลาจะวู้ฮู้วกันน่ะ) เขาก็จะเล่นเพลงต่อไปนี้ให้เราฟัง มีใครอยากฟังไหม แน่นอนว่าทุกคนก็คาดหวังในสิ่งที่จะได้ยิน จนกระทั่ง อินโทรคุ้น เริ่มบรรเลงสิ่งที่โกว๋เคยให้สัญญากับเราที่ไทเปเมื่อปลายปีที่แล้วเกิดขึ้นจริง เมื่อพวกเขาเล่นเพลง หลิวซิงหยี่ ของบอยแบนด์ชื่อดังในอดีตอย่าง F4 ให้ได้ฟังกันสด โอ้โห ใครร้องได้นี่เช็กอายุมาก ก็ฉันเองแหละ ตะโกนสุดเสียงกว่าเพลงของวงซะอีก ฮือออออ เป็นวงที่ตลกมาก แล้วเล่นเก่งมาก ไม่เสียแรงที่ปวารนาตนเป็นแฟนคลับตั้งแต่โชว์นั้น รักกกกก

ช่วงที่พักเบรก เราก็ออกมาดื่มเบียร์ ปัสสาวะ และมีโอกาสได้แวะเวียนไปที่โต๊ะขาย merchandise ของศิลปิน พวกเขาขนของมาขายน่าจับจองมาก ทั้งเสื้อ กระเป๋าผ้า และซีดี เห็นว่าจบคอนเสิร์ตแล้วจะออกมานั่งแจกลายเซ็นกันด้วย แต่แล้วก็มีประกาศจากทีมงานว่าวงต่อไปได้ขึ้นเล่นแล้ว เราจึงรีบพุ่งตัวกลับเข้าไปในฮอลทันที

The Black Skirts 1

The Black Skirts วงดนตรีจากเกาหลีใต้เริ่มโชว์ด้วยเพลงที่เล่นในสไตล์บัลลาดแอมเบียนต์ขับกล่อมพวกเรา อย่าง That’s Not Me หรือ 아니에요 (นัน อานิเอโย) ที่ท่อนหลังได้สาดใส่ความเวิ้งว้างอันยิ่งใหญ่มายังคนดู ต่อด้วย Diamond งานสไตล์โพสต์บริตป๊อปจังหวะกลาง ให้พอโยกได้ ตามด้วยร็อกแอนด์โรลสนุก Only Son หรือ 외아들 (วิอาดึล) งานจากชุดก่อนหน้า และกลับมาที่งานจากชุดล่าสุด Team Baby ที่ชื่อ 혜야 (ฮเยยา) และตามมาติด กับซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้มที่เราประทับใจมากกับ Who Do You Love หรือ 나랑 아니면 (นารัง อานิมยอน) คอมโบด้วยเพลงฮิต Everything และ Hollywood ซึ่งสามเพลงนี้พอเล่นต่อกันแล้วกลายเป็นโมเมนต์ที่ดิ่งที่สุดสำหรับเรา แต่ก็ประทับใจสุด อีกเหมือนกัน เพราะมันเป็นสามเพลงรักที่ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้กลับให้ความรู้สึกรวดร้าวจิตใจมากกว่าจะอิ่มเอม โดยเฉพาะกับเพลงสุดท้ายในเซ็ตที่ดนตรีเล่นออกมาเป็นอิเล็กทรอนิก r&b เพลงเดียวจากทั้งหมดแต่สะเทือนใจที่สุดและเปี่ยมล้นพลังที่สุดในโชว์

The Black Skirts 2

จากนั้นจึงเล่นเพลง 1:05 ที่มาในจังหวะเร็กเก้กับโครงเพลงป๊อปฟังง่าย แล้วแถมเพลงจากอัลบั้ม 201 นั่นคือ Antifreeze อัลเทอร์เนทิฟซินธ์ที่พวกเขาไม่ได้เล่นกันบ่อย และเลือก Big Love ไว้เป็นโมเมนต์น่ารัก ให้พออิ่มใจกันในเพลงสุดท้าย กับไลน์กีตาร์ไซค์ร็อกเบา ก่อนจะส่งเข้า verse 2 เรายอมรับว่าคาดหวังกับการได้ดูวงนี้มากที่สุดในงาน เพราะมีเพลงของวงนี้หลายเพลงที่เป็นเพลงโปรด แต่พอเอาเข้าจริงแล้วการแสดงของพวกเขาถือว่าไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งยังโดนวงก่อนหน้าและวงที่เล่นทีหลังกลบพลังไปเกือบหมด ทว่าอย่างน้อยที่สุดก็ได้ฟังเพลงโปรดในโชว์แบบสด แถมเป็นเพลงที่สามารถพูดได้ว่าทำการแสดงออกมาได้ดีและน่าสนใจกว่าเพลงอื่น ในเซ็ตลิสต์

Lucky Tapes 1

คอนเสิร์ตล่วงเลยเวลามาจนถึงวงสุดท้ายแล้ว กับ Lucky Tapes วงจากญี่ปุ่นที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็จะได้ดูพวกเขาตัวเป็น แล้ว ต้องยอมรับตรงนี้ว่าเราฟังเพลงของ Lucky Tapes น้อยที่สุดในบรรดาทุกวงที่กล่าวมา แต่วงนี้ก็ทำให้เราประทับใจแบบไม่คาดหมายไปเยอะเหมือนกัน โชว์นี้ให้ความรู้สึกแบบตอนที่ได้ดู Shugo Tokumaru ยังไงยังงั้น เพียงแต่ว่าสีสันของดนตรีแจ๊สและเมโลดี้ป๊อปเพราะพริ้งจะปรากฏชัดเจนกว่าในวงนี้ เริ่มกันที่ intro เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่บรรเลงด้วยท่วงทำนองน่ารัก ก่อนจะเล่น レイディ・ブルース (Lady Blues) เพลงฟังก์ แจ๊สป๊อป กับกรูฟที่ได้กลิ่นอายญี่ปุ่นรุนแรงกับท่อนท้ายสุดร็อกจนเราเหวอ ต่อด้วย Body Temperature หรือ 体温 (Tai-on) เพลงจังหวะสนุก กับเมโลดี้ท่อนฮุกที่เพราะมากอีกแล้ว ทั้งยังแถมท่อนสวิงให้ในช่วงท้ายที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ในเพลง คือมาถูกเวลามากจนเราเผลอกรี๊ดออกมา ตามด้วย Touch! กับ Friday Night สองเพลงฟังก์น่ารักที่ทำให้เราดิ้นได้ไม่หยุด กับเพลงหลังที่ได้ความซินธ์ป๊อปเข้ามาเพิ่มสีสัน ต่อกันที่ Luxury Trap หรือ 沢な罠 (Zeitakuna Wana) กับอินโทรเปียโนแจ๊สสนุก ที่เราอยากจะแปลงร่างเป็น มีอา จากเรื่อง ‘La La Land’ กันเลยทีเดียว พอจบเพลงก็เป็นการโซโล่เปียโนในเพลง ミルク (Milk) ที่ขึ้นมาได้ขนลุกมาก สารภาพว่ายืนฟังไปยิ้มไป แถมน้ำตารื้นออกมาให้กับความเพราะของเมโลดี้ ยิ่งพอเล่นเต็มแบนด์คือตายไป่เล้ย ต่อด้วย Tokyo, Balance, Gun ตามด้วยการประสานเสียงแบบไม่มีดนตรีของสมาชิกวงทุกคนในเพลงจาก EP ล่าสุด Gravity โอ้โห วินาทีนั้นคือขนลุกแล้วก็น้ำตาไหลไปเลย คืออยากรู้ว่าต้องมีแบ็คกราวด์แบบไหนถึงสามารถคิดเมโลดี้ที่เพราะขนาดนี้ได้ แล้วพอเล่นพาร์ตดนตรีขึ้นมาก็เป็นโซลป๊อปที่โคตรเพราะ มีแอบใส่กีตาร์ร็อกไปตอนท้ายด้วย ซึ่งระหว่างโชว์วงก็ให้คนดูหยิบมือถือขึ้นมาเปิดแฟลชแล้วโบกในฮอลมืดให้สว่างสไว ฟีลดีมาก ก่อนจะเป็น シェリー (Cherry) เพลงที่มีท่อนเครื่องทองเหลืองที่อีกนิดจะเต้นสวิงกับเพลงไปแล้วเป็นเพลงสุดท้ายของช่วง แต่โชว์ยังไม่จบแค่นี้เมื่อมีอังกอร์ให้พวกเขากลับขึ้นมาเล่นอีกครั้ง หนึ่งในสมาชิกวงพูดขึ้นว่าเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่ทุกคนรู้จักอย่างแน่นอน ซึ่งเพลงนั้นก็คือออออ Koisuru Fortune Cookie นั่นเอง โดยทางวงนี่เหมือนจะเล่นกันสด ตรงนั้นไม่ได้ซ้อม แทบจะจำเนื้อร้องไม่ได้ แต่คนที่ทั้งร้องและเต้นได้กลับเป็นเหล่าแฟนเพลงที่มาดูนี่แหละค่า ก่อนจะช่วยกันเติมเต็มความสมบูรณ์ไปได้ในท่อนฮุก และกลับมาที่เพลงที่หลายคนรอคอยอย่าง Tonight! นั่นเอง มีหลายคนบ่นอุบเหมือนกันว่าอยากฟังเพลง Moon แต่พวกเขาก็ไม่ได้เล่นนะ แต่แค่นี้เราว่าก็ดีงามมาก แล้วสำหรับวงที่เราไม่ได้รู้จักหรือฟังเพลงของพวกเขาอย่างจริงจังมาก่อน เอาใจไปเลย

Lucky Tapes 2

เป็นอีกหนึ่งโชว์ในปีนี้ที่เราประทับใจมาก กับการรวบรวมวงดนตรีเอเชียนแท้ ฝีมือระดับหาตัวจับยากมาให้ได้รับชมกันสด คือฟังจาก audio ก็ว่าเพราะแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับการได้มาสัมผัสแรงปะทะของคลื่นเสียงที่ส่งมา ไดนามิกดังค่อยที่ทำให้เพลงมีมิติและสีสัน รวมถึงพลังที่วงดนตรีส่งมายังคนดู หากไม่ได้มาถึงที่คงไม่ได้รับประสบการณ์ดีงามขนาดนี้แน่ ขอบคุณ Scene Seen Space ที่ชวนวงโปรดที่ไม่คิดว่าจะได้ดูที่บ้านเรามาเล่น และทำให้เราได้รู้จักกับวงดี ที่ไม่เคยฟังมาก่อน จนตอนนี้ต้องถวายตัวเป็นแฟนคลับไปโดยปริยายเลยเพคะ

และงานหน้า Scene Seen Space ยังเอาใจแฟน วงญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องด้วยการชวนวง The Fin. ที่จะมาเล่นครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แต่หนนี้พวกเขาจะเล่นเพลงจากอัลบั้มใหม่อย่างแน่นอนพร้อมเพิ่มรอบที่ขอนแก่นด้วย แถมยังชวนวง Yogee New Wave อีกหนึ่งวงโปรดในวันวานของใครหลายคนมาเล่นให้ดูโดยพร้อมเพรียงกันในวันที่ 25 มีนาคม 2561 นี้ ที่ Voice Space ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลย 

Plastic Plastic 2

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้