‘คน กีตาร์ ราชมัง’ เต็มอิ่มไปกับ 21 เพลงสุดประทับใจใน Ed Sheeran Divide World Tour 2019
- Writer: Donratcharat Phromsoonthornsakul and Pongtorn Klamdit
- Photographer: Fungjai interns
นับเป็นครั้งที่สองแล้วสำหรับ Ed Sheeran กับการเปิดคอนเสิร์ตในกรุงเทพ ฯ โดยรอบแรกในปี 2017 สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมมากมาย หนึ่งปีให้หลัง หนุ่มมากความสามารถกลับมาอีกครั้งพร้อมการขึ้นสนามราชมังคลากีฬาสถาน พร้อมวงเปิดสุดประทับใจ One OK Rock บรรยากาศในงานจะเป็นยังไง ระเห็ดเตร็ดเตร่ ไปพร้อมกันเลยจ้า
การจราจรสุดเป็นมิตรบนถนนรามคำแหงทำให้เราถึงงาน 6 โมงครึ่งพอดี เรามุ่งหน้าไปแลกบัตรเข้างานและเตรียมเข้าอย่างรวด เพราะเสียงประกาศภายในสนามบอกว่า วงแรกจะเริ่มแสดงในอีก 30 นาทีแล้วเราไม่มีวันจะพลาด special guest ในครั้งนี้อย่าง One OK Rock ไปโดยเด็ดขาด
19.15 ตรงตามเวลาเป๊ะ ไฟในสนามดับลงพร้อมเสียงกรี๊ดสนั่น เพราะเขาคือ 4 หนุ่มจากประเทศญี่ปุ่นนาม One OK Rock พวกเขาขึ้นเวทีมาด้วยพลังเต็มเปี่ยม เปิดโชว์ด้วย Push Back จากอัลบั้มล่าสุด แม้หลายคนจะไม่ถูกใจนัก แต่เชื่อเถอะ เวลาเล่นสดพวกเขาดึงพลังออกมาได้ดีเสมอตามด้วย Deeper Deeper เพลงสุดเดือดที่ทำให้เราโยกหัวตามอย่างเมามัน ก่อนได้รับเสียงปรบมือสนั่น เพราะแค่เพลงที่สองเพราะเขาก็แสดงความมันออกมาแล้ว ก่อนทากะจะกล่าวทักทายแฟนเพลงชาวไทย แล้วขยับจังหวะลงมาด้วยเพลงดังอย่าง Clock Strkies ต่อด้วย Head High เสียงร้องของทากะในการร้องเพลงช้าและโน้ตสูง ๆ เรียกเสียงกรี๊ดได้เสมอ Stand Out Fit In ชวนคนดูร้องตาม แม้เราจะสังเกตว่ามีหลายคนเหมือนกันที่ไม่ได้รู้จักพวกเขา ระหว่างโชว์ทากะเหมือนพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับหลังเวทีอยู่บ่อยครั้ง ไม่แน่ใจว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ก็เดินหน้าอัดเพลงฮิตอย่าง The Beginning ตามด้วย Mighty Long Fall ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงช้าในอัลบั้มล่าสุดอย่าง Wasted Night เรียกเสียงปรบมือจากคนดูอีกครั้ง ไม่ว่าคุณจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ แต่วันนี้ทุกคนได้ประจักษ์กับการเล่นสดของพวกเขาแล้ว 8 เพลงในวันนี้สร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนแน่นอน ก่อนส่งเข้าศิลปินที่ทุกคนรอคอยอย่าง Ed Sheeran
20.30 เราก็ได้พบกับ Ed Sheeran ที่เปิดตัวด้วยการโชว์ตัวเองขึ้นจอว่ากำลังวิ่งขึ้นเวที เมื่อเอ๊ดสะพายกีตาร์ก็เปิดตัวด้วยแทร็คที่ 2 ของอัลบั้ม Devide นั่นก็คือ Castle On The Hill
เป็นการเปิดตัวที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ดีมาก ๆ รวมถึงเราที่แอบคิดว่า one man show จะน่าเบื่อรึเปล่า กลับกรี๊ดตั้งแต่เพลงขึ้นแบบไม่รู้ตัวเลย ตามด้วยเพลงปลอบใจในวันที่เจ็บปวดอย่าง Eraser ก่อนที่จะพักคุยกับผู้ชม
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผมอยากกลับมาเล่นตลอดทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก็ไกลจากประเทศอังกฤษมาก ๆ ดีใจมาก ๆ และไม่คิดว่าจะมีคนมาดูเยอะขนาดนี้
ต่อด้วย The A Team เพลงจากอัลบั้ม + ของเขา ตามมาด้วย Don’t และ New Man ที่เขาเลือกที่จะ mash up แทนที่จะร้องเมดเลย์เฉย ๆ เป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีมาก
ก่อนที่จะพักดื่มน้ำ (คอนเสิร์ตนี้เอ๊ดดื่มน้ำทุกเพลงจริง ๆ อากาศร้อนมาก เหงื่อท่วม ใช้พลังเยอะเข้าใจเลยว่าคงเหนื่อย) และคุยกับผู้ชมต่อ
ถ้าผมร้อง คุณก็ต้องตะโกนออกมานะ ต่อให้ผิดหรือถูก ก็ตะโกนออกมาเลย!
หลังจากเล่นกับคนดูเสร็จก็ตามมาด้วยเพลง Dive ที่ เขาบอกให้ตะโกนเมื่อกี๊นี่แหละ เป็นเพลงเศร้าของ Ed Sheeran ที่คนดูทุกคนพร้อมกันตะโกนท่อน “Don’t call me baby unless you mean it. Don’t tell me you need me if you don’t believe it.” ประหนึ่งเป็นคนอกหักกันทั้งราชมังฯ
มาถึงช่วง Ed Sheeran’s Talk Show (จริง ๆ แล้วไม่มีช่วงนี้หรอก แต่เหมือนทอล์กโชว์มาก) เอ๊ดแซวคนมาดูนั่นเองจ้า บอกว่า “นอกจากคนที่มาดูเพราะชอบเขาแล้ว ก็ยังมีคนอีก 2 ประเภทที่ไม่ได้ชอบเขาแต่ก็ต้องมาดู นั่นก็คือ 1. มนุษย์แฟน 2. ยอดมนุษย์พ่อ” เอ๊ดแซวอย่างออกรสออกชาติ พร้อมทั้ง role play เป็นมนุษย์แฟนและยอดมนุษย์พ่อได้อย่างเหมือน รวมทั้งแซวตัวเองด้วยว่า ยอดมนุษย์พ่อน่ะต้องถามลูก ๆ ถึงเขาว่า “ทำไมเขาต้องไปอยู่ใน Game of Thrones ด้วยล่ะ?” แน่ ๆ ทำให้คนดูขำกันลั่น ยังไม่พอแค่นั้น เขายังคงแซวการจราจรของกรุงเทพ ฯ อย่างต่อเนื่อง
การจราจรที่กรุงเทพฯ นี่เอาเรื่องจริง ๆ ผมใช้เวลา 50 นาทีจากที่พักมาถึงที่นี่
แหม่ ถ้าเอ๊ดรู้ว่าพวกเราใช้เวลาเท่าไรบนถนนหนึ่งวันคงได้บ่นกว่านี้แน่ ๆ ต่อด้วย Bloodstream ที่มันมาก ๆ เอ๊ดเล่นกีตาร์แล้วเปิดลูปไว้ ท่อนโซโล่ที่ตบกีตาร์ตัวเองได้เท่มาก ใช้พลังหนักมากจริง ๆ ถูกใจแฟนคลับเอ๊ดมากแน่ ๆ
มาถึงตอนที่เอ๊ดจะเลือกเพลงเอง (Ed’s choices) แบบที่ไม่มีใน Setlist โดยมีด้วยกันทั้งหมด 5 เพลง ก็คือ Love yourself ของ Justin Bieber (ใครจะไปรู้ว่าเราจะได้ยินเพลงนี้ในคอนเสิร์ตของ Ed Sheeran กันล่ะเนี่ย) Tenerife Sea เพลงสุดจะหวานซึ้งจากเขาเอง โดยเอ๊ดขอให้ทุกคนเงียบ ให้ทุกคนแข่งกันว่าใครจะเงียบได้มากที่สุดในเพลงนี้ พร้อมทั้งยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากแล้วทำท่า ชู่ว ชู่ว คนดูก็เงียบมาก ๆ ได้ฟังเพลงนี้อิ่มเลยแหละ ตามมาด้วย Lego House เพลงจากอัลบั้ม + ที่เขาบอกกับคนไทยว่า ไม่เคยเล่นเพลงนี้ที่ประเทศอื่นในเอเชียเลย ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ได้ฟัง (เซอร์ไพรส์มากกกกกกก) ต่อกันด้วยเพลงหวาน ๆ อย่าง Kiss me และ Give me love ที่เล่นกับคนดูตลอดเพลง
กลับมาตาม setlist ต่อก็คือเพลง Galway Girl ที่เนื้อเพลงเยอะจนไม่รู้จะร้องยังไงให้ทันแต่ก็มันปากเหลือเกิน ชั้นสองกับชั้นสามเริ่มมีคนลุกขึ้นเต้นแล้วนะเพลงนี้
ต่อด้วยเพลง I See Fire จาก The Hobbit ที่สะกดคนดูได้ตลอดทั้งเพลง วิชวลข้างหลังเป็นมังกร Smaug จาก The Hobbit ด้วยนะ เท่มาก ๆ
ก่อนที่จะเริ่มเพลง Thinking Out Loud Ed Sheeran ได้พูดกับคนดูว่า “เสียงหายกันหรือยัง? ถ้าเสียงยังไม่หายแสดงว่าพวกคุณอยู่ผิดคอนเสิร์ตแล้วนะ” เพราะสิ่งที่เอ๊ดน่าจะต้องการที่สุดก็คือ ให้คนดูร้องดังกว่าที่เขาร้องในทุก ๆ เพลง อย่างที่เขาได้บอกไว้ตอนต้นของคอนเสิร์ต
ตามมาด้วย One และ Photograph ที่เป็นเพลงช้า ๆ ซึ้ง ๆ ตอนเพลง Photograph เราก็จะได้เห็นรูปเอ๊ดตอนเด็ก ๆ ด้วยนะ ด้วยความที่เพลงนี้ดังในประเทศไทย แน่นอนว่าเสียงร้องของคนดูก็ดังมาก ๆ เช่นกัน
ต่อด้วยเพลงรักสุดจะหวานซึ้งที่ใช้เปิดในแทบจะทุกงานแต่งแล้วอย่าง Perfect แค่อินโทรขึ้นคนดูก็กรี๊ดกันสนั่นพร้อมทั้งร้อง “I found a love fooooooor me” กันดังลั่น ยังคงเพราะและโรแมนติกเหมือนกับที่คาดไว้ แต่เหมือนว่าปีนี้จะไม่ได้มีใครขอแต่งงานกันกลางเพลงนี้แฮะ ตามมาด้วย Nancy Mulligan เพลงที่มีความเป็น Irish สูงมากมาร้อง เพื่อดึงอารมณ์คนดูก่อนจะเข้าเพลงต่อไป
นอกจากงานเลี้ยงจะต้องมีวันเลิกราแล้ว คอนเสิร์ตก็เช่นกัน มาถึงเพลงสุดท้ายของคอนเสิร์ตนี้ ซึ่งก็คือ Sing ที่เอ๊ดพยายามบิลด์คนดูให้ร้องไปกับเขาในท่อน “โอ่ โอ โอ โอ้ โอ๊ โอ โอ่ โอ่ โอ โอ โอ้” ซึ่งก็ได้ผล เพราะทั้งเพลงท่อนนี้ร้องง่ายที่สุดแล้ว! หลังจากที่เอ๊ดได้ลงเวทีไปแบบงง ๆ คนดูก็พร้อมใจกันกรี๊ดเพื่อเรียกให้เขากลับมาอีกครั้ง ไม่นานเอ๊ดก็กลับมาบนเวทีพร้อมกับเสื้อทีมชาติไทยสีแดง
เอ๊ดเปิดช่วงอังกอร์ด้วยเพลงที่ดังไปทั่วโลกอย่าง Shape of you แค่เขาเดินไปเปิด ซินธิไซเซอร์เพื่อเริ่มอินโทรคนทั้งราชมัง ฯ ก็กรีดร้องกันเหมือนกับได้เจอเพื่อนเก่าที่สนิทกันมานาน (ใช่สิ ทุกวันนี้ร้านเหล้า ผับ บาร์ ยังไม่เลิกเปิดเพลงนี้กันเลย)
มาถึงเพลงที่ส่งท้ายทุกคนในวันนี้จริง ๆ ก็คือ You Need Me, I Don’t Need You ซึ่งช่วงท้ายของเพลงเอ๊ดได้บีทบ็อกซ์ให้เป็นจังหวะขึ้นมา แล้วไปหยิบไมค์ร้องอย่างเต็มที่เหมือนเก็บพลังมาเพื่อเพลงนี้ เพราะว่าเขาแรปกระจายจริง ๆ นั่งลงแล้วเล่นกับคนดูเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการปิดท้ายคอนเสิร์ตนี้ได้อย่างสมบูรณ์
คอนเสิร์ตของ Ed Sheeran ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเขาอีกครั้งในฐานะ one man show ตลอด 21 เพลงที่เอ๊ดเล่น ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย ทั้งการที่คอยเล่นมุกกับคนดู คอยชวนคุย ถึงแม้การตอบรับของคนดูอาจจะไม่ค่อยดีเท่าที่เขาคาดคิดไว้ นั่นอาจเป็นเพราะอากาศที่ร้อนมาก ๆ จนทำให้ทั้งคนดูเหนื่อย และแน่นอนเสียงร้องของเอ๊ดยังคงเป็นที่ประทับใจเสมอ ต่อให้ไม่ได้เป็นแฟนคลับ คุณก็สามารถที่จะร้องเพลงของเขาตามได้บ้างหลังจากจบท่อนฮุคแรก นั่นเป็นเพราะแทบทุกเพลงของเขาจะมีความ catchy สูงมาก เรียกได้ว่าติดหู ด้วยการที่ร้องท่อนเดิมซ้ำ ๆ คำซ้ำ ๆ เมโลดี้ซ้ำ ๆ สามารถทำให้สนุกไปกับดนตรีและกีตาร์ของเขาได้ตลอด 2 ชั่วโมงจริง ๆ