Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Laneway 2018 เทศกาลดนตรีที่จะแผดเผาคุณด้วยศิลปินสุดฮอตและแดดในฤดูร้อน

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photos: Laneway Festival Singapore and Montipa Virojpan

27 มกราคม 2561

content_2017-10-03-st-_jerome_s_laneway_festival_singapore_2018-line-up

หลังจากที่เขาจัดมาอย่างยาวนานถึง 8 ปี นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกของเราที่มีความอยากไปเฟสติวัลนี้จนเนื้อตัวสั่น จำได้แม่นเลยว่าตอนที่ออสเตรเลียประกาศไลน์อัพ (เฟสติวัลนี้เป็นเชนที่จัดในหลายเมืองของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์) ก็ลุ้นสุด ให้ไลน์อัพสิงคโปร์ออกมาใกล้ กัน เพราะปกติงานที่สิงคโปร์จะไม่มีบางวงในไลน์อัพออส เหมือนกับว่าเขาให้ศิลปินแกนของทัวร์เป็นเซ็ตนึง และเป็นศิลปินประเทศนั้น อีกเซ็ตนึง ซึ่งผลปรากฏว่า….

Mac DeMarco, Slowdive, The Internet, Wolf Alice, Loyle Carner,  Aldous Harding, Anderson .Paak & The Free NAtionals, Bonobo, Father John Misty ที่อยากดูนี่มากันครบเลยโว้ยยย (เว้นแต่ The Babe Rainbow ที่เป็นวงเจ้าบ้านอยู่ที่นู่น หวังว่าวันนึงจะได้ดูซักวันนึงนะ ฮือ) พอเห็นรายชื่อเป็นที่พอใจเราก็ตีตั๋วไปสิงคโปร์แบบไม่รีรอ แถมยังได้ตั๋วถูกอีกเอ้อ

img_8516

St Jerome’s Laneway Festival Singapore จัดขึ้นที่ The Meadow, Gardens by the Bay สามารถนั่ง MTR มาลงสถานี Bayfront แล้วเดินต่อเข้ามาได้ ระหว่างที่เรากำลังเดินเข้ามาภายในงานก็ต้องเอามือบังแดดเป็นระยะ เพราะวันนั้นร้อนเอามาก ทั้งที่ปกติเทศกาลนี้จะมีฝนตก ไหงปีนี้แดดเปรี้ยงเผาเข้ากระดูกขนาดนี้ล่ะคะ (เสื้อฝนที่เตรียมมาเพราะเพื่อน เตือนว่าวันก่อนฝนหนักมากก็กลายเป็นหม้ายไป)

img_8527

เมื่อเราแลกริสแบนด์พร้อมกับตรวจกระเป๋าเข้างานเรียบร้อยแล้ว เราก็รีบมุ่งหน้าไปที่เวทีที่วงที่เราอยากดูกำลังจะเล่น ขอเล่าก่อนว่างานนี้เขามีสามเวที Garden Stage, Bay Stage และ Cloud Stage ปีก่อนจากที่เขาเล่า กันจะมีอีกเวทีซึ่งเป็นเต๊นท์ดีเจติดแอร์ แต่ปีนี้ไม่มี เศร้ามาก แถมที่หลบแดดในงานก็น้อยมาก ด้วย เรียกว่าใครเปลือยหลังรับลมร้อน ก็พร้อมปะทะแดดเปรี้ยงยามบ่ายริมชายฝั่งสิงคโปร์ระดับเผาไหม้ไปได้เลยจ้า

img_8518

เรารีบมุ่งหน้าไปยัง Cloud Stage ที่อยู่แยกห่างจากอีกสองเวทีพอสมควร (สองเวทีนั้นเขาอยู่ติดกันแบบซ้ายขวา เขยิบขาสามก้าวถึงอีกเวที แล้วใช้วิธีให้วงขึ้นสลับกัน) ตอนนั้นเป็นเวลาที่วง Heals จากประเทศอินโดนีเซียกำลังแสดง เราอยากดูวงนี้มาก เพราะช่วงที่ทำการบ้านก่อนไปเฟสติวัล เพลงของวงนี้มีความเป็นอัลเทอร์เนทิฟ ชูเกซ แบบที่เราชอบ แล้วเล่นกันเก่งมาก แต่พอได้มาดูก็เจอกับเพื่อนอินโดที่รู้จักกัน เขามาจากค่ายเพลงที่นู่นแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาพูดถึงวง Heals เพราะแฟนเขาอยู่วงนี้ เท่านั้นแหละก็บอกเขาใหญ่เลยว่า I love this band!!!! วงนี้เขาเรียกตัวเองว่าเป็น nu-gaze เพราะด้วยเมโลดี้ดนตรีไม่ได้อิงมาจากยุคสมัยนั้นเป๊ะ แต่เป็นการผสมเอฟเฟกต์ให้มีมิติซับซ้อนแบบที่ดนตรีแนวนั้นเขาชอบใช้กัน แต่ที่พิเศษคือวงชอบใช้สัดส่วนแปลก ในเพลงของพวกเขา และมือเบสผู้หญิงก็เท่มาก งือ

lionelboon_heals_003
by Lionel Boon

วันนี้วงเปิดโชว์ด้วยงานสุดเท่ Wave และ Lunar ต่อที่ Dazed, Anastasia, Overcast, Void ที่พีคสุดคือตอนเล่นเพลง False Alarm สำหรับเรามันเป็นเพลงที่ตอบโจทย์ของดรีมป๊อปได้ดีสุด ท่วงทำนองสวยงามเกินบรรยาย ลองไปหาฟังกันดู ปิดท้ายด้วย Azure ทำเอาคนดูฟินกันไปเป็นแถบ โชว์ของวงนี้แน่นและมืออาชีพมาก ถึงคนดูจะน้อยแต่พวกเขาสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นโยกได้แม้อากาศจะร้อนระอุ แต่ข้อเสียอย่างนึงคือเสียงดังมากกกกก อันที่จริงก็เป็นธรรมดาของวงชูเกซที่เล่นกันเสียงดังอยู่แล้ว แต่เราไม่คิดว่าเขาจะเปิดตู้สุดขนาดนี้ ถึงกับต้องถอยมายืนไกล และมีความจำเป็นที่ต้องใช้ earplug สำหรับโชว์นี้

aloysiuslim_amyshark_003
by Aloysius Lim

จากนั้นเราก็เดินกลับมาที่เวที Bay Stage ตอนนั้นมี Amy Shark ศิลปินเดี่ยวชาวออสเตรเลียที่ทำเพลงป๊อปจังหวะกลาง ได้เซนส์ของ r&b และอิเล็กทรอนิกแบบที่น่าจะคุ้นเคยกันดีบนสถาวิทยุคลื่น 107 แต่ปฏิเสธไม่ได้จริง ว่าน้ำเสียงของเธอเท่เหลือเกิน (ลุคก็เท่ด้วย งื้อ) กำลังเล่นเพลง Spits on Girls จากนั้นก็ชวนให้ผู้ชมที่นั่งอยู่ลุกขึ้นมาโยกกับเพลงดังอย่าง Weekend ต่อกันด้วย Adore แต่ไม่ทันจบเพลงนี้เราก็เดินกลับไปที่ Cloud เพื่อดู Amateur Takes Control วงเจ้าบ้าน นี่ก็เป็นวง progressive instrumental rock อีกวงที่น่าสนใจมากระหว่างทำการบ้าน

lionelboon_atc_002
by Lionel Boon

เพลงของพวกเขารุนแรง มืดหม่น และไดนามิกเยอะมาก อยากไปดูสด แต่พอได้ไปฟังจริง แล้วเรารู้สึกว่าเสียงมันดังไปหน่อย บวกกับแดดร้อนเวลาบ่ายครึ่งมันไม่ใช่ฟีลที่จะมายืนฟังจริง เราก็เลยได้ฟังแค่เพลง Mexican Cartel Brides ได้ไม่จบดีก็ต้องขอมูฟไปหาที่หลบแดด (ที่ไม่ค่อยจะมี) ที่อื่น ซึ่งเราก็เดินโฉบไปแถว Garden Stage มี Obedient Wives Club หรือวงที่มีเน็ตไอดอลสาวชาวสิงคโปร์อย่าง Cherie Ko เป็นมือกีตาร์นั่นเองจ้า

cliffyeo_owc_003
by Cliff Yeo

เพลงของวงนี้มีความเป็น twee pop, indie pop ที่มีซินธ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบ กับบางเพลงที่ก็เป็น folk pop ชวนให้นึกถึงวง First Aid Kit แต่ทำนองขึ้นอินโทรของแต่ละเพลงนี่คล้ายกันไปหมดเลย มีตั้งแต่เพลงน่ารัก Baby Bye Bye ไปจนถึงเพลงชวนซึม Moonlight Rendezvous เรายืนดูได้ไม่นานก็ต้องขอวาร์ปไปหาที่หลบแดดจริง แล้วล่ะ ที่เห็นใกล้ที่สุดแถวนั้นก็คงจะมีแต่เต๊นท์สปอนเซอร์ของ H&M ที่ให้เราเข้าไปเล่นเกมทั้งปาเป้า โยนลูกปิงปอง โยนห่วง แล้วจะได้เครื่องสำอางมาใช้ฟรี (แจกหนักจริง นี่ก็เล่นกันเพลินทุกเกม) มีให้ทาลิปสติกฟรีด้วย พอเดินออกมาเราก็จะเจอกับเต๊นท์ขายน้ำแร่ Evian ขวดจิ๋วในราคา 2 SGD แต่จะได้กระติกน้ำรีฟิลได้แถมมาด้วย ซึ่งเราไปไม่ทัน อดนะจ๊า ได้เสื้อกันฝนมาแทนแต่ก็ไม่ได้ใช้

img_8557

ตอนนั้นเป็นเวลาที่วง Rolling Blackouts Coastal Fever ที่ Bay Stage อีกวงอินดี้ร็อกจากออสเตรเลียที่การแสดงของพวกเขาสร้างความสนุกสนานให้คนฟังได้อยู่เรื่อย จะมีท่อนแปลก โผล่มาให้เราประหลาดใจในเพลงที่เหมือนจะเรียบง่ายของเขา ตอนที่เราเดินไปถึงพวกเขาเล่นเพลง Colour Runs ที่ชวนนึกถึงวงอย่าง Beach Fossils ที่ออกมาทางคันทรีหน่อย แต่แล้วเวลานั้นก็พอดีกับที่ศิลปินคนต่อไปที่เราอยากจะดูมาก เล่นที่ Cloud Stage พอดี เราก็ต้องเผื่อเวลาประมาณ 10 นาทีในการเดินไปยังเวทีนั้น

cliffyeo_rollingblackoutscoastalfever_002
by Cliff Yeo

และเมื่อมาถึง เราก็เจอ Aldous Harding นักร้องหญิงเดี่ยวจากนิวซีแลนด์กำลังร่ายมนต์ใส่คนดูกับเพลง Horizon ที่เธอใช้เสียงร้องสะกดพวกเราได้อยู่หมัด มิหนำซ้ำเธอยังเลือกใช้เสียงหลากหลายเรนจ์ ทั้งทุ้มต่ำกว้างดูน่าเกรงขาม และแหลมสูงไพเราะ แถมท่าทางในการแสดงของเธอเหมือนใช้พลังจากทั้งร่างเปล่งเสียงออกมา ร้อง อยู่ตาเหลือกเงี้ย กีตาร์อะคูสติกของเธอหรือแม้แต่ท่าเล่นที่เก้ กัง ก็ดูแปลกตาไปหมด เหมือนแม่มดอะ ต่อด้วยเพลงอะคูสติก Imagining My Man ที่แม้เธอจะร้องเบา ไม่ได้ใช้พลังใด แต่กลายเป็นว่า ยิ่งร้องไปเรื่อย เราก็ขนลุกมากขึ้นทุกท่อน ตามด้วยการโชว์สกิล fingering guitar ในเพลง Living the Classics เธอทำให้เรานึกถึงศิลปินอินเนอร์แรง ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Björk, Kate Bush หรือ Aurora แต่ด้วยสีออร่าในตัวเธอมันมีความเป็นเจ้าแม่รุนแรงมาก ยิ่งพอเธอเล่นเพลง What If Birds Aren’t Singing They’re Screaming โห เรารักการออกเสียงของเธอในเพลงนี้มาก ทำได้ไงวะ ขนลุกเกรียวไม่หยุด ยกให้เป็นโชว์ที่ดีที่สุดในเฟสติวัลเลย ถ้าจะใช้คำว่าขลังก็คงไม่มากเกินไปสำหรับโชว์ของผู้หญิงคนนี้

lionelboon_aldousharding_003
by Lionel Boon

จากนั้นก็เป็นช่วงที่เราต้องมาเตรียมตัวสัมภาษณ์ Wolf Alice, Loyle Carner และ Slowdive ทำให้พลาดโชว์ของวงที่เล่นในช่วงสี่โมงเย็นถึงห้าโมงครึ่งไปโดยปริยาย ซึ่งพอเราทำภารกิจเสร็จเรียบร้อย ตอนนั้นเอง The Internet กำลังเล่นอยู่ เรากับตุล ดีไซเนอร์และอดีต art director ของ Fungjaizine นี่วิ่งไปดูแทบไม่ทันค่ะ ยังดีนะที่เต๊นท์สัมภาษณ์อยู่ใกล้ กับเวทีนั้นพอดี

img_8513

เราแอบสังเกตว่างานนี้เขามีเต๊นท์สำหรับ meet and greet ศิลปินด้วย แต่จำกัดรอบละไม่เกิน 20 คนได้ งานนี้ต้องรีบนะคะ เพราะเราเองลองไปเนียน ต่อแถวก็โดนตัดตอนซะก่อน ฮือ

aiksoonlee_theinternet_002
by Aik Soon Lee

เอาเป็นว่า กลับมาที่ The Internet ความดีงามคือมาทันตอนที่ Steve Lacy มือกีตาร์ตัวแสบของวงกำลังเล่นเพลง Dark Red ของเขาเองอยู่พอดิบพอดี เจ้าตุลที่ติ่งสุดก็รีบวิ่งแบบ ฉันไม่เคยเห็นมันวิ่งไวขนาดนี้มาก่อน แทรกตัวเข้าไปในฝูงชนและสนุกไปกับเพลงของน้อง ดีมาก เสน่ห์พร่างพราวมาก เต้นไปด้วยเล่นกีตาร์ไปด้วย อย่างพริ้ว บอกเลยว่า vibes ของฝูงชนในโชว์นี้ดีมาก ทุกคนยืนกันแน่นหน้าเวทีและเต้น

aiksoonlee_theinternet_001
by Aik Soon Lee

ส่วนเพลงอื่น ที่วงเล่นก็มี Don’t Cha, Special Affair, Diamond in da Ruff, Gabby, Under Control และ Ya Know มีเล่นเป็นบีตแบบเร็กเก้นิดนึงด้วย เก๋มาก ซึ่งระหว่างที่วงกำลังเล่นอยู่ เราก็ถูกดึงความสนใจโดย Mac DeMarco ขวัญใจของทุกคนที่ขึ้นมาเซ็ตเครื่องบนเวทีข้าง ในเสื้อยืดสีส้มแปร๋นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

cliffyeo_macdemarco_003
by Cliff Yeo

ไม่นานนัก พี่แมคก็เริ่มบรรเลงเพลงแบบไม่รั้งรอ แฟน เข้ามาออกันเต็มบริเวณ ส่วนเราก็ตัดสินใจเอาตัวเองออกจากวงโคจรอันหนาแน่นนั้นมายืนดูห่าง อย่างห่วง วันนี้พี่แมคแกขนมาทั้งเพลงจากอัลบั้มแรก ยันอัลบั้มล่าสุด เพลงใหม่เพลงฮิตมาแบบจุใจ แถมยังเพี้ยนเอามาก ด้วย เล่นจบเพลงอยู่ดี ก็พูด ‘Okie dokie’ ด้วยเสียงเหมือนการ์ตูนยังไงยังงั้น เปิดมาด้วย On the Level เพลงจากอัลบั้มล่าสุด This Old Dog จากนั้นก็ทำให้คนดูร้องดังลั่นเมื่อเขาเล่นเพลง Salad Day อันคุ้นเคยจากอัลบั้มชื่อเดียวกับเพลง ต่อกันด้วยเพลงสุดช้ำ กันตั้งแต่ต้นโชว์ด้วย No Other Heart ดีนะที่เล่นอัลบั้มเวอร์ชัน ไม่งั้นคงร้องไห้ตายไปกับเวอร์ชันล่องเรือไปด้วยเล่นคีย์บอร์ดไปด้วยของ NPR อันสุดจะ whimsical แน่

aloysiuslim_macdemarco_001
by Aloysius Lim

แต่พอจบเพลงนี้เราก็ต้องขอลาพี่แมคไปยังเวที Cloud ที่อยู่อีกฟากของงานเพื่อดูน้อง Loyle Carner สุดที่รักกำลังจะเล่นเป็นคิวต่อไป (จากปากคำของตุลที่อยู่ เวทีนี้บอกว่า ตาแมคเพี้ยนจริง มีคนชื่อ Tyler ตะโกนขึ้นไปว่าวันนี้วันเกิดของเขา ตาแมคก็เล่นเพลง Happy Birthday แบบ full band สนองให้จ้า อิจฉาคุณไทเลอร์แกมาก แถมแอบเล่นคัฟเวอร์ Under the Bridge ของ Red Hot Chili Peppers อีก ฮือ)

gohjy_loylecarner_008
by GohJY

เรามาถึงก่อนเวลานิดหน่อย พบว่าผู้ชมมายืนรอกันเยอะพอสมควร ระหว่างนั้นมีการเปิด backing track ของเพลง Damselfly คลอไปเรื่อย แล้วพอเวลาใกล้ขึ้นแสดง คนดูก็เริ่มตะโกนเรียกชื่อ Loyle Carner กันอย่างพร้อมเพรียง แล้วเมื่อถึงเวลา น้องก็พุ่งตัวขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจที่มีคนรอดูน้องเยอะขนาดนี้ แกยิ้มกว้างมาก เลยแง้ และเพลงแรกที่เขาเล่นคือ Isle of Arran ต่อด้วย Stars and Shards ที่ทุกคนร้องตามได้ในท่อนที่เป็นชื่อเพลง สนุกมากกกกก จากนั้นก็เป็นเพลง The Seamstress ที่เขาบอกว่า เขียนให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เตือนเขาช่วงที่ติดแอลกอฮอลหนัก พอจบเพลงเขาก็พูดว่าผมรักที่นี่ พวกคุณเจ๋งมากและเขาคงหมายความอย่างนั้นจริง เพราะกลุ่มคนดูเต้นและร้องแร็ปไปพร้อม กับเขาตลอดโชว์

gohjy_loylecarner_005
by GohJY

จากนั้นเขาก็ถามว่าคุณรู้จัก Tom Misch เพื่อนของผมไหมใครกันล่ะจะไม่รู้ เพราะชื่อของเขาไปปรากฏอยู่ในแทบทุกเพลงของทอมทำให้เราตามต่อจนมาเจอยังไงล่ะ แล้วก็เดาได้ทันทีว่าเพลงต่อไปที่จะเล่นคือ Damselfly เพลงโปรดน่ารัก ของหลายคนต่อด้วยเพลง soulful แบบ Florence แต่เราก็ดูได้ไม่จบโชว์อีกเช่นกัน เพราะวงต่อไปที่จะเล่นก็คือวงร็อกที่ตอนเราทำวงดนตรีแล้วทุกคนในวงชอบกันมาก Wolf Alice (เลยทำให้พลาดเพลง Sun of Jean และเพลงเท่ อย่าง NoCD ไปด้วย ที่สำคัญคือ เขาบอกว่า นี่คือโชว์ที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว เล่นครบทุกเพลงไม่มีอะไรจะเล่นแล้ว เลยต้องฟรีสไตล์ ไม่มีบีต ให้เราฟังกันสด ได้มาดูคลิปที่พี่ฮอคกี้ Rap Is Now อัดไว้ตอนหลัง เสียดายมาก เพราะน้องเท่สุด ไปเล่ยยยย)

alvinho_wolfalice_001
by Alvin Ho

ที่เวทีเราเดินกลับมาที่ Garden Stage ตอนนั้นพี่แมคยังเล่นไม่เสร็จดี กำลังเป็นเพลง Still Together อยู่เลย แล้วก็รอสักพัก Wolf Alice ก็ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเสียงต้อนรับของแฟนเพลง ช่วงนี้ฟ้าค่อย มืดลง รังสีความเป็นร็อกสตาร์ฉาบพวกเขาให้เจิดจ้าอยู่บนนั้น สำเนียงกีตาร์เกรี้ยวกราด เปิดมาด้วยเพลงฮิตจากอัลบั้ม My Love Is Cool อย่าง Moaning Lisa Smile ที่ทุกคนช่วยกันร้องท่อน ‘อ๊า ๆๆๆ’ กันอย่างพร้อมเพรียง ต่อด้วย You’re a Germ, Lisbon กับท่อน ‘จือดึ๊ด’ ให้ร้องคลอกันไป ตามมาด้วยเพลง Bros ที่เอลลี่บอกให้คนที่มากับเพื่อนกอดคอกันและโดดไปพร้อม กับเพลงนี้ จากนั้นจึงเป็น Don’t Delete The Kisses เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่นับเป็นเพลงโปรดของหลายคนและทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น โห การได้ฟังเพลงนี้แบบสด แล้วนึกตามภาพในมิวสิกวิดิโอแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก

alvinho_wolfalice_005
by Alvin Ho

ต่อกันที่ Beautifully Unconventional กับท่อนยูนิซันขัด ๆ เท่ มีการเต้นประกอบเพลงกันอย่างพร้อมเพรียงของจอฟ เอลลี่ และธีโอ และเล่นเพลงสุดเมา Formidable Cool จนเพลง Space & Time ที่อยู่ เอลลี่ก็ขำออกมาตอนท้ายเพลง อันที่จริงเป็นเพราะธีโอ มือเบส ซิปแตก แล้วก็พูดออกไมค์ด้วยพ่อคุณ คนดูก็หัวเราะกันใหญ่ ก่อนจะเล่น Visions Of A Life, Fluffy และปิดท้ายด้วยเพลงชาติของเรา Giant Peach อินกับเนื้อหามาก ตอนทำวงก็เอาเพลงนี้มาคัฟเวอร์ แหกปากแบบสุดเสียงไปเล้ย เพลงนี้ตอนโชว์สดคือพลังงานพุ่งพล่านสุด เกรี้ยวกราดมาก ทุกคนร็อกโคตร เท่ไม่ไหวแล้ว แต่โชว์นี้ตอนต้นโ๙ว์ระบบเสียงไม่ค่อยดี (จริง เป็นตั้งแต่ตอน The Internet เล่นแล้ว) กลอง กีตาร์นี่ เงียบกริ๊บ เพิ่งมาดีเอาประมาณเพลงที่สามที่สี่แล้ว เสียดาย

cliffyeo_slowdive_001
by Cliff Yeo

เช่นกันกับโชว์ก่อนหน้าที่วงยังเล่นไม่ทันจบดี อีกวงจะต้องขึ้นมาสแตนบายที่เวทีข้าง ได้เวลาของ Slowdive วงที่เราปฏิญาณตนว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเล่นกี่ครั้งเราก็จะไปดู และนี่ก็เป็นครั้งที่สามของเราแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เราผิดหวังกับโชว์ของพวกเขาเลย (แต่แอบมีเพลงที่ไซมอนทำสแนร์ดังตอนเพลงเงียบ หรือเรเชลเขย่าลูกแซ็กผิดจังหวะ แต่โดยรวมแล้วโชว์ก็ยังกลมกล่อมอยู่ดี แหะ) ยิ่งครั้งนี้เซ็ตลิสต์มีความแรร์พอสมควร เพราะเลือกเพลงในอดีตแบบที่ไม่คิดว่าจะเล่นมาเล่นให้เราฟังเยอะมาก ตั้งแต่เพลงแรกอย่าง Slowdive เพลงชื่อเดียวกับวงที่มาจากอัลบั้ม Just For a Day ต่อด้วยเพลง Catch the Breeze ที่ท่อนโซโล่ช่วงท้ายของเพลงยังมีความงดงามและทำให้ขนลุกได้เสมอ

cliffyeo_slowdive_002
by Cliff Yeo

จากนั้นก็เป็น Crazy for You ที่พออินโทรขึ้นมาทุกคนก็ร้องเฮกันลั่น แต่เรเชลแอบมีร้องผิดท่อนด้วย เอานะให้อภัย คนดูก็ส่งเสียงร้องให้กำลังใจเธอกันไป แล้วจึงเป็นเพลงจากอัลบั้มล่าสุด Star Roving และ Souvlaki Space Station จากชุด Souvlaki แบบ โห เหวอเลย ไม่คิดว่าจะเล่นจริง กับเพลงที่เป็น dope song ของหลาย คนเพลงนี้ แล้วจึงกลับมาเป็นเพลงฮิตที่ไม่เล่นไม่ได้ ทั้ง When the Sun Hits ท่อนขยี้นี่ โอ้โห เรียกน้ำตากันอีกแล้วจ้า หรือ Alison ที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องแบบเสียงไม่ตก บรรยากาศตอนนั้นดีมาก แล้วจึงเป็น Sugar for the Pill ก่อนที่อินโทรของเพลงต่อไปจะขึ้น เราก็รู้ทันทีว่านี่เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว กับ Golden Hair งานคัฟเวอร์ของ Syd Barrett แห่ง Pink Floyd ที่ไม่ว่าจะได้ดูกี่ครั้งก็เป็นอันต้องเสียน้ำตาให้ทุกที อะไรมันจะงดงามได้ขนาดนั้น 

img_8520

จบจากโชว์นี้เราก็ไปเดินหาของกิน คือดูคอนเสิร์ตเพลินจนลืมกินข้าวกันเลยล่ะค่ะ ระหว่างทางเราเดินไปเจอคริสเตียนมือกีตาร์ของ Slowdive ยืนอยู่คนเดียวก็ไปติ่งใส่ ‘บอกว่าหนูดีใจมากที่ได้ดูพวกคุณเล่นอีก แล้วเพลง Golden Hair ก็ทำหนูร้องไห้อีกแล้ว’ เขาก็ยิ้มไม่หุบ แล้วบอกว่า ‘รอเพื่อนอยู่ไม่รู้หายไปไหน ขอบคุณมาก ๆ นะ’ ดูเป็นคนขี้อายแต่ใจดีที่สุดในวงละเพราะตอนสัมภาษณ์แกไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้คนอื่นพูด ฮ่า ๆ เราก็เดินต่อจนไปถึงโซนขายอาหารที่เป็นของ Uber Eats อยู่บริเวณกลางของงานเลย ตอนนั้นเราเดินสวนกับ Cherie Ko นางถือหมั่นโถวทอดราดซอสไข่เค็มโรยถั่วคั่วกล่องใหญ่ ผ่านมาแล้วถามว่าลองกินมั้ยกินไปคำเดียว มันอร่อยมากคุณผู้อ่าน แล้วเชอรีก็ยกให้ทั้งกล่องเลยบอกว่านางไม่ค่อยชอบ เออ ก็เก็ตนะกิน ไปแล้วมันเลี่ยน แล้วมันเยอะมาก แต่ก็อิ่มหนำประหยัดเงินไปได้อีกมื้อ แล้วก็ซื้อ yuzu gin shot จากบาร์ชื่อ Bitters & Love ที่อร่อยมาก ช็อตเดียวอยู่ หอมเมาประทับใจ แต่ราคาไม่น่ารักเลย 10 SGD น่ะแก ละแวกนั้นก็มีพวกเบอเกอร์ แวรปไส้ต่าง ฮอตบัน ไอศกรีม ของทานเล่นอะไรต่าง แล้วก็ cocktail slushie เป็นค็อกเทลปั่นเหมือนสเลอร์ปี้ขายด้วย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ขายในงานนี่ราคาน่าร้องไห้ใส่ทั้งสิ้น

gohjy_andersonpaak_004
by GohJY

ระหว่างที่นั่งกินอยู่นั้นเอง พอเจอเพื่อนเดินผ่านไปผ่านมาก็แบ่งปันความอิ่มให้ถ้วนทั่ว (เข้าใจหัวอกเชอรีทันที) แล้วเสียงเพลงจากเวที Garden ก็ดังขึ้น Anderson .Paak & The Free Nationals กำลังเล่นอยู่บนเวทีนั้นพอดี เรานี่แทบจะทิ้งหมั่นโถวแล้ววิ่งไปดูเลย แต่มาตระหนักได้ว่าสังขารไม่อำนวยอย่างยิ่ง ยืนดูทั้งวันได้นั่งแค่ตอนสัมภาษณ์แค่นั้นจริง และเกือบเป็นลมเพราะแดดร้อนมาก ดื่มน้ำเยอะเท่าไหร่ก็กระหาย แต่แล้วพอบีตเพลง Smoke Weed Everyday ของ Snoop Dogg ที่เขาเอามามิกซ์กับเพลงตัวเองขึ้นมาเท่านั้นแหละ กูทิ้งหมั่นโถวจริง แล้วลืมความเมื่อยง่ามนิ้วไปสิ้น เต้นอย่างมัน เป็นโชว์ที่เราไม่จำเป็นจะต้องรู้จักทุกเพลงก็ได้ แค่ดนตรีมา ลูกกรูฟมา คนดูทุกคนเต้นอย่างพร้อมใจ แค่นั้นก็เพลินแล้วอะ เรากับเพื่อนกลับมารวมกลุ่มกันแล้วเต้นไปกับเพลงโซล ฟังก์ แจ๊ส r&b ลูกกลองเท่ ที่เอนเตอร์เทนคนดูได้ตลอด เป็นอีกโชว์ที่หลายคนยกให้เป็นที่สุดของเทศกาลนี้

gohjy_andersonpaak_002
by GohJY

จนโชว์สุดท้ายที่เราได้ดูก็มาถึง (จริง เหลืออีกสองวงนั่นคือ Bonobo และ The War On Drugs แต่ร่างไม่ไหวแล้วจริง เพราะตอนเครื่องลงก็ไม่ได้นอน ยาวจนมาตากแดดที่เฟสติวัลทั้งวัน แถมต้องรีบกลับไปเช็กอินที่โรงแรมอีกไม่งั้นจะไม่ได้เงินที่ deposit กุญแจคืน รายละเอียดยุบยับวุ่นวาย ขอเล่าแค่ประมาณนี้ละกัน) กับครั้งที่สองที่ได้ดู Father John Misty หลังจากฟินกับพี่แกไปเมื่อตอน Fuji Rock ครั้งนี้เขาก็ยังรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างดีกับการเล่นเพลงบัลลาดเพราะ เล่าเรื่องซีเรียสชีวิต ไปจนเรื่องขี้แซะติดตลก

aloysiuslim_fatherjohnmisty_003
by Aloysius Lim

โดยรอบนี้เขาเล่นเซ็ตลิสต์คล้าย กับที่ฟูจิร็อกเลย ทั้ง Pure Comedy, Total Entertainment Forever, Things That Would Have Been Helpful To Know Before The Revolution และพอ Ballad of the Dying Man ยังไม่จบดี เราก็ต้องขอจรลี แม้ในใจอยากจะดู Bonobo มากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อย ก็ได้ดูที่ฟูจิร็อกมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นนั่งดู งานนี้ก็กะจะเต้นไงแต่ร่างไม่ไหวแล้วจ้า

aloysiuslim_fatherjohnmisty_001
by Aloysius Lim

โดยรวมแล้วถือว่างานปีนี้ไลน์อัพโดดเด้งน่าสนใจมาก แต่ระบบเสียงของบางเวทียังไม่ค่อยเสถียร ดังไปบ้าง เบาไปบ้าง ย่านต่ำหาย กลองไม่ออกต่าง นานา กลุ่มคนที่มาดูงานเหมือนจะได้ซึมซับวัฒนธรรมที่ไม่ดีของการดูคอนเสิร์ตในละแวกนี้ไปบ้าง อย่างการถ่ายภาพหรือถ่ายวิดิโอตลอดเวลา ที่หนักกว่านั้นคือมีแก๊งฝรั่งไม่ทราบสัญชาติ ใส่พอนโชกับหมวกแบบเม็กซิกันเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วมีคนนึงที่ถือตุ๊กตาลิงเกาะไม้สูง ชูไปรอบ พวกแกไม่รู้หรอว่าหมวกกับลิงแกเป็นอะไรที่บังทัศนวิสัยมาก หงุดหงิดเว่อ แต่คงจะมีอะไรถูกใจเราไปหมดไม่ได้หรอกยิ่งกับเฟสติวัลที่ทุกคนพร้อมเมากันแล้วด้วย ลืมไปได้เลยจ้า

img_8652

เขียนเล่าบรรยากาศกันมายืดยาวพอสมควร หวังว่าเพื่อน จะพอเห็นภาพและเกิดความอยากลองไปสนุกกันที่เฟสติวัลนี้ดูนะ เดินทางง่าย ใกล้บ้าน ราคาไม่แรง แต่ก็อยากให้ใจเย็นรอดูไลน์อัพของแต่ละปีก่อน เพราะเมื่อก่อนเราไม่เคยคิดสนใจเลยจนมาปีนี้แหละ ถือว่าเป็นเทศกาลที่ดีแต่แห้งแล้งไปหน่อย ไม่ค่อยมีต้นไม้แถมตัวร่มเงาจากบูธสปอนเซอร์ก็มีไม่กี่ที่ (หนักสุดคือบูธของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เจ้าหนึ่งถึงกับมีเตียงมาตั้ง แต่ตอนเที่ยง ใครจะไปนอนฟะปั๊ดโธ่) เอาเป็นว่าก็ลองพิจารณาเทียบกันกับงานอื่น เนอะ แล้วงานหน้าจะได้พบกับอิ๊กอีกเมื่อไหร่ก็ต้องรอติดตามกันค่ะ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้