‘แม่ ๆ ไปดู Iron & Wine กัน’ ประสบการณ์พาแม่ไปดูคอนเสิร์ตครั้งแรกที่แม่บอกว่าอยากซ้ำอีก
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Tar311 Photographer
15 พฤษภาคม 2561
ถ้าใครอยากเข้าเรื่องคอนเสิร์ตให้ข้ามย่อหน้า 1-3 ไปได้เลยจ้า
ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงเดือนนี้ Medium Rare Live ผู้จัดงาน BAMM (Bangkok Art and Music Month) ยังไม่หยุดที่จะพาศิลปินคุณภาพมาเปิดการแสดงให้ผู้ชมชาวไทยได้ซึมซับแนวดนตรีหลากหลายอยู่เรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้จัดไปแล้วทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ตั้งแต่ FKJ, Yung Bae, Cosmo Pyke, Bondax, MNDSGN และเมื่อคืนวานก็ถึงคิวของศิลปินโฟล์กจากเซาธ์แคโรไลนา Iron & Wine ที่มีแฟนเพลงรอคอยการมาถึงของเขาอยู่ไม่น้อย แต่กับเราต้องยอมรับว่าได้ฟังเพลงของเขาน้อยมาก ซึ่งหนึ่งในงานที่เราเคยได้ยินเห็นจะไม่พ้นเพลง Flightless Bird, American Mouth ที่ถูกใช้ประกอบภาพยนตร์ ‘Twilight’ แต่จากที่คุยกับพี่ Sam Beam เมื่อวาน เจ้าตัวบอกว่าเพลงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังเลยนะ และความที่ไม่ได้ติดตามก็ทำให้เกือบไม่ได้มาชมการแสดงของเขาแล้ว เพราะนัดคุณแม่ว่าจะพาไปกินข้าวแล้วเรียบร้อย
แต่ด้วยอะไรไม่รู้ที่ดลใจให้ต้องมาดูให้ได้ น่าจะเพราะการได้คุยกับเจ้าตัวเองเนี่ยแหละ เลยทำให้รู้สึกว่าโชว์ของเขาต้องมีอะไรแน่ ๆ (รออ่านบทสัมภาษณ์ได้เร็ว ๆ นี้) ระหว่างที่กินข้าวกับแม่เราเลยออกปากชวนว่า ‘ไปลองฟังดูมั้ย ถ้าไม่ชอบก็กลับบ้านไปดู ลิขิตรัก The Crown Princess ของแม่ก็ได้’ หลังจากยื้อกันอยู่นานแม่ก็ยอมตอบตกลง เพราะละครมันดูย้อนหลังได้เนาะแต่คอนเสิร์ตทำไม่ได้ และนี่จึงเป็นครั้งแรกที่แม่ได้ก้าวเข้าสู่พื้นที่ส่วนใหญ่ในโลกของลูกสาวคนนี้
ก่อนหน้านี้ต้องบอกตามตรงว่าแม่ค่อนข้างแอนตี้การมาดูคอนเสิร์ตของเรา คือช่วงที่เราเริ่มดูคอนเสิร์ตก็เป็นตอนที่เราเรียนจบม.6 รอมหาลัยเปิดเทอมพอดี ก็เลยมีเวลาว่างไปคอนเสิร์ตค่อนข้างเยอะ แล้วแม่ก็รับไม่ได้กับการที่ลูกกลับบ้านดึกบ่อย เพราะจินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าลูกฉันต้องกินเหล้าเมายา ปาร์ตี้ สูบบุหรี่ แน่ ๆ (เอ่อ อาจจะจริงบางส่วน แต่ ณ ตอนนั้นน้องอิ๊กคลีนสุด ๆ ค่ะ ของแบบนั้นไม่มี้้้้้) คือเขามี mind set กับคอนเสิร์ตแบบนี้ไงเลยไม่ค่อยอยากให้เรามา (แต่เราดื้อและมาบ่อยจนแม่ปลงไปแล้ว ตอนหลังแม่ก็ยอมรับเราว่าการไปคอนเสิร์ตบ่อย ๆ ทำให้ทำมาหากินได้แบบทุกวันนี้แหละ เย่) แต่พอแม่มาถึง Moonstar Studio 8 ก็พบเหล่าผู้ชมคอนเสิร์ตมากหน้าหลายตา แม่ถึงกับเอ่ยปากพูดเองเลยว่า “เอ้อ คนมาดูคอนเสิร์ตเขาแต่งตัวดี หน้าตาดี ไม่เหมือนพวกอย่างงั้นเนอะ” เอ่า พวกหยั่งไหงล่ะแม่? ก็เนี่ย บอกมาตั้ง 7-8 ปีไม่เชื่อลูก ต้องให้มาเห็นเองเนี่ยแหละฮะ ซึ่งระหว่างทางเดินเข้าฮอลก็เจอคนรู้จักมาทักทาย รวมถึงยกมือไหว้แม่ด้วยสีหน้าและอาการที่ดูเหวอมากว่า ‘อีอิ๊กพาแม่มาดูคอนเสิร์ตด้วยว่ะ’ จริง ๆ ความคิดนี้ต้องยกความดีความชอบให้พี่เอเลี่ยน Safeplanet เพราะเขาเคยพาคุณแม่บินไปดู Tame Impala ด้วยกันที่กัวลาลัมเปอร์มาแล้ว ไอดอลมาก
เราเดินเข้ามาในฮอลตอนเกือบ ๆ สามทุ่มครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเริ่มการแสดง แต่พอเข้ามาถึงก็พบว่าฮอลค่อนข้างเงียบ ปกติจะมีเสียงเพลงเปิดคลอ แต่ได้ทราบมาจากผู้จัดว่าเป็นความประสงค์ของศิลปินเองที่อยากคงบรรยากาศไว้อย่างนี้ ข้างหน้าก่อนโซนเวทีมีแสดง live painting ของ ปัณยวีร์ ศิลปิน abstract ที่งานส่วนมากได้แรงบันดาลใจจากเสียงดนตรีจัดแสดงอยู่ แล้วเราก็พาแม่มานั่งรอ จนถึงเวลา 21.45 ผู้ชมที่นั่งอยู่ก็พากันยืนขึ้นและขยับตัวเข้ามาใกล้เวที พร้อมกับส่งเสียงยินดีเมื่อศิลปินขึ้นมาประจำที่บนเวทีอย่างพร้อมเพรียง
แซมกล่าวทักทายแฟนเพลงอย่างเป็นกันเอง สีหน้าและท่าทางของเขาแตกต่างจากตอนสัมภาษณ์ที่ดูนิ่งและสุภาพมาก อันนี้คือเหมือนพี่แกเมาไวน์มานิดหน่อยแล้ว (สังเกตจากแก้วไวน์แดงที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเก้าอี้สตูลข้างกาย) เขาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่นที่ไทยหลังจากรอคอยการมาถึงอย่างเนิ่นนาน และมีเพลงมาเล่นให้เราฟังเยอะมาก คิดว่าโชว์คืนนี้จะต้องสนุกแน่ ๆ เอ้า จะสนุกไม่สนุก มาลองดูกันเลยค่ะ
เปิดตัวด้วยเพลงช้าสุดเหงาแต่งดงาม The Trapeze Swinger ซึ่งแค่เพลงแรกเนี่ย เราก็พบแล้วว่าเวอร์ชันสดกับ audio นี่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือแบบที่เล่นสดแม้จะเล่นในจังหวะที่ช้ากว่าแต่กลับมีพลังกว่ามาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่คนดูรอบ ๆ เราคือตั้งใจดูและไม่ส่งเสียงคุยกันเลย จังหวะที่เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเริ่มประโคมบรรเลงคือขนลุกเป็นระยะ ๆ ตามด้วยเพลงใหม่ Claim Your Ghost ที่ก่อนเล่นเขาพูดว่า “New song’s smell is coming out” เรียกเสียงฮาครืนจากคนดูให้รึ่ม แล้วเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เพราะมาก ๆ
จากนั้นก็เป็นเพลง Wolves (Song of the Shepherd’s Dog) ที่ตอนอินโทรจะมีความหลอน จังหวะมีความ tribal ผสมผสานกับโฟล์กได้ดีงามเหลือเกิน ตามด้วย Last Night เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดิโอออกมา ซึ่งก่อนจะเริ่มเพลง เขาทำสัญญาณให้ทุกคน (รวมถึงคนดู) เงียบสนิท และจับจ้องไปที่นักดนตรีคนอื่น ๆ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เริ่มบรรเลงทุกอย่างพร้อมกัน ด้วยโน้ตเพี้ยนหลอนจิตแบบนั้นจึงทำให้เป็นการขึ้นเพลงที่สะพรึงมาก แต่พอเล่นไปได้สักพักกลายเป็นว่าเพลงนี้คือเพลงที่เต็มไปด้วยลูกเล่นจากเครื่องดนตรีทั้งหลายที่จะมีซักซีนนึงให้ตัวเองเด่น แล้วมีการเล่นล้อไปกับไฟ ทุกอย่างน่ารักเต็มอิ่มไปหมด แล้วตานี่เป็นคนตลกนะ เล่น ๆ อยู่โดนคนดูแซวนิดนึงก็หัวเราะออกไมค์แล้ว เรียกว่าไม่พยายามกลั้นขำเล่นให้จบเพลงแต่ปล่อยไปตามความรู้สึกของตัวเอง ณ ขณะนั้นเลย และหลังจากจบเพลง Grace for Saints and Ramblers เขาก็บอกว่ามือเบสที่เล่นอยู่คือพ่อของเขาเอง คนดูก็ปรบมือเชียร์กันใหญ่แถมคุณพ่อก็โค้งให้นิดนึง (อยากตะโกนขึ้นไปว่านี่ก็พาแม่มาดู ฮา) แล้วเขาก็เล่นเพลง Cinder and Smoke ต่อด้วย Jesus the Mexican Boy เรียกเสียงเฮจากคนดูทันทีที่อินโทรขึ้น แต่จะบอกว่าเวอร์ชันสดกับ audio ไม่เหมือนกันอีกแล้ว แล้วในโชว์นี้คือกลายเป็นเพลงที่น่ารักมาก ๆ เพลงนึงไปเลย ต่อด้วย Big Burned Hand ก่อนจะเข้าสู่ช่วงถัดไป
ตอนนี้เป็นช่วงที่เหลือแค่เขากับคนดู เขาก็เริ่มบรรเลงเพลง Bitter Truth เพลงจากอัลบั้มใหม่ ต่อด้วยอีกเพลงดัง Naked as We Came คนดูปรบมือดังมากจนเขาบอกว่า “I’ve waited for this for about 15 years, so do it. I know it’s the deal” ปล่อยมุขเรื่อย ๆ เลยนะพี่แซม ตามด้วย Such Great Heights ในช่วงนี้เรารู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเงียบจนทำให้บรรยากาศขลังจนน่าขนลุก เพียงแค่กีตาร์โปร่งหนึ่งตัว กับนักดนตรีหนึ่งคน ทำให้รู้เลยว่าความเรียบง่ายที่ทรงพลังของเพลงโฟล์กมันเป็นแบบนี้เอง
จากนั้นนักดนตรีคนอื่น ๆ ก็เดินกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง และเริ่มเล่นเพลง Tomorrow on the Runway ตามด้วย Song in Stone ซึ่งเป็นเพลงที่เรารู้สึกว่าเล่นคำได้ไพเราะสละสลวยมาก ตามด้วย Call it Dreaming ที่เรียกเสียงปรบมือจากคนดูได้อีกครั้ง ก่อนจะเล่นเพลงฮิตที่หลายคนรอคอยในเวอร์ชันที่เงียบมาก และปรับคีย์ทั้งเพลงทำให้เราได้ฟังเวอร์ชันที่ต่างไปของ Flightless Bird, American Mouth ต่อด้วย Call Your Boys และ Boy with a Coin ก่อนจะปิดท้ายช่วงนี้ด้วย Woman King ซึ่งเป็นเพลงเท่ ๆ ที่มีไฟบนเวทีเล่นกับจังหวะเพลงอีกแล้ว เราได้เห็นก้อนเมฆปุกปุยที่ลอยอยู่บนหัวของศิลปินบนเวทีถูกฉาบเป็นสีน้ำเงินเกรี้ยวกราด การประสานเสียงทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก
แล้วก็มาถึงช่วงอังกอร์ที่คนดูโห่ร้องปรบมือเรียกให้พวกเขากลับขึ้นมาอีกครั้ง แล้วตอนที่ขึ้นมาคือนักดนตรีที่เป็นผู้หญิง—มือกลองกับมือคีย์บอร์ด—ติดเคราและหนวดปลอมบนหน้าตัวเองด้วย เพราะว่านักดนตรีคนอื่น ๆ บนเวทีไว้หนวดเครากันหมดเลย น่ารักกกกก และส่งเพลงสุดท้าย About to Bruise จากอัลบั้มใหม่เป็นเพลงปิดโชว์ที่ในเพลงทำให้เรารู้สึกว่าโชว์นี้สมบูรณ์และอิ่มเอมใจสุด ๆ แม้แต่ท่อนสุดท้ายของเพลงที่คนดูปรบมือเกรียวกราว พวกเขายังพากันลากเสียงคำสุดท้ายของเพลง แม้จะหมดลมแล้วก็ยังโกงร้องต่อ เหมือนไม่อยากให้เพลงนี้จบลงไป
นับว่าเป็นอีกโชว์ที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดงานหนึ่ง จากเพลงโฟล์กฟังสบายเหมาะแก่การเอนกายอยู่กับบ้าน สู่โชว์ที่คาดเดาไม่ได้และหลากหลายอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงการเอ็นเตอร์เทนคนดูอย่างกันเองและมุขตลกน่าตีเรียกเสียงวี้ดว้ายจากคนดูได้เป็นระยะ ๆ ทำให้เราประทับใจกับ Iron & Wine อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดแม่เราเองยังบอกว่า เป็นคอนเสิร์ตที่สนุกดี วงก็ทำดนตรีที่แปลก แล้วลองถามแม่ว่าถ้ารอบหน้ามีงานแบบนี้อีกจะไปไหม… คำตอบของแม่ในค่ำคืนนั้นเหมือนกับว่า แม่อาจจะไม่ได้เข้าใจและมองซีนคอนเสิร์ตของเราเปลี่ยนไปทั้งหมด (ขากลับบ่นอุบเลยว่า ‘กลิ่นบุหรี่เหม็นติดเสื้อเลยเนี่ย!’) แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรากับแม่รู้สึกใกล้กันมากขึ้น แค่นิดนึงก็ยังดี 🙂
ติดตามความสนุกครั้งต่อไปได้ที่ Fanpage BAMM กันได้เลย