เติมเต็มฝันวัยเด็กกับคอนเสิร์ต Fall Out Boy ที่สิงคโปร์
- Writer: Malaivee Swangpol
- Photographer: Elliott Ingham
30 เมษายน 2561
หลังจะตะลุย ระเห็ดเตร็ดเตร่ มาสองงาน ก็มาถึงงานที่รอคอยมาทั้งชีวิต ฟังดูเหมือนเว่อ แต่จริง! คนมันอิน นั่นก็คือการได้ไปดู Fall Out Boy สด ๆ สักครั้งในชีวิต ซึ่งเราก็ได้เปย์ทั้งค่าตั๋วคอนเสิร์ต ตั๋วเครื่องบิน และโรงแรมจนหมดตัว ฮือ ๆ แล้วการเดินทางครั้งนี้ของเราคุ้มไหมนะ ตามมาอ่านกันเลยจ้า
สถานที่เล่นคอนเสิร์ตในวันนี้คือ Zepp@Big Box ตั้งอยู่ที่สถานี Jurong East ไกลแบบเกือบสุดเกาะสิงคโปร์เลยทีเดียว ตอนแรกที่เดินเข้าไปตามทางเชื่อม เราเริ่มไม่มั่นใจว่าที่นี่คือที่จัดคอนเสิร์ตจริง ๆ หรือเปล่า ด้วยตัวอาคารที่เป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ และสีของห้างที่ทำให้เรานึกว่ากำลังเดินเข้าบิ๊กซี ในขณะนั้นเองป้ายฮอลขนาดใหญ่ที่มองเห็นแต่ไกลก็มาสะดุดตาเรา งั้นคงมาถูกที่แล้วล่ะ เรามาถึงก่อนเวลางานนานพอสมควรเลยได้แวะเข้าไปซื้อเสื้อวงก่อนจะลงมาหาอะไรกิน ซึ่งขณะนั้นในเวลาหกโมงนิด ๆ (คอนเสิร์ตเริ่ม 2 ทุ่ม) คนก็มาต่อแถวเป็นจำนวนเยอะพอสมควรแล้ว
ก่อนสองทุ่ม เรากลับขึ้นมาที่ฮอลเลยได้เจอเจ้าลามะสองตัว จาก mv เพลง Last of the Real Ones ที่พอมายืนในชีวิตจริงคือโคตรน่ารัก พอเดินเข้าไปในฮอลก็พบว่าฮอลนี้ใหญ่ใช้ได้เลย ประมาณไบเทค บางนา ซึ่ง ณ เวลาสองทุ่มตรง ก็มีภาพฉายขึ้นมาด้านหลังเวทีเป็นรูปคลื่น หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ คลื่นนั้นก็เริ่มนับถอยหลัง จนกระทั่งถาโถมมาใส่เรา แล้วกลายเป็นเพลง The Phoenix กับ vtr ด้านหลังเป็นภาพการแข่งรถในสนามแข่ง ขึ้นมาเพลงแรกก็โคตรเท่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เซ็งมากคือทุกคนพร้อมใจกันยกมือถือมาถ่ายจนบังไปหมด แล้วเราดันมายืนตรงดงมือถือพอดี ต่อกันเลยด้วย Irresistible กับภาพธรรมชาติด้านหลัง ซึ่งจบเพลง Pete Wentz มือเบสออกมาพูดทักทายแฟน ๆ ถ้าใครเคยตามดูวิดีโอเก่า ๆ ก็จะรู้ว่า Patrick Stump นักร้องนำของวงจะแทบไม่พูดอะไรเลย แล้วปัจจุบันก็ยังเป็นงั้นอยู่จ้า เข้าสู่เพลงที่สามกับจังหวะที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับ Sugar, We’re Going Down ที่วงหยุดให้แฟน ๆ ตะโกนท่อนแรก ‘Am I more than you bargained for yet?’ จังหวะนั้นน้ำตาเราก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว คือเพลงนี้เป็นเพลงที่เราแกะเพื่อเล่นมาตลอดชีวิต พอมาฟังสด ๆ ขนาดซาวด์ไม่ได้ดีมากยังฟิน ร้องไห้ตั้งแต่ต้นเพลงจนจบเพลงแบบหยุดไม่ได้ ใครอินเพลงอะไร วงไหน อย่าลืมหาโอกาสไปร้องไห้ในคอนเสิร์ตกันสักครั้งนะ
ตามมาติด ๆ กับ Immortal ที่ประกอบภาพยนตร์ Big Hero 6 การ์ตูนแอนิเมชันของดิสนีย์ ซึ่งวงก็ใช้คลิปภาพจากภาพยนตร์มาประกอบ จบเพลงพีทก็ออกมาพูดบ่น ๆ อะไรก็ไม่รู้ คือระบบเสียงแย่มาก ฟังไม่ค่อยทัน จับใจความได้แค่ว่า “You gotta stay frosty!” แล้วก็ขึ้นเพลง Stay Frosty Royal Milk Tea เพลงซิ่ง ๆ ชวนเต้น แต่ไม่มีใครเต้นเลยจ้า บนจอเป็นรูปเจ้าลามะสองตัวมาเล่นละครกันแบบวายป่วงมาก ตามด้วย Centuries เพลงเวิร์ล ๆ กับภาพรูปปั้นกรีกเท่ ๆ ซึ่งก่อนจะขึ้นเพลงใหม่พีทก็บอกว่า “มันนานแล้วนะตั้งแต่เรามาที่นี่ ตอนทัวร์ปี 2013” ซึ่งพอไฟเปิดขึ้นมาอีกครั้ง แพทริกก็อยู่ที่แกรนด์เปียโนกับภาพโลโก้วงที่ฉายขึ้นด้านหลัง ทำให้เพลง Save Rock And Roll เวอร์ชันนี้อลังการขึ้นไปอีก ช่วงประสานท้าย ๆ เพลง Andy Hurley มือกลองยืนร้องบนเก้าอี้กลอง ซึ่งเป็นครั้งเดียวของคืนนั้นที่เราได้เห็นเขาขยับตำแหน่งระหว่างโชว์นอกจากเดินเข้าออกเวที จากนั้นก็เป็นเพลง Last Of The Real Ones ที่พีทแนะนำว่าพวกเขาเขียนเพลงนี้ขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่มีพลังมากที่สุดในจักรวาล นั่นคือความรักนั่นเอง ความเศร้าคือเพลงนี้วงเล่นเหลื่อม ๆ กันเองหน่อยนึง ไม่แน่ใจว่าเป็นที่มอนิเตอร์หรืออะไร แต่ฟังแล้วอึดอัดมากเลยฮือ ปิดช่วงเปียโนด้วย Young And Menace ที่แพทริกร้องคนเดียวกับเปียโน คือเพราะมาก ๆ แถมสามารถทำเพลงดัปสเต็ปให้ออกมาเป็นเพลงเวอร์ชนอะคูสติกได้ โคตรเฟี้ยว ติดที่ไมค์หอนเป็นช่วง ๆ ความซึ้งหายไปนิด
ทั้งวงหายกลับเข้าไปหลังเวที แล้วมาเป็นแอนดี้โซโล่กลองกับเพลง HUMBLE. ของ Kendrick Lamar, Song 2 ของ Blur แล้วก็อีกเพลงจำไม่ได้จ้า ระหว่างการโซโล่ เขาสลับกับการตีเพลงฮิปฮอป าเป็นเพลงเมทัลสองกระเดื่องสุดเฟี้ยว ที่ถ้าใครตามโปรเจคเดี่ยวของเขาน่าจะเคยฟัง The Damned Things ซูเปอร์กรุ๊ปเมทัลที่ทำร่วมกับสมาชิกจาก Anthrax และ Every Time I Die จบจากช่วงนี้ ก็ไปเป็นเพลง Dance, Dance ที่ตอนแรกเรามัวแต่มองเวทีจนไม่ทันสังเกตว่าพีทมายืนตรง stage B ใกล้ ๆ เราเลย เป็นอีกเพลงที่เศร้าหนักมากเพราะว่าเสียงย่านเบสหายหมดเลย มองไปแทบไม่เห็นใครเต้น ทั้ง ๆ ที่เป็นเพลงที่เหมาะสมแก่การกระโดดสุด ๆ แต่สิ่งที่มาทดแทนได้คือเราได้ปิ๊ก เย่ ๆ สลับกลับไปอัลบั้ม M A N I A กับ Wilson (Expensive Mistakes) ที่มีท่อนชวนร้องตามอย่าง ‘I’ll stop wearing black when they make a darker color’ แล้วก็มาถึงเพลงชื่อดี ความหมายไม่ดี กับ Thnksfrthmmrs ก่อนที่วงจะพักสักครู่ ให้เจ้าลามะออกมาแจกเสื้อ บวกกับคุยกันว่า ‘this show isn’t suitable for children!’ ซึ่งถามว่า not suitable ยังไง ก็ด้วยการที่ vtr ในเพลง I Don’t Care แจก f*ck รัว ๆ เลยจ้า!! ทั้งมีม อีโมจิ ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว สมเป็น Fall Out Boy มาก ๆ เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่สนุกที่สุดในโชว์เพราะคนสนุกกันมาก ๆ ตามด้วย This Ain’t A Scene, It’s An Arms Races ที่คนร้องตามได้ดังมาก ๆ ด้วยความเป็นเพลงที่ร้องตามง่าย รวมทั้งมีความเนียนไปกับเพลงยุคเก่าและยุคใหม่
พีทแนะนำเพลงต่อไปว่า ‘เพลงนี้เป็นเพลงเกี่ยวกับความรักยุคใหม่ ที่เราแชตคุยกับใครสักคนแล้วเขาพิมพ์มา คุณเห็นว่าเขากำลังพิมพ์ แล้วเขาก็หายไป สักพักก็มาใหม่ วนไปอยู่อย่างนั้น’ ฟังแล้วขำเล็ก ๆ คนระดับพีทไม่น่าจะเจออะไรแบบนี้ แต่ก็อย่างว่า โลกยุติธรรมกับคนทุกคนอยู่แล้ว อิอิ แล้วก็ขึ้นเพลง Hold Me Tight Or Don’t ตามด้วย Grand Theft Autumn/Where Is Your Boy อีกเพลงเก่าที่คนก็ร้องตามได้ ซึ่งบน vtr เป็นเจ้าลามะมาเล่นเกม Fortnite อย่างได้อรรถรส ทิ้งท้ายไปก่อนอังกอร์ด้วย Church และ Champion ซึ่งวงก็หายไปพักใหญ่ ๆ จนคนเริ่มร้องเพลงเรียกวงออกมา เสียงแรกที่เราได้ยินคือกีตาร์ของ Joe Trohman มือกีตาร์สุดขรึมขยี้สายก่อนสมาชิกจะปรากฎตัวอีกครั้ง แพทริกชวนให้คนปรบมือตามเพลง Uma Thurman ตามด้วยเพลงไตเติ้ลแทร็ค American Beauty/American Psycho และ My Songs Know What You Did In The Dark (Light Em Up) กับวิชวลสีแดง ปิดท้ายไปด้วย Saturday ที่พีทปีนลงมาด้านล่างเวทีทักทายแฟน ๆ อย่างสนุกสนาน ซึ่งถ้าเขาว้ากตามเพลงด้วยจะยิ่งสุดมาก ๆ แต่แค่นี้ก็สนุกแล้ว ปิดท้ายไปด้วยการที่ทุกคนหายลงจากเวทีไปเหมือนหายตัวได้พร้อมกับเพลง All I Have To Do Is Dream โดย The Everly Brothers ซึ่งความกวนคือ มีคำขึ้นบนจอว่า ‘Maybe it was just a dream’ เหมือนจะปั่นคนดูว่าเราฝันไป เราไม่ได้ดูจริง ๆ แบบ โอ้ย ยอมแล้วจ้า
ถามว่าคุ้มค่าตั๋วไหม ถ้าเอากันตรง ๆ คือไม่คุ้มขนาดนั้น ซาวด์ไม่ได้ดีมาก ฟังแล้วไม่ฟิน วงแทบไม่เล่นกับคนดู ยิ่งเจอหน้าโจที่มายืนเล่นอึน ๆ พีทที่พูดพึมพำ ๆ มึน ๆ ก็แอบเซ็งใช้ได้เลย แต่ถามว่าเรื่องการเติมเต็มความฝันวัยเด็กยังไงมันก็คุ้มเสมอ ไว้มาดูแก้ตัวอีกนะ รัก 🙂