Bon Iver เต็มอิ่มทั้งแสง สี เสียง กับเพลงฮิตที่ถูกบรรเลงในเวอร์ชันที่คาดไม่ถึง
- Story and photos by Pariyapas Usaha and Warut Duangkaewkart
ก่อนหน้านี้ เวลามีคำถามเกิดขึ้นในวงสนทนาว่า วงดนตรีไหนที่น่าดูพวกเขาเล่นสดบ้าง นอกจากวงใหญ่ที่เราคุ้นหูกันอยู่แล้ว Bon Iver จะเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ผุดขึ้นมาเสมอ จากคำกล่าวของใครหลาย ๆ คนที่เคยได้ไปสัมผัสมาบ้างแล้ว บวกกับโชว์ที่เราได้เห็นผ่านตากันบนอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่พาร์ตของดนตรีเท่านั้น แสง สีต่าง ๆ และโปรดักชันก็เติมเต็มให้โชว์ทุกครั้งของพวกเขาเต็มอิ่มไปด้วยความรู้สึก ทำให้ดึงดูดคนดูทั้งกลุ่มที่เป็นแฟนเพลง นักดนตรี รวมถึงดีไซเนอร์มากมาย ที่เฝ้ารอดูโชว์ครั้งนี้
งานวันนี้จัดโดย VIJI CORP ที่ มูนสตาร์สตูดิโอ 8 แม้จะโหดร้ายกับการเดินทางในวันทำงานไปบ้าง แต่ก็ไม่ลำบากเกินไปที่จะมาให้ทันเวลาขึ้นแสดงตอน 20.00 น. ก่อนที่วงจะเริ่มทำการแสดงไม่นานนัก เราก็เดินเข้าไปจับจองที่บริเวณหน้า front of house ของเวทีที่เป็นที่ประจำเสมอเวลาไปคอนเสิร์ต มองขึ้นไปบนเวทีก็เห็นเซ็ตเครื่องดนตรีที่เต็มไปด้วย กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด กลองถึง 2 ชุด และอีกหลายสิ่งนับไม่ถ้วน ทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่จะได้ดูโชว์ของ Bon Iver ครั้งแรกซักที
เมื่อถึงเวลา 20.11 ไฟก็ดับลง Justin Vernon ก็ได้นำทีมสมาชิกทั้งหมดขึ้นเวที ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น วงก็เปิดเพลงแรกด้วย Perth พอดนตรีขึ้นเต็มมาเท่านั้นแหละ สัมผัสได้เลยว่านี่ต้องเป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดในปีนี้ของเราแน่นอน เพราะซาวด์ดีมาก ๆ การบาลานซ์วงทำได้ดีมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่มีเครื่องดนตรีเยอะขนาดนี้ (สังเกตได้ว่าลำโพง PA สองข้างที่แขวนอยู่มีถึงข้างละ 16 ตัว!!) อีกทั้งยังมีการโชว์ไลท์ติ้งที่ซิงก์กับเพลงแบบเป๊ะ ๆ รู้สึกได้เลยว่านี่แหละคือโชว์ของวงระดับโลก
ต่อกันเลยด้วย Yi เพลง Interlude จากอัลบั้มล่าสุด i,i ก่อนจะซัดกันต่อยาว ๆ อีก 7 เพลง แบบไม่มีการพูดอะไรทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ 3 เพลงแรกจะอัลบั้มนั่นก็คือ iMi, Weและ Holyfields
ต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มเก่า ๆ อย่าง Lump Sum, 666 ʇ, 715 – CREEKS และ ทิ้งท้ายเซตแรกด้วย U (Man Like) ซึ่งตั้งแต่เล่นมาจนถึงเพลงนี้ สมาชิกแต่ละคน แทบจะเปลี่ยนเครื่องดนตรีเล่นกันแทบทุกเพลง (แค่ Justin ก็เปลี่ยนกีตาร์ไป 4-5 ตัวแล้ว) นับถือใจทีมเทคนิเชียนที่ทำงานเนี้ยบมาก ๆ รวมถึงซาวด์เอนจิเนียร์ของวง ที่จัดการซาวด์ของทุกเครื่องดนตรีได้ออกมาอย่างแทบจะไร้ที่ติเลย ส่วนเรื่องฝีมือของวงนี่แทบไม่ต้องพูดถึง โหดมาก ไดนามิกดีมาก จะดังจะเบาก็เอาอยู่หมด
ถึงจุดนี้ก็มีการพูดทักทายจาก Justin ซักทีด้วยประโยคสั้น ๆ ที่ว่า “Hi Everybody. We love you, thank you.” ก่อนจะซัดกันต่อให้ฟินไปเลยกับ Jelmore และ Faith
จากนั้น Justin ก็พักเบรกด้วยการพูดถึงการมาประเทศไทยครั้งแรก ซึ่งเจ้าตัวถึงกับพูดว่าวงอยากให้การทัวร์จบที่นี่เลยทีเดียว จะได้อยู่กันต่ออีกยาว ๆ เรียกเสียงหัวเราะจากแฟน ๆ ได้มากทีเดียว
เริ่มเข้าสู่ช่วงกลางโชว์ เพลงเริ่มเดือดขึ้น กับ Marion จากนั้น Justin เกริ่นก่อนเล่นว่าจะขอเล่นเพลงในอัลบั้มแรก (For Emma, Forever Ago) อีกซักเพลง และขึ้นอินโทรมาด้วยความนุ่ม สมูธแจ๊สหน่อย ๆ กับเพลง Creature Fear แต่ตลบหลังทุกคนด้วยครึ่งเพลงหลังที่เป็นโพสต์ร็อก พาขึ้นไปดูกาแล็กซีเลยทีเดียว (ส่วนตัวชอบเพลงนี้มาก ๆ มีการไล่ไดนามิกที่โหดสุดๆ และท่อนจบก็ทำได้ถึงสุด ๆ ไปเลย)
และแล้วก็มาถึงเพลงชาติอย่าง Skinny Love ซึ่ง Justin ขอเป็นคนบรรเลงกีตาร์โปร่งเดี่ยว ๆ เล่นคนเดียวก็สะกดผู้ชมทั้งมูนสตาร์ได้อยู่หมัด (ส่วนตัวขอชมผู้ชมคอนเสิร์ตนี้ที่ให้เกียรติศิลปินสุด ๆ ทุกคนมาเพื่อตั้งใจดู ตั้งใจฟังเพลงจริง ๆ)
จากนั้นก็มีการแนะนำสมาชิกวง ได้แก่ Andrew Fitzpatrick, Michael Lewis, Matthew McCaughan, Sean Carey และสมาชิกคนล่าสุดจากวง Wye Oak นั่นคือ Jenn Wasner มือกีตาร์ เบส คีย์บอร์ด และยังคอรัสอีก! (บอกแล้วว่าสมาชิกวงนี้เล่นได้แทบทุกอย่าง)
หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อยก็ต่อกันยาวๆด้วย Salem, Hey, Ma, ___45___ และ 33”GOD”
เข้าสู่ช่วงท้ายของโชว์ Justin ก็ได้กล่าวขอบคุณทุกคนที่มากันวันนี้ ยังขอทิ้งท้ายด้วยการพูดถึงองค์กรจิตอาสาอย่าง ‘Freedom Restoration Project’ ที่เป็นองค์กรอิสระช่วยเหลือด้านการเยียวยาการถูกละเมิดสิทธิ และความรุนแรงของผู้หญิงและเด็กในแถบชายแดนของประเทศไทย พวกเขาอยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นนั่นเอง
จากนั้นก็เป็นเพลง Sh’Diah ที่ Michael จัดโซโล่แซ็กโซโฟนได้โคตรไพเราะและอบอุ่นอย่างมาก ก่อนจะจบเซตด้วยเพลงดังอย่าง Naeem ให้ฟินกันน้ำตาแตกไป
รอกันไม่นานนัก วงก็ขึ้นมาจัดอังกอร์รวดเดียว 3 เพลง ได้แก่ Blood Bank, Holocene และทิ้งท้ายอย่างสวยงามด้วย RABi เป็นอันจบการมาทัวร์ประเทศไทยครั้งแรกของ Bon Iver
จบลงไปกับโชว์ที่ใครหลายคนยกให้เป็นการเริ่มต้นปีที่ดีงาม ที่แม้ว่าโชว์ของเขายังขาดทีมวิชวลคู่ใจอย่าง Whitevoid (ที่เราเป็นหนึ่งในคนที่อยากเห็นกับตาด้วยเหมือนกัน) แต่ทั้งดนตรี การแสดงสด แสงสี ที่สมบูรณ์มากพอที่เราจะรู้สึกอิ่มใจพร้อมที่จะลุยกับคอนเสิร์ตอีกมากมายในปีนี้