My Buddha is Punk ระเบิดความมันและพลังแห่งการต่อต้านไปกับ The Rebel Riot Band
- Writer: Malin Jairakthongtheaw
- Photo: The Rebel Riot Band, Metavee Varintaravejh, and Mananya Ruenrakrao
‘MY BUDDHA IS PUNK’ แค่ได้ยินชื่อก็ต้องร้องออกมาเบา ๆ ว่า เหยด พังก์ว่ะ! นี่คือหนังสารคดีสั้นที่บอกเล่าเรื่องราวของ Kyaw Kyaw หนุ่มพังก์พม่าวัย 25 และเพื่อน ๆ ในวง The Rebel Riot ที่เคลื่อนไหวอยู่ในวงการพังก์พม่าที่กำลังเติบโต ท่ามกลางสังคมของอดีตประเทศเผด็จการทหารที่กำลังปฏิรูปตัวเองให้กลายเป็นประเทศประชาธิปไตย การลอบมองความเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ทำให้พวกเขาคลางแคลงใจในระบบและรู้สึกว่าความจริงแล้วประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถ่ายทอดความอัดอั้นทางการเมืองที่พวกเขารู้สึก ทั้งเรื่องสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การถูกข่มเหงของชนกลุ่มน้อย ความขัดแย้งทางศาสนา ไปจนถึงการพยายามทำให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ถึงการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านบทเพลงที่พังก์ของพวกเขา ซึ่งพอเรามารู้ว่าหนังเรื่องนี้จะถูกนำมาฉายที่ Gallery VER ในงาน Bangkok Underground Film Festival 2017 ก็ต้องเอาปากกาแดงมาวงปฏิทินไว้ใหญ่ ๆ ว่าจะต้องไม่พลาด
พอวันอาทิตย์ปุ๊บเราก็รีบตรงไปที่งาน ไปถึงหนังก็เริ่มฉายได้สักพักแล้ว คนค่อนข้างเยอะเหมือนกันเพราะล้นทะลักออกมานอกรั้ว Gallery ส่วนคนมาช้าอย่างเราก็ต้องดูแลตัวเอง ด้วยความสูงที่สู้คนอื่นไม่ค่อยจะได้ ให้ชะเง้อคอต่อก็ไม่ไหวจึงถอดใจที่จะเบียดเข้าไปข้างใน ถอยออกมาตั้งหลักด้านนอกรอดูช่วง Q&A และ live แทนละกัน แต่เท่าที่จับใจความได้จากการอ่านซับไกล ๆ บวกถามเอาจากเพื่อนคือ เขากำลังจะทำ punk fanzine เล่มแรกของพม่า ซึ่งตอนนั้นมีประเด็นเหยียดชาวยะไข่ เนื่องจากคนพม่ากลัวว่ามุสลิมจะครอบงำสังคมที่เคยนับถือพุทธจึงเกิดการต่อต้าน ทางวงจึงเริ่มตั้งคำถามพูดคุยกันถึงบทบาทของการเป็นศาสนิกชน สิ่งที่อองซานซูจีทำ และแท้ที่จริงแล้วศาสนาพุทธคืออะไร
ช่วงถาม-ตอบถือว่าเด็ดมากเพราะมีคำถามโดน ๆ จากคนหลากหลายชาติ เช่น การแต่งตัวที่ดูก้าวร้าวแต่ทำไมกลับสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาและศาสนาพุทธ ความเห็นต่อเรื่องปัญหาศาสนาระหว่างชาวโรฮิงญาและชาวพุทธในพม่า การเมืองไทยในสายตาเขาใน 3-4 ปีมานี้ หรือศาสนาพุทธในมุมมองของพวกเขา ซึ่งคำตอบของ Kyaw Kyaw ก็ทำให้ผู้ชมปรบมืออย่างถูกใจ
พอหมดช่วงตอบคำถามจอภาพยนตร์ก็ถูกปรับให้เป็นหลังคาเวที (อันนี้โคตรเท่) ผู้ชมช่วยกันเก็บเก้าอี้ซ้อนกันไว้ข้าง ๆ คนที่อยู่ด้านนอกค่อย ๆ ทยอยเดินเข้ามาห้อมล้อม ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ดู live แบบใกล้ชิดติดนักดนตรีขนาดนี้ ประมาณ 21:00 น. ซาวด์กีตาร์เรียกเสียงโห่ร้องจากผู้ชมได้อย่างดี เพลงแรกถูกบรรเลงขึ้น เราไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพลงอะไรและฟังไม่ออกว่าเขาร้องว่าอะไร รู้อย่างเดียวตอนนั้นสะใจมาก นี่แค่อุ่นเครื่องนะ ของจริงคือหลังจากนั้นฮะ เหล่าสาวกพังก์ทั้งหลายโชว์ลีลามอชกระแทกกระทั้นกันอย่างเมามันหน้าเวที ยิ่งเมื่อเพลงสุดท้ายจบลง ขณะที่ The Rebel Riot กล่าวอำลา ขอบคุณ และกำลังจะถอดกีตาร์ คนดูพร้อมใจกันตะโกนร้องขออีกเพลง ๆ (ขนลุก) พี่ ๆ เลยใจดีจัดให้ไปเลยสองเพลง คราวนี้เหมือนระเบิดและปลดปล่อยทุกสิ่งอย่าง ถึงจะฟังไม่ออกแต่ก็มิใช่ปัญหา ทั้งคนไทยและต่างชาติก็เต้นกันฝุ่นตลบ โยกกันหัวแทบหลุด มันแค่ไหนก็ tackle กันแรงจนมีคนต้องเอามือกุมเข่าอะคิดดู
จบโชว์ คนเริ่มทยอยเดินออกไปให้เจ้าหน้าที่จัดเก้าอี้เพื่อฉายหนังเรื่องต่อไป ส่วนเราพลังหมดแล้ว อยู่ต่อไม่ไหวจริง ๆ หิวมากจนกินเกี๊ยวเหลียวหนิงหมดไปสองจานคนเดียว เรารู้สึกว่าถึงแม้จะโชว์กันแค่ครึ่งชั่วโมง แต่ศิลปินและแฟนเพลงต่างก็ได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจที่มีต่อความบิดเบี้ยวของคน ความเชื่อ ศาสนา ตลอดจนการเมือง ตอนเดินออกจากงานเราได้ยินแต่คำว่า ‘เดือดสัส’ เออ โคตรเดือดดดดดดดด