Article ระเห็ดเตร็ดเตร่

พาบินตามมาดู American Idiot The Musical ในฉบับออสเตรเลีย

  • Writer: Malaivee Swangpol
  • Photograph Credit: American Idiot AU

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนเลยว่าเราเป็นติ่งวง Green Day ตั้งแต่ม.ต้น ติดตามงานของพวกเขามาตลอด ซึ่งตอนที่ละครเวทีเรื่อง American Idiot the Musical เริ่มแสดงที่สหรัฐอเมริกาประเทศบ้านเกิดของวง เราก็ได้แต่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ว่าซักวันจะมีโอกาสได้ดูสด ๆ จนละครเริ่มออกทัวร์ทั่วโลกในช่วงปี 2011 เป็นต้นมา เราก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปดู พอมาวันนี้ในปี 2018 พอน้องที่อยู่ที่เพิร์ธ ออสเตรเลีย บอกเราว่าจะมีละครเพลงเรื่องนี้ไปเล่น เราก็กดตั๋วแล้วก็เริ่มจัดการทริปแบบไม่ลังเล มาวันนี้เราได้ดูจริง ๆ แล้ว ขอมาเล่าความฟินในฐานะติ่งคนหนึ่งให้ฟังกันค่ะ

Crown Theatre Perth

โรงละครที่เราไปดูวันนี้ชื่อ Crown Theatre ตั้งอยู่ในอาณาจักรคาสิโนและโรงแรมในชื่อ Crown ซึ่งเมื่อเราเข้าไปที่หน้าโรงละครก็ซื้อ program book มาอย่างไม่ลังเล ข้างในเล่าที่มาที่ไปของละครในฉบับออสเตรเลีย เรื่องราวของวงกรีนเดย์ ประวัติของนักแสดงและนักดนตรี ซึ่งเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ คือ นักแสดงหลายคนก็เล่นวงร็อกในยามว่าง รวมถึงบางคนก็ออกอัลบั้มมาแล้ว พออ่านเรื่องนี้ยิ่งทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากว่าฉบับออสเตรเลียจะไม่แพ้ต้นฉบับแน่นอน พอเราเข้าไปนั่งในหอแสดงก็ได้เห็นฉากซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับต้นฉบับ ตื่นเต้นแล้วจ้า อ้อ บอกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นแบบ sung-through คือใช้บทเพลงเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งหมด พูดแค่นิดเดียวเท่านั้น โดยจอห์นนี่จะอ่านจดหมายที่ส่งถึงตัวละครอื่น ๆ ให้ฟังเป็นการเล่าเรื่อง แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นติ่งแบบที่ร้องตามได้ทุกเพลง เนื้อเพลงจะพาให้ทุกคนเข้าใจได้แน่นอน

American Idiot Johnny

สองทุ่มตรง เสียงเพลงแรกดังขึ้นคือ American Idiot ที่ตัวละครในเมือง Jingletown ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจกับการต้องทนดูสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโทรทัศน์แบบไม่มีทางเลือก ซึงในเวอร์ชั่นนี้ได้อัพเดตเรื่องราวที่ฉายบนจอภาพบนเวทีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันที่ใครหลาย ๆ คนรวมถึงวงกรีนเดย์ไม่เห็นด้วยในการทำหน้าที่ของเขา จากน้ัน Johnny นักแสดงหลักของเรื่องก็เริ่มเล่าเรื่องราวของตนใน Jesus Of Suburbia ตามด้วยเรื่องราวของเพื่อนซี้ Will และ Tunny ซึ่งทั้งสามมาร่วมกันเมามายทั้งเหล้าและยาเสพติด จากนั้นก็ไปซื้อเบียร์ที่ 7-11 ในท่อน City Of The Damned ที่ร้องว่า ‘In the parking lot, of the 7-11 where I was taught, The motto was just a lie’ ซึ่งบนเวทีก็ฉายแถบสีสามสีของร้านสะดวกซื้อชื่อดังด้วย ต่อมาก็ร่วมกันร้อง I Don’t Care อย่างสนุกสนาน ในท่อนที่สี่ Dearly Beloved Heather แฟนสาวของวิลดันท้อง ความตึงเครียดก็เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งในขณะเดียวกันจอห์นนี่ก็เอาตั๋วรถบัสมาให้เพื่อนทั้งสองเพื่อเดินทางออกจากเมืองนี้ แต่พอวิลรู้เรื่องลูก เลยต้องยอมกลับบ้าน ในท่อน Tales Of Another Broken Home การเดินทางใน Holiday จึงเหลือแค่วิลกับจอห์นนี่
American Idiot Heather

ใน Boulevard Of Broken Dreams จอห์นนี่ประสานเสียงกับสาวสวยปริศนาจากหน้าต่างด้านบน ไฟสลัว ๆ บนเวทีชวนให้เราลุ้นว่าเธอจะเป็นตัวละครนั้นที่เราเดาไหมนะ หลังจากนั้นใน Favorite Son ทันนี่เริ่มโดนชักจูงโดยโฆษณาชวนเชื่อในโทรทัศน์ให้ไปสมัครทหาร จนเขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไปสมัครใน Are We Waiting เกิดจากความว่างเปล่าในชีวิตที่ไม่รู้ว่าอนาคตคืออะไร ‘are we we are the waiting? unknown, the Jesus of Suburbia is a lie’ เมื่อจอห์นนี่เหลือตัวคนเดียว St. Jimmy ก็โผล่มาแนะนำยาเสพติดให้เขา จนเขารู้สึกเหมือนพบพระเจ้า และค่อย ๆ ถลำลึกไปเรื่อย ๆ เรื่องราวของเพื่อนทั้งสามโผล่กลับมาใน Give Me Novocaine จอห์นนี่ได้พบรักกับหญิงสาวไร้ชื่อหรือว่า Whatsername นั่นเอง ทันนี่โดนยิงในสงครามจนพบแต่ความปวดร้าว และวิลก็ไม่มีความสุขกับฮีทเธอร์ ในเพลงต่อมาจอห์นนี่ได้เล่าเรื่องของ whatsername ใน Last of the American Girls/She’s a Rebel ซึ่งสลับเนื้อทั้งสองเพลงมาร้องได้เท่มาก ๆ อันที่จริงเราก็แอบกรี๊ดตั้งแต่เป็นเวอร์ชั่น original soundtrack แล้ว เนื้อมีดังนี้ ‘She is one of a kind, she’s the last of the American girls’ และ ‘She’s a rebel, she’s a saint, she’s the salt of the earth and she’s dangerous’ ตัดมาที่ฮีทเธอร์ เธอร้องเพลง Last Night On Earth ให้กับลูกของเธอ แต่ต่อมาเมื่อเธอเริ่มไม่ไหวกับนิสัยแย่ ๆ ของวิล เลยส่ง f*** you ให้ด้วยเพลง Too Much, Too Soon 

American Idiot Favorite Son

ตัดภาพมาที่ทันนี่ เขานอนหลอนอยู่ตลอดเพลง Before The Lobotomy หลังจากนั้นพยาบาลคนสวยของเขาก็โหนสลิงลงมาในชุดสาวตะวันออกกลางกับเพลง Extraordinary Girl จนเปิดผ้าคลุมออกเป็นชุดสาวระบำหน้าท้องที่ทั้งตีลังกา ร้องเพลง เหาะ ดูแล้วสนุกมาก ๆ ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน นับเป็นหนึ่งฉากที่ประทับใจเพราะตื่นตามาก ๆ และยังทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเพ้อจากความเจ็บแผลของทันนี่ ทันใดนั้นเขาก็ตื่นจากภาพหลอน มาเป็น Before The Lobotomy อีกรอบ ที่เขากรีดร้องด้วยแผลจนหมอต้องลากออกจากฉากไป ตัดมาที่จอห์นนี่ซึ่งตกหลุมรักเธอคนนั้นจนแต่งเพลงซึ้ง ๆ อย่าง When It’s Time ให้ ซึ่งในความเป็นจริง Billie Joe Armstrong นักร้องของวงกรีนเดย์ได้แต่งเพลงนี้ให้กับภรรยาของเขา ฉากนั้นในละครน่าจะเป็นฉากที่เขินที่สุดเพราะก่อนจอห์นนี่จะร้องเพลงซึ้ง ๆ เขาถามคนรักที่อยู่บนเตียงว่าหลับอยู่หรือเปล่า ถ้าตื่นจะไม่ร้องเพลงนี้เพราะเขิน แต่หลังจากโรแมนติกไปได้ไม่กี่อึดใจ เขาเริ่มหลอนกับยาเสพติด จนเกือบจะเอามีดมาแทงเธอ ซึ่งเขาติดยาขนาดว่า เธอเอายาเสพติดไปซ่อน เขาก็ยังวิ่งตามหามัน ต่อมาใน Know Your Enemy และเธอโต้ตอบด้วย 21 Guns กับเนื้อเพลงที่เคยดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ‘Do you know what’s worth fighting for?’ ในที่สุดจอห์นนี่ก็หลอนจนเลือกยาเสพติด เธอเลยมาเตือนสติเขาด้วยเพลง Letterbomb ที่ร้องว่า  ‘You’re not the Jesus of Suburbia!, The St. Jimmy is a figment of your father’s rage and your mother’s love, Made me the idiot America’ ซึ่งเหมือนตอกหน้าเขาว่า St. Jimmy ก็ไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงภาพหลอนของตัวเขาเท่านั้น จบเพลงเธอก็ทิ้งเขา บัยส์!

American Idiot dance scene

สามเกลอ จอห์นนี่, วิล, ทันนี่ กลับมารวมตัวอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนหยิบกีตาร์มาเล่นและถ่ายทอดเพลง Wake Me Up When September Ends ได้อย่างเจ็บปวดผ่านเรื่องราวของแต่ละคน ในฉากนี้ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่านักแสดงที่เล่นเป็นจอห์นนี่ ไม่ใช่แค่เข้าถึงคาแรกเตอร์ แต่เขายังเล่นกีตาร์ได้ดีมาก ทำให้เราดูเพลิน ไม่ขัดหูขัดตาทุกครั้งที่เขาอยู่กับกีตาร์ ซึ่งระหว่างที่กำลังเล่นด้านหลังก็ฉายภาพวิดีโอเด็กเล็ก ๆ หลายคน เพื่อสื่อถึงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่เคยมี ซึ่งน้องที่ไปด้วยก็สังเกตเห็นภาพจาก mv เก่า ๆ ของกรีนเดย์กับภาพตอนเด็ก ๆ ของวง จากนั้นเล่าเรื่องต่อด้วย Homecoming ที่เซนต์จิมมี่ฆ่าตัวตายใน I. Death Of St. Jimmy เพราะจอห์นนี่รู้ตัวแล้วว่าเป็นเพียงภาพหลอน ‘Jimmy died today, He blew his brains out into the bay, In the state of mind It’s my own private suicide’ จากนั้นใน II. East 12th St. จอห์นนี่ทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือทำงานออฟฟิศ! ซึ่งฉากบทเวทีก็กลายเป็นออฟฟิศได้จริง ๆ ตลกมาก มาเป็นเรื่องของวิลใน III. Nobody Likes You ซึ่งเขาต้องนั่งเฉาดูโทรทัศน์อยู่ห้องคนเดียว แถมโดนเยาะเย้ยจากแฟนใหม่ของฮีทเธอร์ใน IV. Rock N’ Roll Girlfriend ซึ่งแฟนใหม่เป็นร็อกสตาร์สุดเท่ที่เล่นได้ทั้งกลองและกีตาร์ แถมยังดูแลลูกได้ เยี่ยม ความพีคคือจริง ๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่ Tre Cool มือกลองของวงร้อง เพื่อจะขิงตัวเขาเอง แต่พอเอามาใช้ในละครก็ลงตัวพอดี จบด้วย V. We’re Coming Home Again จอห์นนี่เขียนจดหมายมาหาพ่อว่าเขาขายกีตาร์ทิ้งเพื่อซื้อตั๋วรถกลับบ้าน ทุกคนในเรื่องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ส่งท้ายไปด้วยความคิดถึงของจอห์นนี่ใน Whatsername เพลงชื่อเดียวกับตัวละครสาวซึ่งเขาจำได้แต่หน้า แต่จำชื่อเธอไม่ได้อีกแล้วทำได้แต่คิดถึงเธอ ถ้าใครเคยฟังอัลบั้ม American Idiot ซึ่งเป็นที่มาของละครเรื่องนี้ก็น่าจะจำได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงปิดท้ายอัลบั้ม ที่พอมาเป็นละครแล้วก็ยังคงเหมาะสมเหลือเกินที่จะปิดท้ายเรื่องราวของโลกพัง ๆ ในเมือง Jingletown นี้

American Idiot Will Johnny Tunny

สำหรับ curtain call ของละครเรื่องนี้ ไม่มีการวิ่งเข้ามารับเสียงปรบมือด้วยเพลงอลังการใด ๆ แต่เป็นการที่นักแสดงหยิบกีตาร์และชวนทุกคนร้องเพลง Good Riddance (Time Of Your Life) เพลงอะคูสติกสุดฮิตจากกรีนเดย์ (ดังขนาดว่าเราไปเดินเล่นในเมืองเพิร์ธก็มีวณิพกหยิบมาเล่น) มาถึงตรงนี้ก็แอบมีน้ำตาซึมกับความสมบูรณ์แบบของเรื่องราวที่เอาตัวละครและเพลงที่เรารักมาทำให้มีชีวิต มีความรัก มีความหลง มีความเจ็บปวด ดูไปก็ขนลุกไป ฮือ ถึงแม้วันนี้จะมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างแสดงเช่นดนตรีเล่นหลุด ไมค์ไม่ดังเป็นบางช่วง แต่เมื่อรวม ๆ แล้วก็ทำให้รู้สึกฟินเหลือเกินในฐานะติ่ง ถ้าใครเป็นติ่งอย่างเรา ขอเชียร์ให้ไปดูสด ๆ มันดีมาก ๆ เติมเต็มความฝันจริง ๆ ถึงวันนั้นแล้วมาคุยกันนะ 🙂
American Idiot St. Jimmy

American Idiot ในฉบับออสเตรเลียยังมีแสดงทั่วออสเตรเลียไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ติดตามกันได้ที่ americanidiotlive.com.au จ้า

Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่