Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

Singha Light Live Series 3.3 : Cornelius เมื่อเสียงและภาพมาบรรจบกันอย่างงดงาม

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Peerapong Kaewthae and Pong Photographer

7 พฤศจิกายน 2561

เป็นครั้งแรกที่ Keigo Oyamada, Hirohisa Horie, Yuko Araki, และ Yumiko Ono (วง Buffalo Daughter) ได้มาเปิดการแสดงแบบเต็มรูปแบบของ Cornelius ในกรุงเทพ กับงาน Singha Light Live Series 3.3 โดยเราถือว่านี่คือโชว์ที่ครบถ้วนทั้ง sight and sound แบบที่คนรักเสียงเพลงควรมีประสบการณ์การดูคอนเสิร์ตแบบนี้สักครั้งในชีวิต

เราเดินเข้าไปด้านในงานพร้อมกับเจอวิชวลรูปวงแหวนสีขาวบนพื้นหลังสีดำกำลังเคลื่อนไหวเงียบ บนจอขนาดใหญ่ที่มีผ้าบางขึงไว้ วินาทีนั้นแอบทำให้นึกถึงภาพบนจอโทรทัศน์ในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ‘The Ring’ แต่บรรยากาศกลับไม่ได้หลอนชวนขนหัวลุกเพราะดนตรีที่กำลังเปิดคลอให้ความรู้สึกลึกลับแต่ classy มากกว่า แล้วพอมองไปยังเบื้องหลังบูธดีเจเราก็ได้พบกับป๊อด Modern Dog ศิลปินผู้บุกเบิกดนตรียุคอัลเทอร์เนทิฟของไทยขวัญใจใครหลาย คน มาแบ่งปันเพลย์ลิสต์เท่ ของเขาให้เราได้ฟังกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลง down tempo เท่ ดูน้อยแต่กลับมีชั้นเชิงในการเรียบเรียง แต่ก็ไม่วายที่จะได้ยินเพลงคุ้นหูจากทั้ง Daft Punk – Something About Us, Thom Yorke – Harrowdown Hill ในคอลเล็กชันของเขาด้วย

จนเวลาสามทุ่มครึ่ง ป๊อดอำลาคนดูพร้อมรับเสียงตบมือจากผู้ชมที่เต้นอยู่ในฮอล สายตาทุกคู่จับจ้องกลับขึ้นไปบนเวที กว่าจะรู้ตัวอีกทีคือผ้าที่ขึงจอไว้ก็หายไปแล้ว และวงแหวนตอนนี้เริ่มเคลื่อนไหวตามบีตและเสียงกีตาร์ของ Cornelius จากนั้นก็มีเสียงหยดน้ำแบบที่เราคุ้นเคยในเพลง Drop จากชุด Point ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในลักษณะงานของเขาไปโดยสิ้นเชิง เราเริ่มได้ยินเสียงเมโลดี้เพราะพริ้งก่อนที่อินโทรของเพลง If You’re Here จะดังขึ้นพร้อมกับวิชวลที่แนะนำตัวสมาชิกแต่ละคน (ตกใจนึกว่าหยิบมาเล่นเพลงแรก) แค่ต้นโชว์ก็สามารถเรียกเสียงกระหึ่มได้จากคนดูได้แล้ว

ไม่นานนักพวกเขาก็เริ่มเล่นเพลง Sometime / Someplace จากอัลบั้ม Mellow Waves กับภาพที่มาจากมิวสิกวิดิโอพร้อมเนื้อเพลงให้เราร้องตามได้ และแล้ววิชวลที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น ภาพของการจราจรที่ถูก fast forward แสงสียามค่ำคืนของทางด่วนในญี่ปุ่น แน่นอนว่านี่คือเพลง Point Of View Point ที่จังหวะกลองแมธของยูโกะ อารากิ ทำให้เท้าของเราอยู่ไม่สุก ต่อด้วยเพลง Audio Architecture ที่เป็นธีมซองของนิทรรศการที่จัดแสดงที่ 21_21 Design Sight ในโตเกียว ซึ่งเพลงนี้ก็พูดถึงเส้น แสง รูปทรง โครงสร้าง ที่สอดแทรกอยู่ในเสียง โดยมีวิชวลเป็นรูปคลื่นและทรงสามมิติที่ซิงค์กับทุกบีต ทุกตัวโน้ต ดูไปขนลุกไปเลยเนี่ย แล้วเขาก็กลับมาเล่นเพลงจากชุด Mellow Waves อีกครั้งกับ Helix / Spiral เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกถึงความอนาล็อก ดิจิทัล มินิมัลแบบครบถ้วน อาจเพราะการที่เขาใช้ออโต้จูน และเน้นบีตยุบยับด้วยมั้ง ตอนนี้เราก็เริ่มคิดแล้วว่า หรือจริง เคโกะ โอยามาดะ จะเป็นหุ่นยนต์! คนอะไรมันจะเครื่องจักร เป๊ะทุกสรรพสิ่งได้ขนาดนี้ แล้วไลท์ติ้งในเพลงนี้ก็ดูเพลินมาก เลย

เสียงหยดน้ำดริปดรอปหลากไหลดังขึ้นพร้อมวิชวลสบายตา เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาของเพลง Drop แล้ว เป็นเพลงที่ฟังเพลินดูเพลินมาก จังหวะจะโคนและเสียงกีตาร์โปร่งชวนโยกแบบห้ามไม่ได้จริง นอกจากนี้เขายังโชว์โซโล่เธเรมินสด จนคนดูแทบจะจิตหลุดไปตาม กัน ความหลุดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อเขาหยิบเอาฟุตเทจวิดิโอโฆษณาและรายการต่าง ของญี่ปุ่นมาตัดแปะสร้างเป็นบีตชวนหัวใน Another View Point การตัดเสียงไปใส่ซ้ำในอีกห้องหนึ่งของเพลงและวนไปเรื่อย เป็นอะไรที่กวนมาก แถมยังเหมือนเป็นการได้สำรวจ pop culture ของญี่ปุ่น ทั้งอนิเมะคุ้นตาแบบมารุโกะ โดราเอม่อน ดราก้อนบอล ก็โผล่มาอยู่ในวิดิโอจนครบ ยังไม่รวมถึงเรื่องการเมืองที่ก็มีทรัมป์กับคิมจองอึน จักรพรรดิอากิฮิโตะและจักรพรรดินีมิชิโกะอยู่ในนี้ด้วย กรีดร้อง แล้วพอถึงท่อน ‘This is called the Deja Vu experience’ หลังจากนั้นความวายป่วงก็ถาโถมเข้าหาคนดูอย่างจัง เดือดไม่ไหวแล้วว้อยยยย

เห็นทีเคโกะต้องให้เราพักหายใจหายคอกันสักนิด ด้วยการเล่นเพลงเพราะ The Spell of a Vanishing Loveliness เป็นหนึ่งในเพลงที่เราชอบมาก ของ Cornelius ซึ่งไม่ได้คาดหวังให้การมาฟังสดจะเป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมและงดงามขนาดนี้ ขนลุกเป็นระลอก ไปตลอดเพลง ในวิดิโอของเพลงนี้วิชวลก็เป็นสต๊อปโมชันน่ารักกึ่งหลอนสีขาวดำ เพลงต่อไปเขาเลยจัดอะไรที่สดใสเป็นดินปั้นสีเหลืองทั้งเพลง ก็พอรู้แล้วว่านี่คือ Mellow Yellow Feel น่ารักมาก และต่อด้วย Sonorama 1 งานจาดชุดล่าสุด Ripple Waves ที่รวมเพลงพิเศษทั้งจากนิทรรศการ และการรีมิกซ์เพลงในชุด Mellow Waves ในเพลงนี้เหมือนเป็นการโชว์โซโล่ของแต่ละคน เท่มาก ที่วิชวลเป็นเส้นสปีดแบบในมังงะแล้วปล่อยให้เล่นแบบความเร็วสูง แสงและภาพซิงค์ตามท่อนของทุกคน เร้าใจสุด แล้วจึงกลับมาเป็นเพลงจากชุดก่อนหน้าใน Dear Future Person สัดส่วนเพลงนี้เป็นอะไรที่เท่อยู่แล้ว บวกกับวิดิโอการผจญภัยของเจ้าแมวน้อยเลยเป็นเพลงที่เพลินมาก ก่อนจะส่งเพลงจากชุด Fantasma อย่าง Count Five or Six มาเอาใจสายร็อกกับการปั่นกีตาร์สุดเดือดโยกหัวกันคอแทบหลุด แต่เอาจริงว่าเท่าที่สังเกตคนดูในงานนี้เงียบและตั้งใจดูกันมาก  บางเพลงที่มีช่วงเว้นเกิดสเปซ คือฮอลเงียบจนได้ยินแต่เสียงแอร์ แม้ว่าแทบจะไม่เต้นไปกับเพลงมัน  แต่ตอนจบเพลงก็ส่งเสียงร้องและตบมือเกรียวกราว และมีบางช่วงที่ได้ยินเสียงซี้ดปาก เสียงโอ้โห เช้ด เชี่ย หรือการอุทานอื่น ออกมาเพราะความพอดิบพอดีในการดีไซน์โชว์ และดีที่ไม่ค่อยมีใครหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเลย

ความมันยังไม่หยุดแค่นี้เมื่อพวกเขาสาดซาวด์กระแทกกระทั้นใน I Hate Hate พร้อมวิชวลหยดสีสีน้ำเงินแต่กลับให้ความรู้สึกรุนแรงมาสร้างพลังงานดุเดือดในโชว์ น่าเสียดายที่เขาไม่หวดกลองเป็นสปีดเมทัลแบบต้นฉบับ แต่เดี๋ยวจะหลุดคอนเซ็ปต์ Mellow Waves Tour ไปนิด แล้วก็ต่อด้วย Surfing on Mind Wave Pt 2 กับวิชวลลูกคลื่นยักษ์ที่เหมือนกำลังสะกดจิตเราอยู่ เสียงเชลโลที่บรรเลงขึ้นมายิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อดูภาพบนจอ เคโกะให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่การแสดงสดน่าสนใจที่สุด ซึ่งเป็นอย่างที่เขาว่าจริง เพราะเราสังเกตว่า เสียงที่เกิดขึ้นมันมีความ surround (นึกตามตอนนี้ยังขนลุกอยู่เลย) แล้วเหมือนคลื่นเสียงเหล่านั้นก็ได้โอบอุ้มและพาเราเดินทางไปไหนต่อไหน ก่อนจะซัดสาดรุนแรงพร้อมกับไลท์ติ้งที่โหมกระหน่ำในช่วงท้ายเพลงให้ตื่นจากภวังค์ แล้วจึงเป็นเพลง In a Dream ที่อัพบีตขึ้นมาเป็นจังหวะกลาง ผ่อนคลายชวนโยกเบา ก่อนจะกลับไปที่อัลบั้ม Sensuous ในเพลง Beep It กับวิชวลสุดเพลินตา ซินธ์บวม และบีตกรูฟ ทำเอาเราเต้นไม่หยุด สนุกมากเพลงนี้ และต่อด้วยเพลงจากชุดเดียวกันซึ่งน่าจะเป็นเพลงโปรดของหลาย คนอย่าง Fit Song และ Gum เพลงดุ กีตาร์เสียงแตก กับวิชวลปากออกเสียงร้องตามเนื้อเพลง ปั่นป่วนจิตมาก

ทันใดนั้น อินโทรน่ารักคุ้นหูก็เริ่มขึ้น วินาทีนั้นคือกรี๊ดมาก ว่าฉันจะได้ฟังเพลงที่ทำให้รู้จักกับพวกเขาเป็นครั้งแรกแบบสด แล้ว Star Fruits Surf Rider เพลงที่ยังคงกลิ่นอายของ Shibuya-kei ไว้อย่างครบถ้วนจากอัลบั้ม Fantasma ทักทายเราอย่างสดใส พร้อมกับวิชวลสีสวยสดบนจอที่วิบแวบวับจนลายตา เท่านั้นยังไม่พอยังมีการยิงแสงไปที่ดิสโก้บอลทำให้ฮอลเรืองรองไปด้วยแสงระยิบระยับ เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของโชว์นี้เลยจริง แต่แอบแปลกใจว่าปฏิกิริยาคนดูที่มีต่อเพลงนี้ไม่ค่อยตื่นเต้นกันเท่าไหร่ แง แต่เมื่อจบเพลง อินโทรนุ่มละมุนของอีกเพลงที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นบทสรุปของโชว์ If You’re Here ก็เรียกเสียงร้องจากคนดู พร้อมกับวิชวลที่เป็นภาพ etching บนปกอัลบั้ม Mellow Waves กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า ต้องบอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เราสามารถหยิบมาฟังได้อยู่บ่อย และการเปลี่ยนไปในทุกท่อนของเพลงก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันไป แต่ผลรวมของมันคือความงดงามที่ทำให้เราซึมซับอารมณ์และสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อผ่านอัลบั้มนี้ได้อย่างครบถ้วน เมื่อจบเพลง วิชวลบนจอก็ปรากฏเป็นคำว่า ‘Thank you very very much, everyone. Mellow Waves’ พร้อมกับตัวอักษรทั้งหมดสลายหายไปกลายเป็นเส้นฟุ้งสีขาวแบบเดียวกับวงแหวนตอนต้นโชว์ ตอนนั้นมันอิ่มเองลงตัวมาก ส่วนนี่ก็เสียน้ำตาให้กับ Cornelius เป็นที่เรียบร้อย

ถึงแม้จะฟินสุด แล้วกับโชว์ที่เพิ่งผ่านไป แต่ว่า จะไม่มี อังกอรุ ได้ยังไง!!! เอาล่ะครับ ขอโหวกเหวกเรียกพี่ เขากลับขึ้นมาโชว์กันต่อ ร้องเรียกกันอยู่นานในที่สุดพวกเขาก็กลับขึ้นมา เคโกะซังพูด ‘ขอบคุณครับ’ ชัดมาก เชื่อแล้วว่ามาบ่อย ฮ่า แล้วก็บอกว่า เป็นครั้งแรกที่มาเล่นแบบ full band ที่นี่ พร้อมกับแนะนำสมาชิกแต่ละคนอย่างเป็นทางการ (ส่วนตัวคือ รักยูโกะมาก เป็นมือกลองที่ตีคม เป๊ะ พลังเยอะ จำได้ว่าดูที่ Fuji Rock ไกล คือนางใส่เต็มแบบ โอ้โห ยอม) แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่นเพลง Breezin’ จากชุด Sensuous ที่ใช้ภาพจากมิวสิกวิดิโอเป็นฟองสบู่ล่องลอยกลางอากาศ ตามด้วยเพลงน่ารัก Chapter 8: Seashore and Horizon ซึ่งน่าจะเป็นเพลงที่ป๊อปฟังง่ายฟังสบายที่สุดในโชว์นี้แล้ว ก็ถือว่าเป็นการได้เห็นครบทุกมุมที่เขาคนนี้มีเลยล่ะ ก่อนที่จะจบโชว์ไปด้วย E เพลงเดือด ที่ขึ้นมาด้วยเสียงกีตาร์เกรี้ยวกราด ดิบ มิหนำซ้ำไลท์ติ้งในโชว์นี้คือเท่มาก เป็นการฉายแสงขึ้นสมาชิกแต่ละคนปรากฏเป็นเงาบนฉากหลัง มีบางช่วงของเพลงที่เคโกะจะพูดเลขขึ้นมา แล้วนักดนตรีก็จะเล่นจังหวะตามเลขนั้น จนเขาเริ่มได้ยินคนดูพูดตาม เลยหันไมค์มาทางผู้ชม ไอ้พวกเราก็ตะโกนขึ้นไปเลขตรงกันมั่งไม่ตรงกันมั่ง วงเขาเล่นกันแทบไม่ถูกเลยเด้อ เป็นโมเมนต์น่ารัก ขนาดเคโกะยังยิ้มออกมาแล้วถึงยึดไมค์กลับไปกำกับต่อและเล่นจนจบเพลง เดือดมาก สนุกมาก รักมากโอ๊ย

Cornelius

หลังจากอิ่มเอมจากโชว์ประมาณ 1.50 ชั่วโมงของ Cornelius กันไปแล้ว เรายังมี after party จาก DJ Maft Sai มาให้ได้เต้นกันต่อ โอ้โห อยากบอกว่าใครอยู่ต่อคือไม่พลาดของดี งานนี้เขาขนคอลเล็กชัน world music มาตั้งแต่แอโฟรบีต ละติน เพลงกรูฟ โอลสคูลฮิปฮอป และแม้แต่เพลงของ The Bangkok Paradise Molam International Band อย่าง Kwang Noi Chaolay ก็ถูกนำมาเปิดที่นี่ ถามว่าสนุกขนาดไหน ขนาดมีคนลงไป twerk คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากกับช่วงนี้

ตั้งแต่ที่มีการประกาศว่า Cornelius จะมาเล่นที่นี่อีกครั้ง เราก็ดีใจมาก เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้โตทันมาดูโชว์แรก ของเขาที่ Soi Music กับ Big Mountain เมื่อหลายปีก่อน แต่อย่างน้อยก็ได้มีส่วนร่วมในงาน Japanese Invention ของ GoDung ที่เขาพา Salyu x Salyu กับ Buffalo Daughter มาแหละนะ กับอีกทีคือมีโอกาสได้ดู full show มาแล้วที่ Fuji Rock แต่ก็รู้สึกว่าโชว์ intimate แบบนี้เหมาะจะเล่นในที่ปิดมากกว่า ซึ่งงานเมื่อคืนก็ครบรส ดีเกินความคาดหมายไปแล้วจริง ๆ เป็นการเรียงเพลงในโชว์ได้ลื่นไหลมาก มีความตื่นเต้นอยู่ตลอดว่าเขาจะหยิบเพลงไหนมาเล่นเพราะจริง วงก็มีเพลงเยอะจนเดาไม่ถูก และที่สำคัญคือ performance ที่เนี้ยบแบบหาตัวจับยากทำให้ทุก เพลงเหมือนเราฟังจาก audio แต่ถูกใส่พลังของความสดจนมันเกินจากสิ่งที่เราได้ฟังในแผ่นไปแล้ว ขอยกให้เป็นอีกหนึ่งงานที่ประทับใจที่สุดในปีนี้เลย ขอบคุณทุกคนที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้น และงานต่อไป Have You Heard? จะพาศิลปินวงไหนมาเซอร์ไพรส์เราอีกก็ต้องรอติดตามกันให้ดี ที่เพจของพวกเขาเลย

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้