Converse_X_ บุก Los Angeles ชวน Fungjai และ วัยรุ่น 38 ชีวิตช่วยโลกอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Montipa Virojpan and Converse_X_ team
Converse_X_ แคมเปญสร้างสรรค์ระดับโลกโดยแบรนด์รองเท้า Converse ที่จะพาคนรุ่นใหม่ไปเปิดประสบการณ์หลากแขนงตามเมืองแห่งความหลากหลายทั่วโลก โดยเมื่อกลางปี 2019 Fungjai ก็ได้ไปร่วมตามติดชีวิตของพวกเขามาแล้วที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีตัวแทนประเทศไทยเป็น แตม ชยานันต์ ผู้จัดปาร์ตี้ดูดวงที่กำลังมาแรง Horoza อีฟ Lurear ช่างสักฝีมือดีที่สไตล์การแต่งตัวชัดมาก ๆ และ Pyra ศิลปิน r&b ดาวรุ่งที่ปัจจุบันออกทัวร์คอนเสิร์ตไปทั่วโลก
เดือนพฤศจิกายน Converse_X_ ได้วนกลับมาอีกครั้ง แต่หนนี้ ฟังใจ และตัวแทนประเทศไทยคนใหม่อีกสองคน ได้บินไปไกลถึงลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยนอกจากจะได้ร่วมเวิร์กช็อปกับทีมงาน Converse และวิทยากรชั้นนำจากสาขาอาชีพต่าง ๆ เรายังได้ไปสนุกกันในมิวสิกเฟสติวัล Camp Flog Gnaw Carnival ที่จัดโดยแร็ปเปอร์ตัวแสบ Tyler, the Creator กันด้วย และตอนนี้ Fungjaizine ก็ขอใช้พื้นที่ตรงนี้เล่าบรรยากาศที่ผ่านมาตลอด 7 วันใน LA ให้ได้อ่านกันเลยก็แล้วกัน
อ่านเรื่องราวของ Converse_X_ ที่มาเลเซียได้ ที่นี่ ตอนที่ 1, 2, 3
DAY 1
5 พฤศจิกายน 2562
ทริปนี้เราออกสตาร์ทจากโตเกียวเพราะเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ แล้วเวลาก็มาต่อกันพอดีกับที่ต้องไปงานนี้ แต่แทนที่จะบินตรงไปอเมริกาเลยคือต้องบินจากนาริตะไปเจอกับน้อง ๆ Converse_X_ ที่บินมาจากกรุงเทพ ฯ ที่สนามบินอินชอน เกาหลีใต้ก่อน แล้วค่อยนั่งต่อไป LA เพื่อว่าจะได้ถึงที่หมายพร้อมกัน
พอเครื่องแลนดิ้งที่โซล เราก็ได้เจอกับ ขวัญ—ครองขวัญ บุญอำพล ศิลปินและนักออกแบบรอยสัก ที่อีกบทบาทหนึ่งของเธอคือนางแบบหน้าคม ลุคลุย ๆ และ โอ๊ต—อดิศร ชีชอบ นักศึกษาแฟชันปีสุดท้ายจากรั้วศิลปากร ทั้งสองคนมีรองเท้า Converse อยู่ในชีวิตอยู่เสมอ ๆ ตั้งแต่จำความได้ และมีโอกาสร่วมงานในแคมเปญของ Converse Thai อยู่บ่อย ๆ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับเลือกให้มาเป็นตัวแทนประเทศไทยในการบุก LA กับเพื่อน ๆ อีก 30 กว่าชีวิต (อันที่จริงจะมีทั้งหมด 50 คนแต่ติดปัญหาเรื่องวีซ่าเลยทำให้ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมได้) เราเจอกับโอ๊ตและขวัญครั้งแรกตอนไปทำวีซ่าที่สถานฑูตอเมริกาในกรุงเทพ ฯ พอได้พูดคุยกันบ้างก็มีความคิดว่าทริปนี้ต้องมันแน่นอน
กว่าสิบเอ็ดชั่วโมงบนไฟลต์ Asiana Airlines เราก็มาถึงที่สนามบินลอสแอนเจลิสในช่วงเช้าในที่สุด จากคราวก่อนที่เราเคยขึ้นรถผิดคันทำให้พี่ ๆ ทีมงาน Converse Thai ไลน์มาเตือนน้อง ๆ ว่า ‘อย่าขึ้นผิดคันนะะะะ’ แต่อันนี้ไม่ผิดแน่เพราะมีชื่อสามคนหราบนกระดาษขนาดนี้แล้ว เราใช้เวลา 45 นาทีนั่งรถจากสนามบิน LAX มาถึงที่พักคือโรงแรม The Hollywood Roosevelt โรงแรม 4 ดาวที่เก่าแก่ที่สุดใน LA ตั้งตระหง่านกลางย่าน Hollywood Boulevard ซึ่งเคยมีคนดังอย่าง นักเขียน F. Scott Fitzgerald, Ernest Hemingway นักแสดง Charlie Chaplin, Marilyn Monroe และศิลปิน Prince มาพักแล้วที่นี่ เพราะจริง ๆ แล้วโรงแรมสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุค 20s น่ะแก ก็มีการรีโนเวตอะไรก็ว่าไป แต่ความชั่วของเพื่อนคนนึงในกรุ๊ป WhatsApp ที่ Converse_X_ เอาไว้นัดแนะติดต่อกัน เอาเรื่องผีมาบอมบ์ลงกรุ๊ป ทำให้อีนี่ต้องนอนเปิดไฟทุกคืนตลอดการพักที่โรงแรมไปเลยจ้า (ขนาดเห็นแค่หัวเรื่อง ไม่กล้าเปิดอ่านก็ยังกลัวขนาดนี้)
พอเราเช็กอินและพบว่าห้องเราจะพร้อมให้เข้าไปตอนบ่ายสามโมง เราเลยชวนน้อง ๆ ไปหาข้าวกลางวันกินกันก่อนที่ 25 Degrees ร้านเบอเกอร์ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกที่อยู่ชั้น G ของโรงแรม (ที่ไทยอยู่ที่โรงแรม Pullman G สีลม) พอกินเสร็จก็ขึ้นไปห้องเอาของเก็บ เปิดประตูเข้ามาเจอกับรองเท้า Chuck Taylor คู่ใหม่และซิมการ์ดวางต้อนรับบนเตียงเช่นเคย จากนั้นก็นัดกับ Converse_X_ กลุ่มที่เพิ่งมาถึงคนอื่น ๆ เพื่อออกไปเดินเล่นกันรอเข้าห้อง เพราะอันที่จริงมีคนจากประเทศอื่นบินมาถึงเราก่อนหน้านี้แล้ว 1-2 วัน เขาเลยรู้จักและสนิทกันไปแล้วระดับนึง คนมาใหม่ก็ต้องเกาะกลุ่มกันเองไปก่อน
การเดินทางใน LA ค่อนข้างลำบากเพราะแต่ละสถานที่ค่อนข้างอยู่ห่างกันแบบถ้าเดินคงขาลาก ถึงแม้จะมี metro หรือรถไฟกับบัสให้นั่งในราคาถูก แต่ก็มีความต้องระแวดระวังโฮมเลสที่มักเป็นผู้ร่วมใช้บริการ คนส่วนใหญ่เลยเลือกจะใช้บริการ Uber หรือ Lyft แทน นอกจากเรา โอ๊ต ขวัญ ก็มี Vick กับ Diego จากบราซิล และ Cassius เจ้าบ้าน ก็เรียกรถไปยัง Melrose Avenue แหล่งช็อปปิ้ง แฟชัน รวมร้านฮิปของย่านนี้ ที่น่าสนใจมาก ๆ คือเมืองนี้ซื้อขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย เลยมีร้านขายทั้งปุ๊นและอุปกรณ์กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง แต่มีข้อแม้ว่าต้องแสดงบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตก่อนซื้อทุกครั้ง และห้ามเดินถือออกจากร้านไปแบบไม่มีหีบห่อ แต่พอพ้นร้านไปแล้วจะดื่ม กิน สูบ อะไรยังไงตามสบายได้เลยจ้ะ โดยร้านดัง ๆ ก็มี MedMen, MMD และ Genius เราเลยมาแวะกันที่ร้านหลังสุดซึ่งอยู่ในย่านนี้พอดี
แต่ละคนก็ตาลุกวาวกับช่อเขียวที่มีให้เลือกแบบละลานตา แต่ราคาก็แรงอยู่ แล้วก็มีแบบแปรรูปเป็นน้ำมัน vape เครื่องดื่ม เจลลี่เคี้ยวหนึบ (edibles) โดยเราซื้อน้ำรส tangerine มาจ้า ตอนซื้อพนักงานเขาก็บอกว่า อย่ากินคนเดียวหมดขวดนะ เราก็เลิ่กลั่ก ๆ มันแรงขนาดนั้นเลยหรอ อีกคนก็บอกว่า ‘ทุกคนจะได้แบ่งปันประสบการณ์ทั่วถึงกันไง‘ เอ้อ เข้าใจพูด
ระหว่างที่เดินไปจิบไป ฟ้าก็เริ่มมืด เราก็เริ่มมึน ยื่นให้เพื่อนช่วยกินแต่ละคนมันก็ไม่เอาแล้วเพราะมันดูดจอยท์ของมันอยู่ ก็เลยต้องรับกรรม จากตรงนี้เราก็เดินเมา ๆ กลับโรงแรมใช้เวลาประมาณ 15 นาทีได้ แล้วตอนทุ่มครึ่งทุกคนก็ไปเจอกันบนดาดฟ้าเพื่อพบปะกันใน welcome party/ ice breaking ตอนนี้เราก็ได้พบกับเพื่อน ๆ Converse_X_ ทีมงาน Converse รวมถึงทีมโปรดักชันที่เคยเจอกันเมื่อตอนมาเลเซีย รู้สึกดีใจที่ได้เจอคนกลุ่มนี้อีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนในที่สุด
DAY 2
6 พฤศจิกายน 2562
ในวันนี้เองที่โครงการ Converse_X_ ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากแต่ละคนหาอาหารเช้ากินกันเรียบร้อยแล้วเราก็มาขึ้นรถบัสเพื่อไปยัง Santa Monica ซึ่งเป็นสถานที่จัดเสวนาและเวิร์กช็อป โดย Suevia Ellison เป็น Communications and Influencer Marketing Senior Manager ของ Converse Global Partner Markets ก็มากล่าวเปิดงานและเล่าที่มาของ Converse_X_ ให้เราได้ฟังกันอีกเช่นเคย
ซูเอฟเล่าว่าแบรนด์เชื่อมาตลอดว่าการคิดนอกกรอบ และการจับมือประสานงานกับคนในวงการอื่น ๆ นอกเหนือไปจากธุรกิจแฟชัน ก็สามารถสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ให้กับรองเท้าได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมา Converse ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่นำไปสู่สิ่งที่แตกต่าง โดยให้เรียนรู้ว่าพวกเขาจะความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกซึ่งตัวตนอย่างไรได้บ้างในการช่วยโลก และปลูกฝังเรื่อง sustainable fashion หรือให้เข้าใจอย่างง่ายที่สุดคือการใช้เสื้อผ้าที่ใช้วนซ้ำ ใช้ได้นานที่สุด เพื่อไม่ให้ทำลายสิ่งแวดล้อม สำหรับวิทยากรที่มาร่วมพูดคุยในวันนี้ก็มีทั้ง CEO ของ Ubuntu ที่มีคอมมิวนิตี้สำหรับ startups ที่ไม่หวังผลกำไรและมีเป้าหมายในการรักษาสิ่งแวดล้อม ดีไซเนอร์ของ Converse ที่ให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่าย เมื่อเธอพบว่าการช็อปปิ้งออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างขยะจำนวนมาก เธอจึงคิดหาวิธีการผลิตหีบห่อที่จะเกิดขยะน้อยชิ้นที่สุด จนเกิดมาเป็นกล่องใส่รองเท้าแบบที่ใช้กระดาษชิ้นเดียว รวมถึง Seri ซึ่งเป็นหนึ่งใน Comverse_X_ จากประเทศมาเลเซีย ซึ่งเธอเป็นอดีตนักศึกษาแฟชันที่ลาออกมาและตั้งใจจะทำเว็บไซต์สำหรับเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนซื้อขายเสื้อผ้ามือสอง ส่วนเวิร์กช็อปในวันนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวอยู่ไม่น้อย ทั้งการย้อมสีธรรมชาติอย่างคราม โดยใช้เสื้อผ้าฝ้ายออแกนิก การใช้สีที่มีคุณสมบัติช่วยกรองคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างงานศิลปะ และการออกแบบเพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ของการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เมื่อต่างคนต่างร่วมเวิร์กช็อปในแต่ละฐานเรียบร้อยแล้ว Converse_X_ ก็จะถูกแบ่งกลุ่มเป็น 7 กลุ่ม โดยมีสื่อจากประเทศต่าง ๆ รวมถึงฟังใจแยกไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ แต่ละกลุ่ม เราอยู่ในกลุ่มที่ 3 ซึ่งความโชคดีคือมี โอ๊ต และ วิค ซึ่งรู้จักกันอยู่แล้วในระดับนึง นอกจากนั้นก็มี Surik ช่างภาพจากอาร์เมเนีย Amit แอร์โฮสเตสจากอิสราเอล และ Adot แร็ปเปอร์จากชิคาโก้ พอเจอกันครบแล้วเราก็ได้รับมอบหมายงานให้ทำ creative campaigne โดยมีคอนเซ็ปต์คือ ‘self expression’ การแสดงออกในความเป็นตัวเอง เพื่อโปรโมต GIANNO รองเท้ารุ่นล่าสุดของ Converse ที่ทำร่วมกับ GOLF le FLEUR* ของ Tyler, the Creator ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ตอนเราทำกิจกรรมคือช่วงเวลาที่รองเท้ายังไม่ได้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ดังนั้น Converse_X_ คือเด็กกลุ่มแรกของโลกนอกเหนือไปจากทีม Converse และ Golf Wang ที่ได้เห็นรองเท้ารุ่นนี้ ดังนั้นระหว่างการทำแคมเปญ พวกเราต้องช่วยกันกุมความลับในการมีอยู่ของรองเท้ารุ่นนี้ไม่ให้มีรูปหรือวิดิโอหลุดออกไปในโซเชียลมีเดียได้ และในการทำแคมเปญ แต่ละทีมต้องส่งตัวแทน 2 คน (สื่อ 1 Converse_X_ 1) ไปรับรองเท้าที่ห้อง 837 มาทีมละ 2 คู่ เพื่อใช้ในการถ่ายทำ ใครมาก่อนได้เลือกสี เลือกไซส์ก่อน ก็เลยมีเรากับวิคที่พรุ่งนี้เช้าจะต้องรีบตื่นตั้งแต่ 9 โมงเช้าและพุ่งตัวไปยังห้องดังกล่าว
พอเสร็จจากเวิร์กช็อปก็เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะได้มีเวลาเป็นของตัวเอง เรากับเพื่อน ๆ เดินจากจุดนี้ไปยังชายหาด Santa Monica ที่ซึ่งมีท่าเรือที่มีเครื่องเล่นและร้านอาหารเรียงราย เราก็เดินเล่นกับพวกเขาพักนึงก่อนจะแยกไปเยี่ยมญาติที่ Downtown LA แล้วกลับโรงแรมมาพักเพื่อเตรียมไปลุยกับกิจกรรมในอีกวันนึง
DAY 3
7 พฤศจิกายน 2562
วันนี้เราตื่นแต่เช้าไปซื้อกาแฟกับวิค แล้วตรงไปยังห้อง 837 แต่พอไปถึงก็พบว่าทีมอื่น ๆ ไวกว่าพวกเราและได้เลือกไซส์ตีนเขื่องที่พวกผู้ชายพอจะใส่ได้ไปบ้างแล้ว เราเลยเหลือแต่คู่เล็ก ๆ แต่โชคดีที่มีสีที่อยากได้เหลืออยู่ ก็เลยจำใจหยิบมา จากนั้นเราก็นัดทุกคนมาเจอกันที่ห้องวิคตอน 9.30 เพื่อวางแผนว่าจะให้เป็นธีมอะไรดี
ในเมื่อคอนเซ็ปต์มันคือ self expression แล้ว เราเลยเสนอไอเดียคร่าว ๆ มาว่า ถ้าผู้ชายใส่รองเท้าไม่ได้ เราอาจจะเอารองเท้ามาถือแทน แล้วใครสักคนก็พูดถึงพิพิธภัณฑ์และแกเลอรีขึ้นมา เราเลยมองว่า GIANNO อาจจะเป็นผลงานศิลปะ แล้วเราทุกคนก็จะโพสท่าแบบงานศิลปะชั้นเอกของโลก อย่างเราเป็น The Scream อามิตอาจจะเป็น Venus แล้วซูริคเป็น Thinker ก็ได้ ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วยแล้วน้องโอ๊ตก็เริ่มหา reference ในการถ่าย อามิตก็รีเสิร์ชโลเคชันเหมาะ ๆ เอดอตก็ชวนเพื่อนที่ชื่อคาเยน (ออกเสียงเหมือนพริก cayenne pepper) มาช่วยถ่ายวิดิโอกับกล้องฟิล์มให้ สุดท้ายเราก็มาลงตัวที่ Downtown LA และสถานที่ถ่ายทำหลักก็จะเป็น The Broad นั่นเอง วิคจัดการจองตั๋วเข้าเดอะโบรดล่วงหน้าเพื่อที่เราจะไม่ต้องต่อคิวกับชาวบ้าน ก็ได้เป็นรอบเที่ยงพอดี
เราเรียกรถให้มารับที่โรงแรม แล้วก็นั่งอัดกันไป 7 คน พอไปถึงพบว่ายังพอมีเวลาเหลือเลยไปหาข้าวกินที่ Grand Central Market แล้วกลับมาเจอกันที่ The Broad ก็เข้าไปทันเวลาเที่ยงพอดี แน่ล่ะ การถ่ายทำแคมเปญของเราเป็นกองโจร ทำให้ภัณฑารักษ์เดินเข้ามาเตือนว่า ‘อย่ายืนแช่ตรงหน้างานศิลปะนานเกินไป มันจะเป็นการรบกวนผู้เข้าชมคนอื่น ๆ และห้ามถ่ายเพื่อไปใช้ทางการค้านะค้าาาาา’ เราก็เลยต้องจรลีไปที่อื่น และทำให้แผนของเราที่วางล่มไป
ซูริคเลยได้ไอเดียว่า ถ้างั้นก็ถ่ายอะไรที่เราอยากถ่ายไปเถอะ อย่าไปคิดมาก แล้วก็เลยกลายมาเป็นวิดิโอเพี้ยน ๆ กับโพสยาก ๆ แอคชันแปลก ๆ พวกนี้ พอถ่ายทำกันเสร็จทั้งภาพนิ่งและวิดิโอ เราก็กลับมาที่โรงแรมกันเพื่อตัดต่อ แต่งภาพ และเตรียมพรีเซนต์กันในวันต่อไป
DAY 4
8 พฤศจิกายน 2562
เช้าวันนี้ทีมงานนัดเราตอน 9.15 เพื่อที่จะไปยังช็อป Golf Wang โดย Converse_X_ จะได้สิทธิ์ช็อปปิ้งคอลเล็กชันใหม่ของ GOLF le FLEUR* รวมถึงรองเท้า GIANNO ก่อนใครโดยไม่ต้องเข้าคิว แต่มีข้อแม้ว่าห้ามถ่ายภาพในร้านโดยเด็ดขาด พอมาถึงพวกเราก็พุ่งตัวเข้าไปในร้านและเดินเลือกซื้อของกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะมีทีมงานของ Golf Wang และ Converse ออกมาบอกว่า เราทุกคนจะได้รองเท้า GIANNO เป็นของตัวเองคนละคู่จ้าาาา (สงสารสายตาของลูกค้าที่ต่อแถวยืนรอข้างนอกมาก ๆ แล้วพอออกไปข้างนอกก็พบว่าคิวยาวไปอีกประมาณ 3 ช่วงตึก บ้าไปแล้ว) และเมื่อช็อปปิ้งเสร็จ เราก็ต้องหาทางกลับไปโรงแรมกันเองเพื่อสรุปงานและเตรียมพรีเซนต์ตอนบ่ายสอง
เวลาสุดบีบก็เดินทางมาถึง แต่ก่อนหน้านั้นก็เป็นช่วงทอล์กที่ให้เราได้ฟังบรรยายจาก Matthew Sleep ซึ่งเป็น Design Director ของ Converse ถึงคอลเล็กชันที่เป็นการ collaborate ระหว่าง GOLF le FLEUR* และ Converse ที่มีมาตลอดสามปีที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีต่อไปเรื่อย ๆ เพราะทั้งไทเลอร์และแบรนด์ก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อะ เรียกว่าถูกชะตา Converse ก็อยากทดลองอะไรใหม่ ๆ ไทเลอร์ก็มีไอเดียแหวก ๆ ออกมาเรื่อย ๆ จากนั้นเขาก็ให้ Amy Rauner เป็น Senior Designer มาเล่าถึงเบื้องหลังการออกแบบรุ่น GIANNO โดยบอกว่าไทเลอร์เป็นคนเลือกพาเล็ตคู่สีด้วยตัวเอง แล้วถ้าสังเกต GOLF le FLEUR* หรือเพลงของ Tyler, the Creator จะมีความเกี่ยวโยงกับดอกไม้ตลอด (อัลบั้ม Flower Boy หรือมิวสิกวิดิโอของเขาก็ตาม) การออกแบบรองเท้าก็เลยทำให้มีดอกไม้มาอยู่ด้วย
รุ่น One Star เป็นรุ่นแรกที่ได้ collaborate กันระหว่างสองแบรนด์ โลโก้รูปดาวของ Converse ก็ถูกเปลี่ยนเป็นดอกไม้ ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่า ทำไมไทเลอร์ถึงไม่เลือกรุ่น Chuck Taylor รุ่นคลาสสิกที่ใคร ๆ ก็ชอบกัน ผลปรากฏว่า ไทเลอร์ไม่ชอบรุ่นนั้น! เพราะเขาเป็นคนที่เท้าใหญ่มาก เวลาใส่ชัคแล้วเท้าจะดูยาวกว่าปกติอยู่แล้วเขาเลยไม่แตะรุ่นนั้นเลย จนกระทั่งสไตล์การแต่งตัวของเขาเริ่มเปลี่ยน ทำให้การใส่ชัคดูเป็นไปได้ขึ้น เขาถึงได้ออกรุ่นก่อนหน้านี้ออกมาเป็น Chuck Taylor ที่ใช้วัสดุสุดแปลก อย่างการเป็นกำมะหยี่บุลายสีสดใส จนมาถึงรุ่นล่าสุด GIANNO ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Converse ไปโดยสิ้นเชิง แต่อันที่จริงพื้นรองเท้าได้แรงบันดาลใจมาจากรองเท้าบาสเก็ตบอลยุค 90s ของ Converse อย่างรุ่น ERX ซึ่งคนทั่วไปที่ไม่ได้เล่นรองเท้าอาจจะไม่ค่อยนึกถึงเท่าไหร่ ส่วนสีของรุ่นนี้ก็ได้แรงบันดาลใจจากลู่วิ่ง หรือเส้นทางเดินบนเนินเขาที่เต็มไปด้วยทราย หรือหน้าตาของรองเท้ากีฬาแบบที่เราคุ้นชิน โดยด้านหน้าบริเวณร้อยเชือกดูเผิน ๆ ก็จะเหมือนดอกไม้บาน ชอบมากกับ session นี้ที่ทำให้เราได้รู้รายละเอียดการออกแบบรองเท้าที่เราคิดไม่ถึงเยอะไปหมด
จบจากการบรรยายแล้ว แต่ละทีมก็ได้ออกมาพรีเซนต์งานของตัวเอง แต่ละคนนำเสนอคอนเซ็ปต์ได้เท่ เป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นแฟชัน บางกลุ่มสามารถนำไปขายงานจริงต่อได้เลย
จากตรงนี้เราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนจะไปต่อกันที่ pre party แถว ๆ ร้าน Golf Wang เตรียมความพร้อมก่อนไปสนุกกันใน Camp Flog Gnaw Carnival ซึ่งปาร์ตี้นี้ก็มี Bas Boi คนดีคนเดิมจากอินโดนีเซีย และ Brae จากออสเตรเลียมาโชว์ฮิปฮอป r&b รวมถึงได้ DJ Yeti Out กับ Jasper and Errol เป็น DJ และ MC จาก New York ที่เล่นเพลงของทั้ง Toro Y Moi, Les Sins (อีกโปรเจกต์ของ Chaz Bear), Peggy Gou แล้วหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ไหลไปเปิด reggaeton กับฮิปฮอปให้ได้บด ๆ เลื้อย ๆ ก่อนจะมี Converse_X_ สายนักเต้นมาแบทเทิลกันกลางวงอย่างเผ็ดร้อน
ส่วนเรานั้นที่กึ่มได้ที่ก็แอบหิว แวบออกไปนั่งกินพิซซ่าร้านข้าง ๆ กันแปปนึงก่อนจะกลับมาสนุกต่อ จากนั้นก็เป็นคิวของดีเจ Yeti Out และ Dominic Fike วงดนตรีวงปิดที่จะต้องไปเล่นใน Camp Flog Gnaw เป็นการทิ้งท้ายให้ทุกคนกลับไปชาร์จพลังให้พร้อมกับเฟสติวัลในสุดสัปดาห์นี้
อ่านเรื่องราว เกี่ยวกับ Converse_X_