Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

มัวหม่นเมามายใต้แสงไฟ ประเดิมคอนเสิร์ต Fungjai Lab วิชา Psychedelic พื้นฐาน

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Fungjai Team

9 มิถุนายน 2561

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา Glow Fish สาธร เป็นครั้งแรกของงาน Fungjai Lab คอนเสิร์ตซีรีส์ที่ชวนให้ทุกคนจินตนาการว่ากำลังเข้าเรียนวิชาดนตรีศึกษาสามแนว ทั้งหมดสามครั้ง โดยครั้งแรกจะเป็นการนำเสนอแนวดนตรีไซคีเดลิกจากวงดนตรีคุณภาพทั้ง Buddhist Holiday, Chladni Chandi, Cloud Behind และ Diaries ที่ถ่ายทอดเสน่ห์ของแนวดนตรีนี้ออกมาได้อย่างครบถ้วนและน่าสนใจ

เราไปถึงงานตั้งแต่ช่วงก่อนประตูเปิด ก็ได้เดินสำรวจงานเล็กน้อย ด้านหน้าทางเข้างานมีกิจกรรมเสือใสฉายแสงให้ทุกคนได้ไปยืนถ่ายรูปโดยมีโปรเจกเตอร์ฉายลายเส้นของแต่ละวงพาดบนตัว จะได้มีรูปเท่ ติดตัวกลับบ้านไปเป็นที่ระลึก

จนเวลาประมาณทุ่มตรง ก็เป็นคิวของวงแรก Cloud Behind ได้ขึ้นแสดงพร้อมกับอินโทรดนตรีนีโอไซคีเดเลียให้ความรู้สึกล่องลอย ก่อนจะเล่นเพลงสดใสของวงอย่าง นกนางนวล ตามด้วยช่วง interlude ของเพลงต่อไปที่บรรเลงออกมาอย่างยาวนานให้เราต้องมนต์สะกดไปพักหนึ่งก่อนจะเข้าเพลง แค่แปลกตา ที่เป็นงานเพลงเปิดศักราชใหม่ที่ทำให้วงเบนทิศทางดนตรีมาเป็นแนวนี้อย่างเต็มตัว ก่อนจะเป็นเพลงใหม่ที่มีไลน์เบสเท่ ชวนนึงถึงเพลงของวง The Horrors กันเลยทีเดียว จากนั้นก็เป็นเพลง ในท้องฟ้า ที่เพราะอะไรไม่รู้ไลฟ์ในครั้งนี้มันช่วยชุบชูพลังใจได้อย่างน่าประหลาด อาจจะด้วยเมโลดี้สวย กับเนื้อหาของเพลงที่ทำให้เรายืนมองท้องฟ้าได้อย่างสบายใจอีกครั้ง ตามด้วยเพลงที่นานมาแล้วไม่ได้ฟัง แถมวงยังเอาไปรีอะเรนจ์ให้เข้ากับงานยุคปัจจุบันนั่นคือ Wisteria (เสน่หา) และ เทา เพลงเศร้าที่เราคุ้นเคยกันดี เวลาเหลืออีกไม่มาก วงจัดสองเพลงสุดท้ายอย่าง ลาฝัน ที่ชวนคนดูร้องในท่อน ‘ปาดีดาดี๊ดา’ กันอย่างพร้อมเพรียง และปิดท้ายด้วยเพลง 3rd กับสัดส่วนดนตรีที่หลากหลายในเพลง มีทั้งให้โยกตัวเพลิน ไปจนถึงเฮดแบงเลยก็มี เรียกว่าเป็นโชว์ที่ครบเครื่องจริง และ performance ของพวกเขาก็เนี้ยบ ลงตัว และก้าวกระโดดขึ้นมาก

จากนั้นประมาณสองทุ่มนิด Chladni Chandi ก็ขึ้นแสดงเป็นวงต่อไป พวกเขาไม่รอช้าดึงคนฟังเข้าสู่ภวังค์แห่งความเมามายในทันทีกับ วารีมิจฉาฮาเร กฤษณา ตอนนี้เราสังเกตว่ามีแฟนเพลงตัวยกเขยิบตัวมาอยู่บริเวณหน้าเวทีและเริ่มโยกตัวอย่างออกรสไปตามจังหวะหน่วง ดึง ของเพลง จากนั้นก็ตามด้วย อนาคตรัศมี เพลงที่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มที่มีความสว่างกว่าเพลงอื่น และเป็นการขยับจังหวะขึ้นมาอีกนิด จนเมื่ออินโทรของเพลงต่อไปดังขึ้น แฟนเพลงก็โห่ร้องยินดีให้กับ มนุษย์อุปโลกน์ สโตนเนอร์ร็อกเท่ ที่ชวนร้องตามได้ไม่ยาก ต่อกันที่ร็อกแอนด์โรลเท่ อุษาเทวี เล่นกี่ทีก็ไม่มีผิดหวังในความแน่นของดนตรีจากวงนี้ จนถึงเวลาที่หลายคนรอคอยกับเพลง พรหมโลกวิษัย ซึ่งแฟนเพลงช่วยกันร้องได้ทั้งเพลง โดยเฉพาะกับท่อน ‘ฮ้าฮาฮาาาาา’ เนี่ย เสียงดังฟังชัด พร้อมเพรียง และขนลุกมาก เหมือนทุกคนเริ่มจะเครื่องติดกันแล้ว แต่พอวงบอกว่าเหลืออีกแค่สองเพลง ก็มีคนตะโกนขึ้นไปว่าขอยาวกว่านี้อีกกกก แต่เกรงว่าเวลาจะไปตีกับวงอื่น เลยจัดให้ไม่ได้ ส่งเพลง โลกาแห่งกรรม และ หมา ไมค์ กีตาร์ ชวนโยกหัวหลุดกับไลน์เบสแตก พุ่ง เอาตรง เราเองก็โยกยับเหมือนกัน สนุกมากกกก

แล้วก็ถึงคิวของ Diaries วงที่แม้แนวเพลงจะห่างจากวงอื่น ในไลน์อัพมากที่สุด แต่โชว์ของพวกเขาก็อัดแน่นไปด้วยพลังงานอันพุ่งพล่านและความสนุกที่ยิ่งเล่นยิ่งมาและถึงเพลงส่วนใหญ่จะมีความเป็นฟังก์และร็อกแอนด์โรลที่คล้ายกันแทบจะทั้งหมด แต่ก็ยังมีลูกหยอด ลูกล่อลูกชนที่เหลือร้ายเสมอในทุกเพลง ตัวสมาชิกวงทุกคนก็ปล่อยของกันรัว สารภาพว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูพวกเขาเล่นสด จะเป็นยังไงต้องลองแล้วล่ะ เริ่มกันที่เพลงแรก Hellow เพลงเท่ ที่ชวนให้เรานึกถึง Franz Ferdinand เลย ตามด้วย รอยยิ้มสีชมพู กับไฟสปอตไลต์ที่ฉาบเวทีเป็นสีชมพูสดพร้อมเสียงร้องตามอย่างพร้อมเพรียงจากคนดู เท่มากในท่อนโซโล่กีตาร์ขยี้ สุดหยาดเยิ้ม ก่อนจะลุยต่อที่เพลงจังหวะเร็ว The Apple is Falling Down และเพลงที่ทำให้หลาย คนรู้จักพวกเขาใน Mama Says ชอบการขึ้นเสียงสูงของนักร้องนำมาก แบบ พลังยังปล่อยได้อีกกกกก ก่อนจะเป็นเพลง ดอกร้าย ที่ให้คนฟังช่วยร้องตามและตบมือในตอนท้ายเพลง ตามด้วย  My Pill และ Disco Love ที่อินโทรเบสโหดมากค้าบ แล้วเพลงก็สะดีดสะดิ้งถูกใจวัยรุ่นมาก เป็นอีกวงหน้าใหม่ที่น่าติดตามมาก วงนึงเลย

ได้เวลาของวงสุดท้ายกันแล้ว Buddhist Holiday วงร็อกแอนด์โรล สโตนเนอร็อก และโฟล์ก ที่ไม่ได้หาดูกันได้บ่อย ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาเล่นในงานของ ฟังใจ หลังจากรอคอยมานาน (เห็นพี่เขาว่างี้) โดยเริ่มกันที่เพลงแรกแบบไม่รอช้า กับ ฉันยังมีความสุข โห โยกกันตั้งแต่เพลงแรก ต้องบอกว่าเพลงนี้ช่วยชีวิตเราในช่วงที่ยากลำบากให้ผ่านพ้นมาได้ รวมถึงเพลง ไม่ใช่ ที่วนอยู่ในหัวทั้งวันและช่วยปลอบประโลมจิตใจได้ดีมาก แล้วก็มันกันต่อเนื่องที่ ภาพที่ไม่เคลื่อนไหว แฟนเพลงหน้าเวทีทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งการสะบัดหัวแบบไม่แคร์สื่อและการร้องตาม ต่อด้วยเพลงโฟล์กชื่นฉ่ำหัวใจอย่าง ในสวนดอกไม้ แล้วจึงเป็นเพลงสุดดิ่งอย่าง ความรู้สึก ก็ทำเอายืนนิ่งไปพักนึง แล้วจึงกลับมาที่เพลงที่ชวนให้ปลดปลงได้อย่าง วาง กับท่วงทำนองที่ปลุกพลังอย่างที่สุด ตามด้วยเพลงเท่ ที่แฟนเพลงช่วยกันร้องอีกเพลง ดวงดาวลอยคว้าง และอีกเพลงดิ่งแต่มันมาก ในช่วงท้ายนั่นคือ เสียงของการจากลา เท่านั้นไม่พอครับ ช้ำไม่พอ ต่อด้วย วันสีเทา โอ้ย รวดร้าวมาก แต่ก็ดึงกลับมาให้มีหวังกันนิด กับเพลง ยังไม่เจอ ก่อนจะปิดท้ายกันไปอย่างงดงามในเพลง นาฬิกา ที่แฟนเพลงแถวหน้าพากันกอดคอกระโดดร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ตอนจบโชว์ก็จับมือกอดคอทำความรู้จักกัน เป็นภาพแบบที่เราเคยเห็นตอนงานอินดี้เล็ก เมื่อก่อน และยังชวนคิดถึงบรรยากาศงาน Stone Free ตอนนั้นประทับใจมากจริง

ก็สรุปได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตเฉพาะแนวที่คนอินกับสายนี้จริง คงปลื้มปริ่มไม่น้อยเพราะทุกวงเขาเต็มที่จริง แต่โดยรวมแล้วอาจจะฟังยากไปหน่อยสำหรับคนหมู่มาก ไม่เป็นไรก็ทยอยศึกษา ทยอยเสพกันไป เรื่องรสนิยมมันบังคับกันไม่ได้แต่ถ้าใครสนใจก็เชียร์ให้ลองดู อันที่จริงงานนี้มีวิชวลไลท์ติ้งที่ดีงามมาก ลืมเล่าไปเลย คือเขาก็จะมีจอใหญ่ LED ข้างหลังที่ฉายวิชวลสุดเมาประกอบเพลง ของ Chladni Chandi นี่อย่างหนืด ส่วนของ Cloud Behind ก็สี vivid มาก ดูเพลินแบบแทบไม่ต้องเติมน่ะเอ้อ

Fungjai Lab

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้