งานอะคูสติกโฟล์กล่องลอยพาฝันที่งาน FREEDOM FLY 1.5 presented by BIRD SOUND RECORDS
- Story and photos by Geerapat Yodnil
31 สิงหาคม 2560
เป็นครั้งที่ 2 แล้วกับงาน Freedom Fly ปาร์ตี้จากหนึ่งในค่ายเพลงที่จัดงานบ่อยที่สุดในปีนี้อย่าง Bird Sound โดยรอบนี้พวกเขาได้ชวนศิลปินพี่น้องร่วมค่ายมาร่วมกันเปลี่ยนสไตล์เพลงจากความเกรี้ยวกราดสู่ความผ่อนคลายด้วย acoustic set ซึ่งบอกได้เลยว่าน่าสนใจทั้งคอนเซปต์และวงที่มาเล่นในงานเลย
กำหนดการของงานวันนี้คือวงแรกเล่นตอนหนึ่งทุ่มตรง แต่จะมีวงเปิดก่อนหน้านั้นตอนหกโมงเย็น (ซึ่งจะเป็นใครก็ขอให้อดใจรออ่านในบรรทัดต่อไป) เรามีธรรมเนียมการไปดูคอนเสิร์ตของตัวเองอย่างชัดเจนว่าจะต้องไปก่อนงานเริ่ม 30 นาทีเสมอ เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ไม่เคยห้ามใจตัวเองเพื่อเสียเงินให้กับ merhandise ของศิลปินได้เลย แต่หนนี้ ถึงแม้เสื้อของวง Dead Flowers จะงามหยดแค่ไหน กระเป๋าตังค์มันดันว่างเปล่าเสียจนซื้ออะไรไม่ได้ต่างหาก
แต่ไป ๆ มา ๆ หนนี้เราเดินทางมาถึงก่อนงานเล่น 15 นาที ซึ่งไม่ถือว่าเสียหายอะไรเพราะนั่นทำให้เราได้ดู Desktop Error ซาวเช็กด้วยล่ะ : )
นี่เป็นครั้งแรกในการมาสถานที่จัดงานอย่าง Bardeni : Bar And Bistro ก่อนงานเริ่มจึงใช้เวลาเดินสำรวจดูรอบ ๆ ก็พบว่าภายในของร้านดูหรูหราด้วยโคมไฟที่โดดเด่น พูดได้เลยว่าโรแมนติก
นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 1 ทุ่มนั่น openning act ปริศนาจึงเริ่มบรรเลง เขาคือ Thom Aj. Madson แต่ถ้าเรียกว่า พี่ต้อม วิมุตติ หรือ อัศจรรย์จักรวาล ทุกคนคงจะอ๋อมากกว่า ซึ่งพี่ต้อมก็มาใน costume กรุยกรายที่คุ้นเคย เรามีความหวังว่าพี่ต้อมจะดึงพลังทำลายล้างอย่างที่ใช้ในวง วิมุตติ มาใช้ในตัวตนนี้ด้วย และแล้วเพียงช่วงเวลาไม่กี่นาทีหลังจากโน้ตตัวแรกบรรเลง เราก็ตกเข้าสู่ภวังค์ของเขาโดยทันที ความพิเศษของเขาก็คือการที่สามารถเล่า ambient จากการ loop และสังเคราะห์ซาวด์กีตาร์ได้อย่างชัดเจนและเป็นเรื่องราวมาก ๆ รู้สึกเหมือนมีผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานานหยิบเอาประสบการณ์ที่แสนส่วนตัวของตัวเองมานั่งเล่าให้ฟัง ส่วนเพลงที่ 2 สำหรับเราคือลางบอกเหตุว่าคนฟังจะถูกดึงดิ่งลงไปในความรู้สึกเรื่อย ๆ จนไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับขึ้นมาได้อีกเมื่อไหร่ แต่เราคิดผิด พี่ต้อมปลดปล่อยเราจากความมืดหม่นของสองเพลงแรกด้วยเพลงสุดท้ายที่เป็นโทน major สดใส (พูดแบบไร้ทฤษฎีเลยว่าคอร์ดเพราะจริง ๆ) และสุดท้ายก็จบโชว์ของตัวเองลงพร้อมกับสร้างความประทับใจให้เรา
ได้เวลาของวงแรกตามไลน์อัพ ถ้าคุณติดตาม Bird Sound มานานพอ คุณก็จะรู้จัก West Of East ต้องขอเล่าย้อนกลับไปนิดนึงก่อนว่า แทบทุกวงในวันนี้เราใช้เวลาทำการบ้านโดยการฟังเพลงของพวกเขามาแล้วทั้งสิ้น และวงนี้ก็เป็นวงที่เราเชื่อว่าถ้าถูกเอามาทำอะคูสติกน่าจะดี เพราะมีพาร์ตอะคูสติกที่โดดเด่นมาก ซึ่งพอวงเริ่มเล่นด้วยการถอดอุปกรณ์ดนตรีที่เป็นอิเล็กทรอนิกทิ้งไปทั้งหมด West Of East ก็กลายเป็นวงโฟล์กร็อกชั้นดีโดยทันที คือตัววงอาเรนจ์เพลงตัวเองได้ดีมาก ทั้งวิธีการร้อง พาร์ตกีตาร์และริธึมของกลอง เพลงใหม่ที่ชื่อ รักในนิทาน เพราะมาก ไม่รู้ว่าต้นฉบับเป็นยังไงนะ แต่ฉบับนี้เพราะจริง ๆ) ดีใจที่วงเล่น เสียงนก ด้วย แต่ที่ดีใจยิ่งกว่าคือการปิดท้ายด้วยคัฟเวอร์เพลง ชีวิตนักดนตรี ของสนิมหยก
จู่ ๆ จำนวนคนก็เพิ่มขึ้นมามากมายอย่างผิดหูผิดตา ซึ่งนั่นแสดงถึงความเป็นที่จับตามองของ สหายแห่งสายลม หนึ่งในวงที่เราอยากดูมากที่สุดของงานนี้ พอเวลาเดินเรื่อยมาจนถึงตอนสองทุ่มเศษ ๆ พวกเขาก็ขึ้นเวที สิ่งแรกที่ทำให้เราตกใจคือตัววงมี acoustic set ที่หลากหลายมาก เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นสร้างความสงสัยใคร่รู้ของเราว่าพวกเขาจะบรรเลงออกมายังไง นาฬิกาตีบอกเวลา 2 ทุ่ม 40 พร้อมกับการบรรเลงครั้งแรก โอ้โห ทุกอย่างมันดีขนาดที่เราเชื่อว่าใครได้มาดูก็จะประทับใจ ดนตรีของสหายแห่งสายลมให้ความรู้สึกที่ ‘ขลัง’ ของความเป็นดนตรีที่มีกลิ่นอายไทยผสมกับดนตรีต่างชาติที่หลากหลายอย่าง blue grass หรือ surf เป็นต้น ซึ่งเป็นความ contemporary ในความอะคูสติกที่ลงตัวเหลือเกิน นี่คือวงอะคูสติคที่แตะลิมิตสูงสุดของความเป็นอะคูสติกที่สุดที่เราเคยดูมาเลย อีกทั้งยังวางลิสต์เพลงให้ลำดับอารมณ์ได้อย่างดี พร้อมการเซอไพรส์ชวน พี่เอก Zero Hero มาเล่นเพลง โลกกว้างใจแคบ และปิดท้ายด้วยเพลง ดีแล้ว ที่แฟนคลับของพวกเขาน่าจะรู้กันดี พอเพลงจบลงเราก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ดูสหายแห่งสายลม
หลังจากพักหายใจหายคอกันได้ประมาณ 20 นาที ตอนนี้ก็เป็นเวลาของ Alone Tournament แล้ว วงเริ่มวินาทีแรกของโชว์ด้วยการเล่นเพลง ริมทะเล เพื่อยืนยันถึงความเป็น surf pop ที่จะพาคนฟังล่องลอยไปด้วยเสียงเพลงแห่งคลื่นทะเลตลอดโชว์ และใจของเรามันก็หลุดลอยไปอย่างนั้นจริง ๆ Alone Tournament ได้พาเราเดินชมชายหาดยามค่ำคืนที่ดวงจันทร์ใหญ่โตและสุขสกาวกว่าวันไหน ๆ อย่างเงียบเชียบ และก่อนจะจากกันไปพวกเขาก็ได้ชวนหัวเรือใหญ่ของค่ายอย่างพี่เบิร์ดขึ้นมาเล่นกีตาร์ lap steel ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชายหาดของเราในครั้งนี้สวยงามและน่าจดจำตลอดไป
ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงท้าย ๆ ของงานแล้ว ก็ถึงเวลาของ Desktop Error ที่เป็นวงที่เรารอคอยที่สุดในค่ำคืนนี้ พอพวกเขาเริ่มเล่นก็ทำให้เวลานี้กลายเป็นตอนที่คนเยอะกว่าช่วงไหน ๆ ของวันไปโดยทันที และนี่คือวันที่ Desktop Error ยอมให้เราเข้าไปในพื้นที่ของวงได้ไกล้ที่สุดแล้ว พวกเขาได้สลัดความเกรี้ยวกราดที่เคยเป็นจนหมดสิ้นและสร้างพื้นที่แห่งความล่องลอยขึ้นมาแทน เป็นอะไรที่เราไม่เคยเจอในเล่นสดของพวกเขา ในตอนสุดท้ายของโชว์ บุคคลที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เจอก็คือ อรอรีย์ แขกคนพิเศษที่มาปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝัน เพลงที่เธอร้องก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจอีกครั้ง เพราะมันคือ น้ำค้าง และ มากกว่า หนึ่งในเพลงดังที่สุดของทั้งคู่ แต่ก่อนที่อรอรีย์จะลงจากเวทีไปคนก็พากันอังกอร์เพลง ระหว่างเรา และทุกคนก็ไม่ผิดหวังเมื่อเธอร้องมันจริง ๆ โชว์ถูกปิดท้ายด้วยการกลับยานแม่จาก ต่างด้าว และจากพวกเราไปในเวลา 23:50 น.
สองวงสุดท้ายต่อจากนี้ เริ่มจาก Abandoned House ที่เราไม่เคยฟังเพลงเขามาก่อนเลย พอเที่ยงคืนปุ๊บ พวกเขาก็เริ่มบรรเลง ซึ่งส่งผลกระทบให้ตัววงกลายเป็นหนึ่งใน underrated band ที่น่าจับตามองที่สุดวงหนึ่งของเราในปีนี้ ความอะคูสติคในดนตรีของพวกเขาโดดเด่นด้วยเสียงร้องของนักร้องนำที่ทั้งมีเสน่ห์และทรงพลังในเวลาเดียวกัน พาร์ตดนตรีของวงเปรียบได้กับคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายจนแข็งแกร่ง มั่นคงและไม่โอนเอนไปตลอดการเดินทาง แต่กลับมีความอ่อนไหวภายในแบบที่มองไม่เห็นจากภายนอก เพลงของเขามีความเย็นยะเยือกอยู่สูงจนทำให้เราคิดถึงวงแถบไอซ์แลนด์อย่าง Kodaline และ Seafret เพลง นิทานหิ่งห้อย ของวง เฉลียง ในแบบของ Abandoned House คือเพลงที่เปล่งประกายสว่างที่สุดในคืนนี้ของเรา และเพลงที่ชื่อว่า บ้านร้าง ก็เป็นเพลงปิดโชว์ที่โขมยทุกความรู้สึกแย่ ๆ ไปจากเรา แล้วแทนที่ด้วยความหวังที่ทำเราตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา และนี่ก็คือช่วงสุดท้ายของ Freedom Fly 1.5 กับวงที่ใช้ชื่อว่า Dead Flowers เราค่อนข้างตื่นเต้นว่าเพลงต้นฉบับที่หนักขนาดนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน หลังจากที่สมาชิกทุกคนในวงขึ้นเวทีจนครบแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นวงที่ใช้กีตาร์เยอะที่สุดของงานไปโดยปริยาย สิริรวมทั้งหมด 4 ตัว เนื่องจากคุณแม่ของมือเบสของทางวงเสียชีวิตกะทันหัน พี่เบิร์ดจึงรับหน้าที่เล่นแทน (ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วยครับ) ในวันนี้เพลงของ Dead Flowers คือการสอนให้เข้าใจโลกด้วยการมองดูมันอย่างช้า ๆ ชัด ๆ พาร์ตดนตรีของพวกเขาสุจริตและจริงใจกับคนฟังมาก เมโลดี้ก็สวย มีบางช่วงที่แอบนึกถึงวงในปี 60s อย่าง The Beatles เป็นอีกครั้งที่วงของ Bird Sound เซอไพรส์คนฟัง เล่นใหญ่ด้วยการพา พี่เล็ก พราว มาร่วมโซโล่เมาท์ออร์แกน และไม่ลืมที่จะร้องเพลงชาติของเด็กอัลเตอร์อย่าง เธอคือความฝัน และแถมเพลง หัวใจ กับ วันไร้สมอง ให้กรี๊ดกันไป Dead Flowers พลิกกระดาษหน้าสุดท้ายของงานด้วย รุ่งอรุณ เพลงที่สร้างไฟในการใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้แก่ทุกคน และแล้วทุกอย่างก็จบลงในเวลาเกือบ ๆ ตีสองได้
นอกจากคอนเซปต์ของงานที่เจ๋งมาก ๆ แล้ว ความตั้งใจของทุกวงในวันนี้ก็เจ๋งไม่แพ้กันเลย เป็นงานอะคูสติกที่เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดที่เคยดูมา มีทั้งความหลากหลายและแฝงไปด้วยความเซอไพรส์ในทุกโชว์ ขอเป็นกำลังใจให้ Bird Sound Records จัดงานดี ๆ อย่างนี้ต่อไป ไว้ไปสนุกด้วยกันใหม่ใน ระเห็ดเตร็ดเตร่ ครั้งหน้า จนกว่าจะพบกันครับ : )