Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

สิ้นสุด 14 ปีที่รอคอย Coldplay : A Head Full of Dreams Tour Live in Bangkok

  • Story and photos by: Montipa Virojpan

7 เมษายน 2560

coldplay-head-full-of-dreams-tour-2016-tickets-info-500x500

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคงเป็นอีกวันที่หลายคนรอคอย บางคนรอมา 14 ปีหลังจากคอนเสิร์ตในไทยครั้งแรกของพวกเขา แต่บางคนต้องรอมาทั้งชีวิต (เพราะเกิดไม่ทัน) เราอาจจะเรียกตัวเองว่าเป็นบุคคลกลุ่มหลังก็ได้มั้ง เพราะได้ฟังเพลง Yellow โดยบังเอิญตอนม.ต้นแล้วชอบมาก ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันเพราะช่วงนั้นไม่ได้ฟังเพลงทางนี้เลย จนมาทันฟังจริง ๆ ก็ช่วงอัลบั้ม Viva la Vida or Death and All His Friends ไปแล้ว แต่พอรู้ว่า Coldplay จะมาไทย ก็ตัดสินใจที่จะไปอย่างไม่ลังเล

img_0198

ก่อนที่จะนำเข้าสู่ช่วงรีวิว ต้องขอออกตัวก่อนว่า เราไม่ใช่แฟนเพลงของ Coldplay ร้องได้ไม่กี่เพลง ส่วนใหญ่ก็เป็นอัลบั้มเก่า ๆ ด้วย แต่เหตุผลที่รู้สึกว่าต้องไปเพราะมีความเชื่อว่า นี่เป็นหนึ่งในวงที่ควรดูก่อนตาย (ตอนนี้ยังตายไม่ได้ ยังเหลืออีกหลายวง) มีผลงานออกมาอย่างยาวนานสม่ำเสมอ และเป็นที่กล่าวขวัญทั้งในเพลงและ performance เชื่อว่าคนฟังเพลงหรือนักดนตรีหลาย ๆ คนก็มีจุดเริ่มต้นที่วงนี้ กับอีกเหตุผลนึงคือเราได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่า A Head Full of Dreams Tour ของพวกเขา ‘ปังมากมึง’ ด้วยการคิดโชว์อลังการแสงสี ซึ่งเราจะไม่สปอยล์ตัวเองด้วยการดูคลิปทัวร์ของประเทศอื่น รอไปพิสูจน์เองที่ราชมัง ฯ เลยดีกว่า

img_0195

เมื่อวันที่ 7 เมษายนมาถึง ที่ออฟฟิศฟังใจเปิดเพลง Coldplay บิ๊วกันมาตลอดวัน แต่พอนึกขึ้นได้ว่างานจัดราชมัง แถมเป็นวันศุกร์อีก ช่วงเย็น ๆ ต้องรถติดแน่นอนเลยตัดสินใจกันว่าจะโดยสารทางน้ำกัน (นี่คิดแค่จะทำยังไงให้ไปถึงที่นั่นโดยไม่ต้องฝ่ารถติด ลืมคิดถึงขากลับ เดี๋ยวจะมาเล่าความพังให้ฟัง) แล้วยังมีโพสต์ของ BEC Tero ที่บอกว่าให้เตรียมเสื้อกันฝนมาอีก งานนี้น้องพร้อมเละค่ะ พอเวลาสี่โมงครึ่ง ทีมงานทุกคนซื้อเสื้อกันฝนเซเว่น แล้วยังได้ข่าวอีกว่าไม่มีเบียร์ขายในงาน เลยกดกันไปคนละกระป๋อง ก่อนจะรีบพุ่งตัวไปยังบีทีเอส ไปลงราชเทวี แล้วเกาะเรือด่วนแสนแสบมุ่งหน้าสู่ประตูน้ำ และเปลี่ยนลำเพื่อไปลงท่ามหาดไทยอันเป็นที่ตั้งของราชมังคลากีฬาสถาน ระหว่างนั้นทีมงานคุณภาพก็ซดกันบนเรือเลยค่ะ เมาชิบหาย

img_0202

พอถึงที่หมายเวลาประมาณหกโมงเย็น พอเห็นประมาณคนคือช็อก แบบ ไม่เคยมาคอนเสิร์ตที่คนสเกลนี้มาก่อน ไม่อยากคิดถึงขากลับเลยจริง ๆ ทีมงานเริ่มกระจายตัวเพราะส่วนใหญ่เขาบัตรยืนกันก็ต้องรีบไปจับจองพื้นที่ในสนาม ส่วนเราบัตรนั่ง 2,500 ก็ชิว ๆ อยู่บนยอดดอยร้อนชื้น ก่อนหน้านี้ได้ยินว่ามี opening act ชื่อ Jess Kent ซึ่งเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอไปมากกว่านั้นเลยลองฟังเพลงไปนิดนึงรู้สึกไม่ค่อยอิน ประกอบกับหิวมากเลยไปหาอะไรกินรอจนเวลาสามทุ่มเพื่อจะได้ดู Coldplay

ได้เวลาก่อนโชว์จะเริ่ม ทุกคนตบเท้าเข้าประตูรับ Xyloband ตรงสู่สนามอย่างพร้อมเพรียง เราก็ปีนขึ้นอัฒจันทร์สู่ที่นั่ง E1Q พอถึงแล้วก็เหนื่อยหอบ มองลงไปก็พบว่าสูงอิ๊บอั๋ย ก็นั่งรอไปได้สักพักนึง เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสปอตไลต์ที่หรี่ลง พร้อมกับเพลงโอเปร่ายิ่งใหญ่เริ่มบรรเลง เสียงเฮของแฟนเพลงก็ดังกระหึ่มฮอล พร้อมกับ VTR intro ของโชว์ที่ปรากฎเป็นแฟนเพลงจากประเทศต่าง ๆ ค่อย ๆ นับถอยหลังก่อนที่โชว์จะเริ่มขึ้น เมื่อประเทศที่ทัวร์ใกล้ไทยเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงประเทศตัวเอง คนทั้งสนามร้องเฮลั่น (สารภาพว่าเราเองก็ขนลุกเหมือนกัน แบบ คนคิดโชว์บิ๊วเก่งอะ) จากนั้นทุกอย่างก็ดับลงอีกครั้ง ตามมาด้วยโควทอันโด่งดังของชาร์ลี แชปลิน สร้างบรรยากาศสุดขลังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

img_0203

แล้วจู่ ๆ ไฟสีแดงส่องสว่างจาก Xyloband ของทุกคน จนแดงฉานไปทั่วทั้งสนามและอัฒจันทร์ แต่ของเราเสือกไม่ติด!!! ตอนนั้นเฟลละ ทำไมเจ๊งอยู่คนเดียววะ แฟนก็จะเอาของตัวเองมาให้เราใส่ แต่พออยู่ ๆ ไปมันติดละ /จบ. โดยเพลงแรกที่มาพร้อมโทนสีแดงนั่นคือ A Head Full of Dreams เป็นการเปิดโชว์อย่างเป็นทางการ

img_0208

เมื่อจบเพลงนั้นแล้ว ไฟของทั้งสนามก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็เป็นอันรู้กัน แค่ไลน์กีตาร์สุดแสนจะคุ้นเคยขึ้นมาเราก็น้ำตาไหลแล้ว Yellow เป็นเพลงแรกที่ทำให้รู้จักกับ Coldplay และชอบมากขนาดนั้น ได้ฟังสด ๆ ก็ถือว่าดีงามมาก ๆ แสงไฟเฉดเหลืองทองสาดส่องไปทั่วสนามอย่างอบอุ่น ยิ่งท่อนแรกขึ้นมาแล้วทุกคนในสนามร้องดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงยิ่งเป็นอะไรที่มีความสุขจริง ๆ เอ้า กลับบ้านได้ /อะ ล้อเล่ง

img_0213

แล้วก็ได้เวลาที่พี่คริสทักทายแฟน ๆ พูดประมาณว่า 14 ปีแล้วนะ ได้กลับมาเล่นอีกรอบที่นี่ แม้จะรถติดชิบหายแต่ทุกคนก็แห่มาดูกัน มา พี่จะเนรมิตให้โชว์นี้เป็นอีกโชว์ที่ดีที่สุดเลย พอแม่ยกได้ยินก็ยาหอมสิคะ เฮลั่นสนามกันใหญ่ ไฟตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวฟ้าในเพลง Every Teardrop Is A Waterfall ต่อด้วย The Scientist ที่ทุกคนรอบ ๆ ตัวเราแหกปากลั่น คราวนี้พี่คริสย้ายไปเล่นเปียโน เราเพิ่งสังเกตว่าเครื่องดนตรีต่าง ๆ ถูกเซ็ตได้อย่างน่ารักมาก มีมาลัยดอกไม้สีสันสดใสวางอยู่ทั่วไปหมด แล้วพี่คริสก็บอกให้ทุกคนร้องคอรัสกันในท่อนท้ายของเพลง แล้วตามด้วย Birds

จบจากเพลงนั้น พระอาทิตย์สีเหลืองส้มดวงใหญ่ก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาบนจอ และเมื่อขึ้นมาเต็มดวง พร้อมผีเสื้อหลากสีบินว่อน เพลง Paradise ก็ถูกบรรเลง แต่ที่ช็อกคือ อยู่ดี ๆ พี่คริสก็บิ๊วประมาณว่า เอ้า ทุกคนพร้อมยังงงง แล้วจู่ ๆ ก็เป็นแบบ drop the bass แล้วกลายเป็น EDM ไปเลย… มันก็เป็นบีทที่ทุกคนในสนามดูจะสนุกกัน  ด้วยแสง สี วิชวลอะไรด้วย แต่เราสตันไปนิดนึง ไม่คิดว่าจะเอามา arrange แบบนี้ แต่เก่งที่เป็น live drums เนี่ยล่ะ

img_0216

ต่อจากนั้น ทุกคนก็เหมือนวาร์ปมาอยู่ตรงเวทีเล็กตรงกลางสนาม ที่บนเวทีมีวิชวลเล่นล้อไปกับเพลง Always in my Head ก่อนจะวิ่งกลับไปเวทีใหญ่ ที่แค่วิ่งไปเฉย ๆ ก็มีคนกรี๊ดตามแล้ว ฮ่า ๆๆ ได้เวลาที่จะเล่นเพลง Magic ในจังหวะย้วย ๆ แต่วิชวลสวยงามตามท้องเรื่อง ก่อนจะพูดคุยกับผู้ชมอีกทีซึ่งหนนี้ก็ทักทายคนดูบนอัฒจันทร์รอบสนาม แล้วเล่าว่าขึ้นไปนั่งบนนั้นตอนรันทรูแล้วมองลงมา รู้สึกว่ามันต้องน่าตื่นตาตื่นใจมากแน่ ๆ (ใช่ค่ะ ฮือ) ซึ่งก่อนจะเล่น Everglow ก็พูดถึงในหลวงรัชกาลก่อนและเลือกที่จะร้องเพลงนี้อุทิศให้ด้วย (ทำการบ้านมาดี เอาใจแม่ยกไปอีกรอบ) ซึ่งตอนท้ายเพลงก็ขึ้นวิดิโอสปีชของ มูฮัมหมัด อาลี จากกิมมิกอะไรตรงนี้ทำให้เราเริ่มคิดว่า ก็อาจจะจริงนะที่บางคนว่า Coldplay มีความเป็นวงดนตรีของโลก ทำเพลงที่ทุกคนเข้าถึงเพราะอยากอุทิศตนโดยใช้เสียงเพลงเยียวยาความฟอนเฟะต่าง ๆ บนโลกใบนี้

Processed with VSCO with p5 preset

ไม่นานนัก แสงเลเซอร์ก็พุ่งพล่านพร้อมกับเพลง Clock จากชุด A Rush of Blood to the Head ที่ทำให้แฟนเพลงยุคแรกได้ใจชื้นกันบ้าง ก่อนจะเป็นอินโทรเพลง Midnight แล้วจึงเป็น Charlie Brown ที่พี่คริสออกปากว่า “Phones down, hands up” กันนะจ๊ะทุกคน แล้วจึงเป็นเพลง Hymn for the Weekend ที่มีเพียงเงาเสียงของแม่บีออกมา แต่วิชวลและสีสันของไฟในโชว์นี้ลูกกวาดมาก จ้อบบบ

img_0218

ต่อไปนี้เป็นช่วงเรียกน้ำตาของหลายคน ตั้งแต่เพลง Fix You ที่กินใจ กับท่อนกีตาร์โซโล่ที่ขึ้นมาได้แบบบาดลึก ต่อด้วยเพลง Heroes งานคัฟเวอร์จากศิลปินผู้ล่วงลับ David Bowie ที่ขนลุกมาก ๆ ค่อนข้างแปลกใจว่าทั้งสนามเงียบมากทั้งที่หลายคนบอกว่าปกติเพลงนี้แทบจะเป็น anthem ในหลาย ๆ โชว์ แต่ก็หยวน ๆ กันไปนะ นี่คอนเสิร์ต Coldplay จากนั้นก็ตามมาติด ๆ ด้วย Viva la Vida ที่เวทีกลาง ตอนท้ายเพลงพี่คริสนอนลงไปบนเวทีที่วิชวลตอนนี้หมุนติ้ว ๆ เหมือนเป็นน้ำวน เท่ไปอีก แล้วพาไปดีดกันต่อที่ Adventure of a Lifetime เพลงจากชุดใหม่ที่เราชอบ ในโชว์มีลูกโป่งลูกยักษ์หลากสีถูกปล่อยออกมาให้โยนไปรอบ ๆ สนาม บางลูกลอยขึ้นมาถึงตรงที่เรานั่งก็มี วิชวลก็เป็นเจ้าลิงแบบในเอ็มวีออกมาเต้น ๆ กัน สนุกไปอีก

img_0221

จบช่วงนี้ทุกอย่างก็เงียบลงคล้ายจะเป็นช่วงพักของโชว์ แต่ผู้ชมดูจะไม่อยากรอ เลยร้องท่อนคอรัสของ Paradise กันดังลั่นเป็นการอังกอร์ จนเมื่อมีสปีชอีกครั้งหนึ่งพร้อมท่อนหนึ่งในเพลง Amazing Grace เวอร์ชันเสียงร้องต่ำสุดกู่จากเพลง Kaleidoscope แล้วทั้งวงก็เดินออกมาในระยะใกล้ชิดคนดู แล้วขึ้นเล่นที่เวทีใกล้อัฒจันทร์ เราเลยได้เห็นชัดขึ้นอีกนิด โดยคาดว่าเพลงที่จะเล่นช่วงนี้คงเป็นเซ็ตเบา ๆ ไม่ก็อะคูสติก ก่อนที่จะเป็น In My Place ที่ทำเอายิ้มไปขนลุกไปอีกแล้ว ตามมาด้วย Don’t Panic พูดตามตรงว่าคิดถึง Coldplay ในโหมดแบนด์ดิบ ๆ นี้มาก ก่อนที่จะเป็น ’Til Kingdom Come ซึ่งเป็น hidden track จากอัลบั้ม X&Y ซึ่งเป็นเพลงโฟล์ก-คันทรีแทบจะเพลงเดียวของพวกเขาเลยมั้ง บอกตามตรงเราไม่ค่อยอินเพลงโฟล์กหรือคันทรี แต่โมเมนต์ที่ได้ฟังและดูเพลงนี้เป็นครั้งแรกกลับรู้สึกขลัง สงบ และประทับใจมากในความเรียบง่ายนี้ และเพลงนี้ก็เป็นเพลงพิเศษสำหรับโชว์ในประเทศไทยด้วย

img_0223

ได้เวลาที่พวกเขาจะวิ่งกลับไปยังเวทีใหญ่ พร้อมเล่นเพลงล่าสุดที่ได้ร่วมงานกับ The Chainsmokers นั่นคือ Something Just Like This ที่เราอาจจะไม่อินเพลงเท่าไหร่ แต่บนจอก็ขึ้นเป็น lyrics video พร้อมวิชวลสไตล์ doodle ที่น่ารักมากกกกก มีการทำให้ตัวของพวกเขาที่ถูกฉายผ่านจอกลายเป็นเส้น ๆ คล้ายหลอดนีออนแบบในวิดิโอด้วย แล้วจึงเป็นเพลง A Sky Full of Stars ที่วิชวล กับไลท์ติ้งสีม่วงเขียวสวยมาก ก่อนจะปิดท้ายด้วย Up & Up พร้อมวิดิโอวินเทจมอนตาจสีฟ้านวลสวยงาม จบลงไปแบบฟีลกู๊ด ๆ พร้อมบอกว่าพวกเขาจะกลับมาอีก (ปากเปล่าหรือเปล่าคะพี่ แต่ถ้ามาอีกจริง ๆ ก็ดี)

img_0226

จบโชว์ไปในเวลาห้าทุ่ม พวกเราเดินออกมาด้วยความอิ่มเอม แต่เมื่อนึกถึงตอนที่จะกลับบ้านเนี่ย โอ้โห รถติดเป็นอัมพาต Grab นี่เรียกไม่มาสักคัน Uber จากนี่ไปบ้านก็เกือบแปดร้อย แทบร้อง ทำให้ต้องเดินข้ามไปยังซอยลาดพร้าว 122 เพื่อหาแท็กซี่ แต่ก็ไม่มีรถแท็กซี่วิ่งผ่านซักคัน ระหว่างนั้นเจอผู้ร่วมชะตากรรมอีกหลายสิบชีวิตเดินอย่างไร้จุดหมายตลอดทาง จนเราสิ้นหวัง นั่งกินหมาล่าที่ตลาดของกินแห่งหนึ่ง รอจนถนนโล่งแล้วถึงจะมีแท็กซี่ขับเข้ามานั่นแหละ ฮือ ไม่ไปราชมัง ฯ แล้วโว้ยยยยย

img_0230

สำหรับโชว์ครั้งนี้เราสามารถพูดได้ว่านี่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คอนเสิร์ตที่คิดและออกแบบโชว์มาได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการบิ๊วอารมณ์คนดูก่อนเริ่มคอนเสิร์ตด้วย visual, lighting ต่าง ๆ ผสมสีและภาพให้เข้ากับแต่ละเพลงจนได้ผลลัพธ์สุดจะดีงาม ไหนจะการยิงพลุ คอนเฟตติรัว ๆ หรือการทำให้บรรยากาศขรึมขลัง ช่วง intermission ต่าง ๆ การเคลื่อนย้ายวงไปยังแต่ละเวที เลยทำให้โชว์ดูมีไดนามิกอยู่ตลอด หรือไดอะล็อกที่เลือกมาพูดในแต่ละช่วงก็ดูคิดดีทำดีเป็นคนดีมากจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่แนะนำสมาชิกวง ทั้งแซวทั้งแกล้งเพื่อนได้น่ารักมาก คือเป็นวงที่อยู่ด้วยกันมานานเหมือนเติบโตไปพร้อม ๆ กันตั้งแต่เล่นเวทีเล็ก ๆ จนมี world tour ของตัวเอง

ด้าน setlist เราคงไม่วิจารณ์อะไรเพราะคิดว่านี่เป็นโชว์ที่วงรวมถึงทีมงานทุกคนต่างคิดมาแล้ว ด้วยคอนเซปต์ที่มีแกนหลักยึดอยู่กับอัลบั้มชุดล่าสุด จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เพลงที่เลือกนั้นถูกใจแฟนเพลงทุกกลุ่ม เพื่อที่จะให้โชว์นี้ไม่เหมือนกับโชว์เมื่อ 14 ปีก่อน จึงได้ผสมผสานเอาทั้งรวมมิตรเพลงในตำนานมาเอาใจแฟนกลุ่มเก่า และเลือกงานใหม่ ๆ ที่ฮิตติดชาร์ตมาด้วย เพราะยังไงซะกลุ่มแฟนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันก็ได้รู้จักกับพวกเขาจากเพลงเหล่านี้ ซึ่งแม้จะไม่ใช่เพลงที่เราชอบทั้งหมด แต่การแสดงของวงที่มีชั่วโมงบินอย่างยาวนานก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลยแม้แต่น้อย และอย่างน้อยที่สุดก็ได้ achievement ของชีวิตนี้อีกหนึ่งอย่าง คือการได้ดูและได้ยิน Coldplay เล่นเพลงที่ทำให้รู้จักกับพวกเขาในที่สุด และเรายังจำความรู้สึกที่ลำแสงสีเหลืองสาดส่องไปทั่วสนามมาจนถึงตอนนี้

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้