ซดข้าวหอมย้อมใจใน Fungjai Lab² กับ Zweed N’ Roll, Death of Heather, Inspirative และ Solitude is Bliss
- Writer: Montipa Virojpan and Donratcharat Phromsoonthornsakul
- Photographer: Tas Suwanasang
มาถึงวิชาที่ 2 ของห้องเรียน Fungjai Lab² x ข้าวหอมสุขเพียว ๆ กันแล้ว พบกับ BLACK MAGIC 101 : ไสยศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ร่วมด้วย 4 วงดนตรีที่มาในฐานะครูฝึกสอนให้เราได้ซึมซับความมืดหม่น หนักหน่วง ดุดันในเสียงเพลง ทั้ง Zweed N’ Roll, Death of Heather, Inspirative และ Solitude is Bliss รับประกันว่าทุกวงจะกระชากจิตวิญญาณของคุณที่หลับใหลอยู่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
24 สิงหาคม 2562
บรรยากาศด้านหน้า Glowfish Office คึกคักตั้งแต่ช่วงที่ประตูเปิด เรายังคงมีสินค้า official จาก What I Wear คอลเล็กชัน Fungjai Music Club มาให้ได้เลือกซื้อกันทั้งไฟแช็กและกระเป๋า sacoche สุดน่ารัก เพิ่มเติมมาด้วยเสื้อ over-sized ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน (ใครที่ยังไม่ได้จับจองเป็นเจ้าของ มาช็อปได้อีกรอบในวิชาที่ 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันเสาร์นี้นะจ๊ะ) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม ‘ล้วงไหแม่นาค’ ให้ชิงของรางวัลพิเศษกันอย่างเช่นเคย
จนเวลาทุ่มตรง วงแรกอย่าง Zweed N’ Roll ก็ขึ้นประจำที่บนเวที พร้อมเปิดด้วย intro บรรยากาศล่องลอยแต่ดุดัน ก่อนตัดเข้าเพลงสุดหวาน Always ที่แค่กีตาร์โปร่งต้นเพลงขึ้นมาคนก็หวีดร้องถูกอกถูกใจ ต่อกันเลยกับ You ซิงเกิ้ลล่าสุดของพวกเขาที่เมโลดี้งดงามฟังแล้วต้องเผลอยิ้มตามตลอด แล้วก็เป็นเพลง ธันวาคม ที่จริง ๆ แล้วก็เป็นเพลงรัก แต่ท่วงทำนองเพลงนี้เศร้าหน่วงจนคนคิดว่าเป็นเพลงอกหัก ฮือ
จากนั้นพวกเขาก็เล่นเพลงจากโปรเจกต์ Crossplay โปร่ง งานคัฟเวอร์ของ Slur ที่คนดูช่วยกันร้องอย่างพร้อมเพรียง (จริง ๆ ก็ร้องเสียงดังฟังชัดกันตั้งแต่เพลงแรกแล้วแหละ) ต่อด้วยเพลงดาร์กของจริงใน Linger และ Another Dimension เพลงสุดเท่แรก ๆ ของพวกเขาที่ปล่อยมาให้ได้ฟังกัน ก่อนจะจากกันไปแบบซึม ๆ ในเพลงฮิต ช่วงเวลา แล้ววงก็ขอถ่ายรูปกับคนดูก่อนลงเวทีไป
จากนั้นก็ถึงคิวของ Death of Heather วงหน้าใหม่สายดรีมป๊อป ชูเกซ ที่กำลังมีผู้ติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าวิชวล ไลท์ติ้งในโชว์ของวงนี้เท่มาก เป็นพื้นหลังมืด ๆ แล้วก็มีไม้กางเขนเรืองแสงโผล่มาสามสีสุดเท่ แล้วซาวด์ของวงก็มีความอินเตอร์อยู่ด้วย ชวนนึกถึงบรรยากาศดิบ ๆ ใน live house เมืองนอก เปิดมาด้วย fuzz ดุดัน โชว์ของวงแข็งแรงขึ้นกว่ารอบก่อนหน้ามาก ๆ กลองเร้า ๆ กีตาร์หูพร่า ก่อนตัดมาหน่วง ๆ สไตล์ post punk 80s
แล้วจึงเป็นกีตาร์ทู่ ๆ เมโลดี้แปลก ๆ ของ Molly ตามด้วยโพสต์ร็อกพร่า ๆ กับแบ็กกราวด์ของพระจันทร์อาบสีเลือดใน She’s Not There ต่อไปก็เป็นเพลง dream pop ฟังสบายโยก ๆ เพลงใหม่ชื่อ Brighter กับ และเพลงยังไม่มีชื่อในอัลบั้มเต็มที่กำลังจะได้ฟังกันเร็ว ๆ นี้ เป็นเพลงแบบ DIIV เล่นวนลูป มาในธีมไฟสีน้ำเงินกับป่าลึกลับ ตามด้วย In Me เพลงใหม่อีกเช่นกัน ได้ฟีลแบบ Beach Fossils หน่อย ๆ ก่อนจะเล่นเซ็ตรวมฮิตของวงคือ Mind, I Can Tell และ Drown เป็นอันเสร็จพิธี จบจากโชว์นี้พวกเขาน่าจะได้แฟนคลับใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นไปอีกหลายคนเลย
หลังจากได้ขยับเส้นขยับสายกับ Death of Heather ไปแล้ว ก็มาถึงช่วงเวลาที่เราจะดำดิ่งไปกับอีกหนึ่งวงโพสต์ร็อก เบอร์ต้นของวงการ เปิดตัวมาด้วยเพลง Will We Meet Again แล้วต่อด้วย Station of Midway ภายในฮอลปิดไฟลงจนมืดเกือบสนิท เหลือเพียงแต่ไฟจากวิชวลสีขาว ๆ พาคนฟังไหลไปกับดนตรีชวนให้เหงา แต่ไม่เหงาเพราะคนในฮอลแน่นมาก ตั้ม นักร้องนำ พูดกับคนดูว่า “ดีใจที่คนเยอะมากพวกเราไม่ได้เล่น แบบที่มีคนดูเยอะมานานแล้ว” พร้อมทั้งฝากมือเบสหน้าใหม่ของวง จูเนียร์ ให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้เขาด้วย
ต่อด้วย อุโมงค์เวลา เพลงที่ใคร ๆ ก็ต่างประทับใจทุกครั้งที่ได้ฟัง ตามมาด้วย Mainland และ พื้นที่ว่าง พอจบเพลงก็ชวนทุกคนชนแก้ว และส่งต่อด้วยเพลงสุดท้ายอย่าง Beach Road Lights ที่พอเพลงขึ้น ทุกคนก็พร้อมใจกันตบมือให้จังหวะตามกลอง พอถึงช่วงกลางของเพลงทุกคนก็พร้อมทิ้งหัวทิ้งตัวกันแล้ว เป็นโชว์ที่ประทับใจมาก ๆ อีกหนึ่งวง และขออัพเดตว่าตอนนี้ เอม มือกลอง กลับมาประจำการแบบเดิมแล้วนะจ๊ะ อยากทำวงแล้ว ไม่บินแล้ววว
ปิดท้ายคาบเรียนด้วยวงดนตรีอัลเทอร์เนเทิฟร็อกจากเชียงใหม่ ที่เราไม่เคยมีข้อกังขากับคุณภาพของวงนี้ เพราะเล่นกีทีก็ยิ่งดี ยิ่งเท่ จะโชว์สเกลเล็ก สเกลใหญ่ ก็เอาคนดูอยู่ตลอด แถมมีเซอร์ไพรส์มาฝากทุกครั้งจริง ๆ เช่นกันกับรอบนี้ที่ Solitude is Bliss ไม่ทำให้ผิดหวัง เปิดมาด้วย intro ปลุกอารมณ์ก่อนเข้าเพลงใหม่ เพียงสิ่งเดียว เมโลดี้ใส ๆ ฟังง่ายแต่มีท่อนดรอปที่กลองหน่วง ๆ กับใส่ไลน์ร้องประสานทำให้กลมกล่อม ก่อนจะส่งเข้า interlude สั้น ๆ ชื่อ ฝัน ให้ฟีล Thom Yorke แบบ เท่ ๆ เมโลดี้ประหลาด ล่องลอย เพื่อเป็นน้ำจิ้มเข้าสู่เพลงสุดหลอน 3.00AM ที่คนดูร้องเฮลั่น อาจเพราะทั้งดีใจที่ได้ฟังเพลงที่ชอบ และน่าจะเพราะฤทธิ์ของน้ำเขียววิเศษในมือ ท่อนโซโล่นี่ขยี้พลังพุ่งพล่านจนลืมความเหงาซึมในเนื้อเพลงไปโดยปริยาย ตามด้วยเพลงหนึ่งชั่วโมงต่อมา (4.00AM) แบบไม่ต้องว่าความกันมาก เปียโนขึ้นมาพร้อมเสียงเฮอีกครั้ง กับท่อนโซโล่ที่เหมือนจะรีอะเรนจ์ใหม่
จากนั้นก็เล่นเพลง กระดาษ เพลงประจำใจวัยรุ่นทุกคน กับเสียงกีตาร์คลีน ๆ ชวนฝัน ใส่ซินธ์เบส ตึบ ๆๆๆ เข้ามาก่อนเข้า verse 2 เท่บ้าบอ ต่อด้วย Vintage Pic กับแค่สองประโยคสุดขลัง ‘ภาพที่ทำให้ฉันไม่รับไม่รู้ถึงวันเวลา’ ภาพที่ทำให้ฉันอ่อนวัยและลืมแม้กลิ่นสุรา’ แม้เป็นเพลงที่นานแล้วแต่ก็ยังทรงพลัง มีท่อนนึงเป็นอิเล็กทรอนิกลูปแปลกมากสำหรับวงนี้ เชื่อมเข้าเพลง พิราบ ที่กลองกับกีตาร์เล่นประสานกันขึ้นมาน้อย ๆ กลายเป็น surf rock 70s สุดมัน แล้วเชื่อมเข้า ระบายกับเสียงเพรียก คีย์บอร์ดฟังกี้เท่สุด ๆ ท่อนโชว์สกิลรอบนี้มีความล่องลอย อวกาศ พ่วงด้วยท่อนที่สำแดงพลังอิเล็กโทรร็อกเข้ามาให้โดดกันยับ เท่มาก แต่ก็ไม่ลืมจะให้มีช่วงพักหายใจ คือมีพาร์ตเปลี่ยนอารมณ์ในเพลงเยอะมาก วาไรตี้สุด ๆ ตามด้วย Rich Man’s War Poor Man’s Blood ให้เดือดไปกับร็อกเท่ ๆ แต่ความมันยังค้างเติ่งอยู่ขนาดนี้ก็ไม่มีใครยอมให้ลงเวทีได้ง่าย ๆ ทุกคนอังกอร์ให้พวกเขาเล่นต่อ วงเลยจัด Don’t Expect Me มาให้เป็นเพลงส่งท้ายสำหรับค่ำคืนนี้
โอ้ยยยย หมดแรง! มีความสุขมากกับการได้ฟังดนตรีหนัก ๆ จากทั้งสี่วงในวันนี้ เป็นการฟูลฟิลสิ่งที่ไม่ได้ฟังมาพักใหญ่ ๆ พอสมควร ยังเหลือกันอีกหนึ่งวิชาให้ไปตามเก็บหน่วยกิตกันนะนักเรียนใน Fungjai Lab² x ข้าวหอมสุขเพียว ๆ MODERN THAI DANCE 101 : รำวงไทยสมัยใหม่ พบกับ TaitosmitH, The Paradise Bangkok Molam International Band, เขียนไขและวานิช และ จุลโหฬาร เด็ด ๆ ทั้งนั้น ไม่อยากให้พลาดกันเดี๋ยวจะสอบตก ไม่มีสอบซ่อมแล้วนะ แล้วเจอกัน!