คุยกับ เจี๊ยบ วรรธนา ให้หายคิดถึง หลังจากกลับมาทำ Paper Cut เพลงที่เป็นตัวเอง
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Photographer: Chavit Mayot
หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลงถึง 6 ปี ชื่อ เจี๊ยบ—วรรธนา วีรยวรรธน ก็ปรากฏขึ้นมาแบบเงียบ ๆ บนเว็บ ฟังใจ พร้อมเพลงใหม่อย่าง Paper Cut ที่มีกลิ่นอายเหงา ๆ แบบที่เราเคยสัมผัสและคิดถึง พอได้รู้ว่าเพลงนี้คือส่วนหนึ่งของโปรเจกต์อันน่าตื่นเต้นระหว่างพี่เจี๊ยบกับร้านหนังสือออนไลน์ Readery ที่นำเพลงกับตัวอักษรมาร้อยเรียงเป็นหนังสือ ‘Paper Cut รักกลายเป็นกระดาษ’ พร้อมเปิดตัวครั้งแรกในงาน LIT Fest เทศกาลหนังสือที่รวมไว้ด้วยบรรยากาศอันอบอุ่น ผ่านดนตรีชิล ๆ ที่เพิ่งผ่านไป เรารีบจับรถไปมิวเซียมสยามทันทีเพื่อพูดคุยกับพี่เจี๊ยบให้ชื่นใจ ถึงการกลับมาทำเพลงอีกครั้งในรอบหลายปี การอ่านในประเทศนี้และเทศกาล LIT Fest กับความเห็นเกี่ยวกับสังคมอีกนิดหน่อย …ไม่หน่อยมั้ง
ที่มาที่ไปของโปรเจกต์ ‘Paper Cut รักกลายเป็นกระดาษ’
สี่เพลงใหม่เป็นสี่เพลงที่เกิดขึ้นในช่วง 6 ปีของพี่ มันเป็นช่วงที่พี่หายไปเลย ตอนที่ทำมันไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกอยากปล่อยเพลงหรือทำอัลบั้ม หรืออยากกลับมาร้องเพลง โดยอะไรหลาย ๆ อย่างของพี่ก็คิดว่าจะเลิกร้องเพลงอะค่ะ จะพูดว่าไงดีล่ะ หนึ่ง ด้วยวัยก็ไม่ไหวจะนั่งรอร้องเพลงแล้ว อย่างที่สองคือเวลา เรื่องที่สามคือเรื่องใหญ่สุดมันเป็นเรื่อง passion มันไม่ได้มีความสนุกหรือความอยากที่จะร้องเพลงอีกต่อไปแล้ว แต่ว่านาน ๆ ทีในระหว่างนั้นน่ะ มันจะมีบางเพลงที่เรารู้สึกว่ามันดีกับเรา แล้วคนน่าจะชอบ มันจะมีแฟนคลับอยู่กลุ่มหนึ่งที่คอยถามตลอดเลย หน้าไมค์บ้างหลังไมค์บ้างว่าพี่จะไม่ร้องเพลงแล้วหรอ จะไม่ทำเพลงแล้วหรอ
Paper Cut มันเริ่มมาจากตอนนั้นตั้งใจว่าจะทำเพลงที่เป็น ambient folk โดยที่ตั้งใจว่าจะย้าย location ไปเรื่อย ๆ ให้ location มันเป็นซาวด์หรือสตอรี่ในเพลง เราว่าเรื่องเล่าในแต่ละสถานที่มันจะต่างกันไป พอเราได้เพลง Paper Cut อะ สิ่งหนึ่งที่คิดขึ้นมาเลยคืออยากได้ห้องสมุดเข้าไปอัดเสียง ก็นึกในใจว่าแล้วห้องสมุดไหนจะให้มึงเข้าไปส่งเสียงดังวะ (หัวเราะ) สงสัยจะไม่ใช่ละ หรือจะเป็นโรงพิมพ์ โรงพิมพ์ที่ปิดแล้วอะ ช่วงที่เขาไม่ทำงานกันแล้ว มันจะมีเครื่องจักร มีความใหญ่ น่าจะมีแอมเบียนต์ แล้วเพื่อนก็บอกว่าจมูกมึงก็จะหลุด เพราะมันจะเหม็นกลิ่นหมึกกลิ่นน้ำมันเครื่องมาก พื้นก็จะลื่น ทุกคนจะตายพร้อมมึงอยู่ในนั้น เอ้า ยังไงวะเนี่ยกู ก็นึกถึง โจ้ อนุรุจน์ เจ้าของ Readery เป็นเพื่อนกันมานมนานละ แล้วจำได้ว่า Readery มันมีห้องใต้ดิน แล้วเราต้องการแอมเบียนต์ที่มันมีความเป็นหนังสือเกี่ยวข้อง จำได้ว่ามันเก็บหนังสือไว้แล้วมีความเป็นห้องสมุดอยู่เบา ๆ เลยยกกองไปอัดเสียงที่นั่น เป็นการอัดพร้อมกันไปเลยสามชิ้น ไมค์กิ้งใส่เฮดโฟนกัน แซ็กโซโฟนจะอยู่หน้าส้วม กีตาร์อยู่โถงกลางเพราะใช้รูมใหญ่เก็บเสียงข้างบนด้วย ดับเบิ้ลเบสอยู่ตรงกองหนังสือ แล้วพี่ไปอยู่ในซอกระหว่างห้องนอนสองห้องให้เป็นรูมล้อม พนักงาน Readery ก็นั่งทำงานกันไป บอร์ดรูมจะอยู่ตรงห้องใต้ดินเขาก็จะตะโกนขึ้นมา พร้อมนะ เล่นกัน (หัวเราะ) พอเสียงที่มันดังในหูอะ มันเป็นเสียงที่ไลฟ์หมดเลย เรารู้สึก alive มาก เราตื่นเต้นมาก อะดรีนาลีนมันพุ่ง มีความสุขจังเลย
ตลอดเวลาที่พี่ทำอัลบั้มพี่จะมีความสุขตอนอยู่เบื้องหลัง อยู่ในห้องอัดกับเพื่อน ๆ นักดนตรีอยู่เสมอ ขั้นตอนที่พี่เกลียดที่สุด (เน้นเสียง) คือขั้นตอนการถ่ายปกทำ mv พบปะประชาชนอะไรเงี้ย เขาเรียกว่าไรอะ มันก็คุยได้นะ ก็สนุก แต่พอมันต้องทำซ้ำ ๆๆๆ แค่รู้สึกว่าให้ทำเพลงสนุกกว่า อยู่เบื้องหลังนั่นแหละดีแล้วไม่ต้องไปอยู่เบื้องหน้า แม้มันจะเป็นเพลงของเราก็ปล่อยแบบที่ใช้ชื่อแค่ เจี๊ยบ วรรธนา พอ ไม่ต้องไปเจอกันแล้ว (หัวเราะ) ไม่ต้องเดินสายวิทยุแล้ว แค่ส่งไปแล้วก็บอกว่าเราออกเพลงใหม่ ถ้าชอบก็เปิดนะ ไม่ชอบก็ไม่ต้องเปิด เราไม่ต้องการแอร์ไทม์อะไรเลย Paper Cut ตัวเนี้ยทำเสร็จแล้วชอบกันมากเลยอะ แล้วก็เก็บไว้อีกตั้งสามปี (หัวเราะ) ไม่คิดจะปล่อย จนกระทั่ง โจ้ เขาบอกว่าจะทำ LIT Fest แล้วเขาบอกว่าฉันอยากทำหนังสือกับเพลงรวมกัน รวมยังไงดีวะ ก็ตีความกันในแง่ว่าหนังสือเหมือนเป็นแรงบันดาลใจ หลาย ๆ เพลงมันก็มาจากหนังสืออยู่แล้ว เขาก็จะชวนสี่นักเขียนสาวเขียนเรื่องสั้นจากเพลงของเรา แล้วเราก็เอาเรื่องสั้นของเขามาอ่านแล้วทำเพลงบ้าง แบบบันดาลใจซึ่งกันและกัน เราก็เอาดิ ถ้าเป็นแบบนี้ฉันทำ สนุกดี ก็เลยทำมาขายในงานนี้ เพลงที่มีอยู่แล้วมันมีแค่สาม แต่เพลงสุดท้ายเนี่ยชื่อเพลง CMYK Mojito มาจากเรื่องสั้นทั้งสี่คนในสำนักพิมพ์ P.S. ก็จะเป็นเพลงใหม่อีกเพลงหนึ่งใน ep นี้ จะเรียกว่าใหม่ก็ไม่ได้เพราะใน 6 ปีก็ถูกทยอยปล่อยออกมา วงจรการทำอัลบั้มของพี่มันตลกมาก มันจะอยู่ที่ 6-8 ปีต่อหนึ่งอัลบั้มเสมอ จาก Ticket To The Moon ถึง Everything I-Sea ตอนนั้นมาถึงนี่เผลอ ๆ อาจจะ 10 ปีแล้วอะ เหมือนลูปพี่มันยาวมาก มันจะมีเด็กที่เกิดไม่ทันอัลบั้มแรก แล้วมาทันช่วง Everything I-Sea เยอะ แล้วก็มีเด็ก วัน เดือน ปี จาก ‘สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก’ หรือ ‘Final Score’ ระยะห่างมันคือ 20 ปีแล้วอะ ดีเจเก่า ๆ ที่คุ้นหน้ากันก็จะบอกแค่ว่าเรามีเพลงใหม่ แต่ดีเจใหม่เราก็จะไม่เข้าไปคุยเลย แค่รู้สึกว่าไม่เป็นไร พอคนเราแก่ไปถึงจุดหนึ่งเราก็ไม่ทำอะไรที่รู้สึกว่าฝืนใจอะไรเงี้ย
แล้วเบื้องหลังของเพลง Paper Cut เป็นยังไงบ้าง
พี่โดนกระดาษบาดบ่อย ที่บ้านจะใช้กระดาษ A4 เป็นรีมเพราะลูกต้องใช้ทำรายงาน บางทีเราอยากจดอะไรก็จะดึงมาเป็นปึก ๆ แล้วมันโดนบาดบ่อย รู้สึกอาการนี้มันโคตร silly เลยอะ ทำไมสถานการณ์มันโง่งี้วะ แล้วมันเจ็บกว่าที่เราคิดอะ แล้วเป็นรอยขีดบาง ๆ แต่ทำไมมันแสบนาน เจ็บ ๆ ปวด ๆ ลึก ๆ เป็นวันเลยอะ เลยลองเสิร์ชก่อนว่ามีเพลงชื่อ Paper Cut หรือยัง ก็มีนะคะของต่างประเทศ มันเป็นเหมือนสำนวนแหละ ความ silly thing แต่มัน hurt อะ ความหมายในองค์รวมของมันคล้ายกันทั่วโลก เราก็เลยเอาคำเนี้ยขึ้นมาแล้วอธิบายมัน จริง ๆ คำว่ากระดาษของเรามันคือรูปภาพนั่นแหละ วันหนึ่งความรักของคนบางคนก็เหลือแค่ภาพ เหลือแค่ความทรงจำที่มันแห้ง ๆ แล้วมันก็จะไม่มีชีวิตชีวาอีกต่อไป แล้วถ้าเผลอไปหยิบมันก็อาจจะบาดได้
แล้วพาร์ตดนตรีล่ะ
จริง ๆ ดนตรีเพลงนี้ตลกมากเลย เริ่มแบบดีมาก สนุก คือส่งให้น้องคนที่จะต้องเล่นกีตาร์ก่อนเพราะต้องเอาเขาเป็นเซ็นเตอร์ เช็กคีย์กับจังหวะกัน แล้วเขาก็ส่งเป็นกีตาร์ตัวเดียวกลับมาให้เรา เราก็ส่งอันนี้ให้อีกสองชิ้นที่เหลือ จริง ๆ เราชอบแซ็กโซโฟน อยากให้มีแซ็กอยู่ในเพลง แล้วก็อยากได้แค่นี้เลยส่งให้ดับเบิ้ลเบสกับแซ็ก แล้วไปเจอกันวันลงเสียงเลย เขาก็จะทำมาในพาร์ตของเขา มันก็จะสนุกมาก พอเจอกันครบ ฝ่ายซาวด์เขาก็ไปทำเรื่องของไมค์กิ้งไลน์สายต่าง ๆ นานา ดีดนิ้วหาจุดว่ารูมตรงไหนโอเค เราสี่คนก็ซ้อมพร้อมกันแล้วนัดแนะกันนิดนึง วันนั้นก็มี พี่โบ๊ท Banana Boat มานั่งเล่นด้วย เขาก็ดีไซน์ว่าขึ้นอินโทรมาพี่ร้องอันนี้เข้าไปเลย นั่งดีไซน์กันอยู่แป๊ปนึงแล้วพร้อมอัพเสียงเลยก็ตกลงกันว่าเอาโครงนี้นะ ทั้งหมดได้ 9 แทร็ค มันเป็น 9 แทร็คที่เล่นสดหมดเลย ความตลกก็คือร้องชอบแทร็คที่ 9 กีตาร์ชอบแทร็คที่ 3 ดับเบิ้ลเบสกับแซ็กก็ชอบของมัน มึงก็เอาแทร็คที่ชอบกลับไปฟังที่บ้าน ทุก ๆ เทคมันจะมีดีเทลของแต่ละคนที่ชอบ สุดท้ายเราก็เลือกอันที่ค่ากลางมันดีสุด เลือก ๆ กันมาแล้วส่งไปอีดิตร้องหน่อยนึงให้เพราะร้องสดทั้งหมดเลย ให้ พี่ต้น McIntosh เป็นคนมิกซ์ เราอยากได้ซาวด์ที่มัน oldschool หน่อย ที่ Readery มันมีแอร์เก่าตัวหนึ่งที่เสียงมันเพราะมาก มันจะมีเสียงหึ่ง ๆ อยู่ตรงต้นเพลง มันคือเสียงแอร์จากห้องใต้ดิน เราก็ปล่อยให้มันเข้ามาในเพลง เพราะเราอยากทำ ambient folk ให้เรื่องราวของที่นั่นเป็นส่วนประกอบหนึ่ง
แล้วมันก็มาชัดอีกในเพลง CMYK Mojito เหมือนร้านเหล้า เวลามันกระชั้นไปหน่อยไม่งั้นไปอัดที่พระนครบาร์ละ น้องที่ทำดนตรีเขาสนิทกับร้านแต่พี่ต้องร้องตอนเขาเลิกแล้ว ซึ่งมันก็ดึก เราก็ไม่ไหวอะ ง่วง (หัวเราะ) เลยร้องที่บ้าน ตอนแรกจะร้องกลางแจ้งแต่นกมันเยอะแยะไปหมด ถ้าใส่หูฟังเพลงสุดท้ายเนี่ย เราจะได้ยินเสียงอะไรข้างในเต็มไปหมดเลย มันจะเป็นเสียงของชั้นบรรยากาศ มันจะมีเลเยอร์ของความชัดข้างใน เราอยากนำเสนอแบบนี้ ซึ่งเพลงแบบนี้มันไม่ต้องการให้วิทยุเปิดหรือมีมิวสิกวีดีโอ ไม่อะไรทั้งนั้น พี่ต้องการปล่อยของพี่แบบที่บอกแค่คนที่รอ แล้วไปตามฟังละกัน หลังจากนี้อีก 2 เดือนอาจจะไปลงสตรีมมิ่งหรืออะไรไป
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าอีกสองเพลงให้ฟังหน่อย
Postcard From No Where เนี่ยเป็นเพลงแรกที่ร้องหลังจากเกิดอุบัติเหตุของสามีพี่ แต่มันเป็นเพลงที่แต่งก่อนหน้านั้นค่ะ แล้วมันมีวันหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วอยากทำอะไรให้ finished ซักอย่างอะ มันอาจเป็นอารมณ์อะไรบางอย่างที่ทำในสิ่งที่ค้างคาอยู่ เลยตัดสินใจโทรหาน้องคนหนึ่งซึ่งเราชอบงานเขามากคือ คุณโหน่ง The Photo Sticker Machine โทรไปเขาก็ ครับพี่ คือช่วงนั้นเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดไรเงี่ย พี่อยากร้องเพลงนี้ว่ะ โหน่งสะดวกมั้ย โหน่งก็ทำให้เลยทันที มันเลยกลายเป็นเพลงนี้ คนจะเข้าใจว่าเราแต่งให้แฟน จริง ๆ ไม่ใช่ มันแต่งไว้ก่อนแล้ว แต่มันเป็น unfinished song เราเลยอยาก finish มัน ตอนนั้นยังไม่มีคอนเซ็ปต์ว่าเราจะเป็น ambient folk แต่อย่างใด ก็ทำในรูปแบบสไตล์เรา เราปล่อยโหน่งไปเลยเพราะเราไม่มีไอเดียอะไรอยู่แล้วในช่วงนั้น ก็ได้ พี่โอ๋—ธีร์ ไชยเดช มาเล่นกีตาร์ให้ คือสไตล์กีตาร์ฟังแล้วจะรู้เลยว่าเป็นพี่โอ๋
อีกเพลงหนึ่งชื่อ Answer ช่วงนั้นเรารู้สึกแค่ว่ามันมีหลายอย่างที่เราตั้งคำถาม พอมันเกิดเหตุการณ์อะไรเราจะตั้งคำถามมองย้อนไปว่า ทำไมวะ ๆ บางครั้งเราถามอะ คำตอบมันไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้น มันอาจจะอยู่ใน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าก็ได้ ถ้าเราอยากตั้งคำถามในชีวิตก็ถามไปเรื่อย ๆ เหอะ เดี๋ยววันหนึ่งคำตอบมันก็จะมา มาในรูปแบบไหนเดี๋ยวมันก็มา แต่บรรยากาศในเพลงมันจะเป็นบรรยากาศของการเดินทาง การอยู่ที่ไกล ๆ
ความเป็นคอนเซ็ปชวลจริง ๆ เกิดที่ Paper Cut เป็นจุดเริ่มต้นแล้วตามมาด้วย CMYK Mojito จริง ๆ เคยคิดไว้นะว่าอยากไปอัดที่ตึกร้างด้วย แถวแจ้งวัฒนะ ลิฟต์แม่งก็ต้องไม่มีสินะ กูก็ต้องขึ้นไปชั้น 15 กูก็ต้องมากลางคืนเพราะกูต้องการเสียงรถ ไม่มีเสียงรถก็ไม่ได้นะ อีโจรกูไม่กลัวเท่าผีนะ (หัวเราะ) หนีก็ต้องวิ่งลงมาอีก ไมค์เมยอะไรกูก็หนีนะ (หัวเราะ) ไม่หอบกลับนะ กลางวันค่อยไปเก็บ โอเคปะ บรรยากาศแม่งต้องเจอผีแน่ ๆ ร้อง ๆ อยู่แม่งร้องตามกูแน่ ๆ (หัวเราะ) (FJZ: ได้ไปโปรโมตในรายการคนอวดผีแทน) อะไรอย่างนั้น อาจจะได้แอมเบียนต์บางอย่างเพิ่มเติมมา (หัวเราะ) คือหลัง ๆ อะ พี่จะชอบความรูมแบบห้อง วิธีร้องหรือการทำเพลงสมัยนี้มันก็ไม่ได้ฟิกซ์แค่ในห้องอัดแล้ว ประกอบกับว่าไลฟ์สไตล์เราก็ไม่ใช่คนทำงานกลางคืนแล้วอะ ทุกอย่างมันเป็นไปตามลูปชีวิตเราด้วย ก็เลยคิดว่าตึกร้าง ห้องเช่าร้างที่มีความก้องในแบบหนึ่ง ชอบอะไรแบบเนี้ย อีกอันหนึ่งคือตี 5 ริมทะเล ต้องตี 5 เท่านั้น คลื่นมันจะเบา แล้วเพื่อนก็จะบอกว่า มึงเอ๊ย มึงคิดว่าคลื่นจะเข้าข้างมึงมั้ย ต้องดูข้างขึ้นข้างแรมนิดนึง เกิดมึงไปแล้วน้ำขึ้นตอนเช้าน้ำมันก็ตู้ม ๆ มึงก็ต้องดูว่าทะเลที่ไหนอีก ขนของไปอีก อีเพื่อนนี่ไม่ใช่ไม่สนับสนุนนะ คือพร้อมทุกอย่าง แค่กูต้องยิงตกไว้ก่อน หรือจะไปอัดในภูเขาวะ มีลำธารเล็ก ๆ แล้วเรายืนอัด แล้วกูจะโดนไฟดูดตายมั้ย (หัวเราะ) ทุกคนไปด้วยนะ แต่ทุกคนมีข้อโต้แย้งหมด กีตาร์มันจะโดนไฟดูดตายมั้ย แม่งต้องอะคูสติกยังไง แล้วทำไมมึงต้องไปร้องในนั้นอะไม่เย็นตีนหรอ แบบ โอ๊ย (หัวเราะ) แต่ทุกคนก็พร้อมช่วย เลยคิดว่าจะมีอีกซักสองเพลง เขียนไว้เลยนะว่าเป็นความตั้งใจ แต่ในแง่ของการปฏิบัติแล้ว ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ (หัวเราะ) แต่ก็นึกสถานที่อะไรเงี้ย อุโมงค์ใต้ทางด่วนตรงกรมทหารราบที่ 11 ก็ชอบมากเลยมันมีแอมเบียนต์ของความเป็นอุโมงค์อะ แล้วรถมันจะชนมั้ยวะ มันต้องกั้น กูต้องไปบอกตำรวจหรอ ให้เขาปิดกรวยหน้าหลัง เขาก็จะเข้าได้ทางเดียว แล้วมึงก็ต้องรีบร้อง (หัวเราะ) แต่ต้องการไง (ยิ้ม) ถ้าหากเราใช้ซาวด์ดีไซน์ใน sampling มันก็ธรรมดาไง พอมันต้องเป็นแบบเนี้ยมันก็สนุก มีกิจกรรม มีอะไรแบบนี้ โบ๊ท Banana Boat บอกว่าเพลงหน้าพี่อยากทำอะไรพี่บอกเลยอยากทำด้วย แต่ยังนึกไม่ออกว่าที่ไหน อะไร ยังไง มันต้องใช้เวลาเหมือนกันถ้าต่างจังหวัดอะไรเงี้ย ส่วนตัวเพลงที่มันเป็นคอนเซ็ปต์แบบนี้ก็คงยังไม่ไปไหนไกล ตั้งใจไว้ว่ามีเพลงหนึ่งที่อยู่ในบาร์ก็เลยลงตัวที่เพลง CMYK Mojito เนี่ยแหละ
ต้องอ่านเรื่องสั้นก่อนแบบนี้ แรงบันดาลใจก่อนแต่งเพลง CMYK Mojito มันคืออะไร
ตั้งใจว่าจะเอาประโยคในหนังสือมาร้อยกัน ความตั้งใจนะ จะเปิดหาเรฟของเนื้อเพลงไรงี้ มันจะเป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่หน้าปกคล้ายกันหมดเลย พี่ก็หยิบเล่มนั้นเล่มนี้มาอ่าน อันไหนชอบก็ขีด ๆ ไว้ วันนั้นน่ะ เปิด ๆ อยู่แล้วเจอชื่อตอน ‘ความจริงเพียว ๆ’ แล้วเขาก็ขึ้นประโยคว่า ‘เหมือนความจริงแก้วที่เราดื่ม…’ อะไรเงี้ย มันก็คืออันนี้เลย เริ่มจากประโยคนั้น เขาดื่มความจริงเพียว ๆ ที่มันโหดร้ายเกินไปอะไรประมาณนี้ เอ๊ย เราชอบคำนี้มันเท่ เลยเอามาเปลี่ยนเป็นความจริงหนึ่งแก้ว ความทรงจำหนึ่งแก้ว ความเดียวดายหนึ่งแก้ว แล้วก็พูดถึงความทรงจำไป ผ่านการอยู่ในบาร์เหล้าเล็ก ๆ เหงา ๆ แห่งหนึ่ง มันก็ได้บรรยากาศอะไรที่มันดีเหมือนกัน แล้วบังเอิญน้องที่ให้เขาทำดนตรีก็มาสายนี้อยู่แล้ว ก็คิดว่าเพลงนี้เหมาะกับเขาจริง ๆ ตอนแรกคิดว่าอาจจะไม่ใช่คนนี้ทำ เราก็ยังไม่รู้ว่าเพลงที่เสร็จออกมาจะเป็นแบบไหน พอเป็นเพลงนี้เขาก็ช่วยปรับอะไรเยอะ ลักษณะมันออกมาก็กลายเป็นเพลงในแบบหนึ่งที่ไม่มีโจทย์แบบนี้เพลงเราก็จะไม่เป็นแบบนี้ โจ้บอกว่ามันดาร์กมากเลย ดาร์กกว่าเพลงแกทั้งหมดที่เคยมีเลย หรอ ดีจัง เพราะเราจะไม่ค่อยจบดาร์กแบบนั้น เพียวขนาดนั้น เลยรู้สึกว่ามันทำให้เกิดชิ้นงานที่ใหม่ขึ้นในแง่ของการแต่งนะ แต่โดยองค์รวมถ้าฟังแล้วจะรู้สึกชอบในเพลงแบบเรา ซึ่ง CMYK ก็อยู่ในเรื่องสั้นของอีกคนหนึ่งซึ่งเขาเปรียบความรักของเขาเป็นค่าสี เราก็ชอบอันนี้ มันก็จะมีความเป็นหนังสือด้วย เราเอาอันนี้มาดีกว่า บวกกับคำว่าโมฮิโต้ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผู้หญิงชอบดื่มเพราะมันดื่มง่าย
แล้ววิธีแต่งเพลงของเรายังเหมือนเดิมอยู่ไหม
ตอนสมัยเขียนเพลงสมัยนู้นนนเลยน่ะค่ะ จะถูกสอนให้แมสเพราะต้องเขียนให้คนอื่นก็จะพยายามเขียน แต่พบว่าเราแมสน้อยกว่าของเพื่อนมาก เพื่อนเขียน หมื่นคำลา เขียนเพลงโปรโมตไรเงี้ย เราจะเขียนอะไรที่อยู่ในมุม ๆ ของเรา ที่เนี้ย พี่นก—ฉัตรชัย ดุริยประณีต ก็บอกว่าถ้ามึงอยากเขียนแบบนี้ก็เขียนวิธีนี้เป็นลายมือมึงไปเลยก็ได้นะ ในอัลบั้มหนึ่งมีเพลงแบบนี้ได้ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เอ้อ เราเข้าใจ ก็เลยอยู่ในร่องนั้นมาตลอด พอวันหนึ่งเราขึ้นมาร้องเพลงเอง เป็นเรื่องที่เราถ่ายทอดเอง เราก็เริ่มค้นพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาเป็นคนอีกแบบหนึ่งอะ ที่เขาชอบเนื้อเพลงแบบเรา แล้วก็พร้อมที่จะติดตามไปเรื่อย ๆ มึงจะแก่ก็แก่ไปแต่ถ้าทำเพลงก็จะฟัง กูก็แก่ไปตามมึง เขาจะเป็นคนเปิดใจอะไรก็ได้ เจี๊ยบชอบมากเลยนะเวลาทำเพลงก็จะมีคอมเมนต์มาในอินบ็อกซ์ เออ ฟังเพลงใหม่พี่แล้วนะ อย่างโน้นอย่างนี้ บางคนมาบอกว่าติดตามตลอดนะ บางเพลงก็ชอบ บางเพลงก็ไม่ชอบ เรารู้สึกว่าเราชอบที่เขาปฏิสัมพันธ์กับเราแบบนี้
เลยตั้งมั่นว่าหากเมื่อไหร่ที่เราทำเพลงของตัวเองจะไม่นึกถึงการตลาดอีกต่อไป หลังจาก Everything I-Sea ที่เราอยู่ค่ายใหญ่ก็มีเพลงแมสแค่ 10 Things กับ ข้ามฟ้ามาร้องไห้ ก็เลยรู้สึกว่าอันนี้แมสสุดแล้ว หลังจากนั้นก็คิดว่าเพลงไหนมันป็อปมากในความเป็นเราก็ปล่อยไป เพลงไหนที่อยากปล่อยตามใจก็จะตามใจตัวเองมากขึ้น คิดว่าคนฟังก็อัลเตอร์มากจนไม่ต้องเขียนเนื้อเพลงปกติแล้ว ไม่ต้องเข้าใจมันทั้งหมด ปล่อยให้เขาตีความ ปล่อยให้เราตีความ มันเป็นเรื่องของเขามั่งก็ได้ เหมือนแชร์กันมากกว่า บางโมเมนต์ของคนเราเชื่อว่ามันคล้ายกันแหละ ความรู้สึกคงคล้ายกัน แต่เราหยิบมุมเล็ก ๆ มาแชร์บ้างดีกว่า เรารู้สึกว่าสื่อตอนนี้มันเอื้อให้เราเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น ถึงขั้นไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับใครก็ได้เว่ย แล้วเราก็ปล่อยเพลงออกไป อย่าง Fungjaizine มาสัมภาษณ์เรารู้สึกขอบคุณมากเลย คนเข้าฟังใจ จะได้รู้ว่าเราเป็นใครด้วยวิธีคิด เพราะคนที่เข้า ฟังใจ คือคนที่สนใจที่จะฟัง เราไม่ต้องไปนั่งพูดให้คนที่ฟังมั่งไม่ฟังมั่งฟัง ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์อะไรกับใครเลย
อย่างนักเขียนทั้งสี่คนเราไม่ได้เป็นคนเลือกเอง
เหมือน Readery เขาเป็นท่าเรืออะค่ะ แล้วเขาก็เหมือนเปิดว่าสำนักพิมพ์มา ศิลปินใครมา เดาว่า LIT Fest เขาจะจัดทุกปี เหมือนปีนี้โปรดักชันที่รวมกันระหว่างดนตรีกับหนังสือ ก็คือเรากับนักเขียน P.S. เขาเลือกจากกลุ่มคนอ่านที่อ่านหนังสือ P.S. อาจจะไม่เคยฟังเพลงเรา หรือคนฟังเพลงเราอาจจะไม่เคยอ่าน P.S. เลย หรือเสพทั้งสองอย่าง ก็เลือกจากคนประเภทเดียวกันใกล้เคียงกัน ปีหน้าอาจจะเป็นนักร้องคนหนึ่งกับอีกสำนักพิมพ์หนึ่ง เหมือนโจ้เขาก็บอกว่าฉันเลือกสำนักพิมพ์เนี้ยให้แกเพราะฉันเชื่อว่าแกกับเขาน่าจะเข้าใจกัน พอไปอ่านแล้วก็เข้าใจจริง ๆ เพราะว่านี่คือนิสัยของฉันเมื่อ 20 ปีที่แล้วเลย มันเป็นผู้หญิงแบบหนึ่งที่ใกล้เคียงเราจริง ๆ โจ้เขาก็นึกถึงศิลปินหลายคนที่ดึงมาทำโปรเจกต์แบบนี้ได้ มีความชัดเจนในเนื้องานด้วย ถ้าโจ้ไม่ชวนมาทำอันนี้ Paper Cut ก็คงอยู่ในโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ (หัวเราะ) ตอนนั้น Cat Radio ก็งง เดี๋ยวพี่ พี่เปิดแล้วพี่เอากลับหรอ (หัวเราะ) ไม่ส่งเปิดไปเรื่อย ๆ หรอ ไม่เอาดีกว่า ดีเจก็งงมาก อะไรของมึงเนี่ย (หัวเราะ) หน้าตามันผิดหวังในชาวโลกมาก แล้วน้องที่ทำ pr ก็ถามในไลน์ จะส่งเพลงมั้ย ก็ควรจะส่งนะ (หัวเราะ) ถ้าจะส่งก็จัดการให้ เออ ๆ จบงานแล้วส่งก็ได้
แล้วตกลงพี่เจี๊ยบหายไปไหนมาหลายปี
(หัวเราะ) เอาแบบดูดีหรือจริง ๆ ล่ะ (หัวเราะ) เอาแบบจริง ๆ ก็คือไม่ทำอะไรเล้ย ก็นั่ง ๆ นอน ๆ เที่ยว ขี้เกียจ บ่นไปเรื่อยอะไรเงี้ย ถ้าเอาแบบดูดีหน่อยก็คือ ก็ไปทำงานอย่างอื่น เหมือนเราต้องหาอาชีพอะไรที่มันต้องไปกับลูปชีวิตเราที่ต้องเปลี่ยนอะค่ะ ประกอบกับตอนทำ 10 Things ก็อิ่มตัวแล้ว คือวงการเพลงเจี๊ยบรู้สึกแบบนี้ อันนี้ความรู้สึกจริงจังเลยนะ เด็กรุ่นใหม่เก่ง แล้วเราอะไม่ได้ concentrate กับมันเยอะแล้ว มันไม่ใช่ทุกอย่างของเราแล้ว ไม่ใช่ passion ไม่ใช่ความต้องการ ไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนาอีกต่อไป เราควรจะให้พื้นที่นั้นกับคนรุ่นใหม่ที่เขาเก่งมาก แล้วก็มีความต้องการสูงมาก มี passion กับมันมาก มันมีค่ากับเขามาก เราคิดแบบนั้นจริง ๆ แล้วเราก็ถอยออกมาเป็นผู้ดูดีกว่า แล้วบอกกับตัวเองว่าเมื่อไหร่ที่เราแต่งขึ้นมาซักเพลงหนึ่งแล้วเราอยากให้คนได้ยิน เราจะทำ ทำแล้วเก็บไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาของมันก็จะปล่อยไป ให้มันมีเพลงแบบนี้อยู่ไป เพราะฉะนั้นคำว่าหายไปก็คือหายไปเป็นตัวเองในอีกแบบหนึ่ง เรื่องการทำเพลงร้องเพลงไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเราแล้ว
เราอาจเห็นพี่เจี๊ยบในมุมคนเขียนบท เป็นคุณแม่ด้วย มีบทบาทอะไรอีกที่คิดว่าทุกคนน่าจะไม่รู้
เราเป็นครูเคยสอนอยู่ที่ศิลปากร ตอนนี้ออกมาแล้วด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กันในแง่ที่ว่าเราไม่มีงานใหม่เลย เราก็บอกเขาว่าเราไม่ได้ทำอัลบั้มใหม่ คงไม่มีเพลงใหม่แล้วอะค่ะ เกรงใจนักศึกษาต้องเรียนกับคนที่ไม่มีอะไรอัพเดตน่ะนะ เราโฟกัสกับเรื่องเขียนบทมากกว่าเพลงแล้วอะ เหมือนอยู่ ๆ เราย้ายวงการ
แล้วอยากลองเป็นนักเขียนดูไหม
นักเขียนก็เป็นอยู่บ้างค่ะ ตอนเนี่ยก็กำลังเขียนให้กับนิตยสารออนไลน์เล่มหนึ่งที่เพิ่งเริ่ม เขาก็ถามอยากเป็นคอลัมนิสต์มั้ย แล้วฉันต้องส่งแกทุกเดือนเลยหรอ (หัวเราะ) เดือนละกี่อัน สอบถามความสม่ำเสมอ เขาก็บอกว่าส่งเดือนหนึ่งกี่อันก็ได้ แกไม่รีบใช่มั้ย แต่ก็รับปากเขาไปแล้วว่าจะเขียน (FJZ: แต่ยังไม่เปิดตัว) ใช่ค่ะ ดูว่าจะสำเร็จมั้ย (ยิ้ม)
พี่เจี๊ยบก็เป็นคุณแม่ด้วย เรากังวลเรื่องอะไรในเด็กยุคนี้บ้างไหม
เราเป็นพ่อแม่ที่ยืนอยู่ฝั่งเด็กนะ เราเครดิตเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เราแค่รู้สึกว่ามันไม่มีลูกคนไหนที่อยากให้พ่อตีเทนนิสเป็น เล่นเปียโนเก่ง เต้นบัลเล่ต์ได้ เอกภาษาอังกฤษ สอบ IELTS TOEFL ได้คะแนนสูงแม่งต้องชิงทุนได้ เก็ตปะ มันไม่มีลูกคนไหนต้องการพ่อแม่แบบนั้นเลย พ่อแม่นี่แหละต้องการให้ลูกเป็นทุกอย่าง มันอาจจะด้วยรักและปรารถนาดีนะ แต่อีกแง่หนึ่งต้องมองว่ามันคือความกดดัน เราว่าทุกช่วงวัยมันมีปัญหาของมัน เด็กก็มีปัญหาของเขา การที่เขาเล่นไปวัน ๆ อ่านหนังสือไปวัน ๆ ฟังเพลงไปวัน ๆ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีปัญหา แต่เขาเลือกที่จะไม่แสดงออกอะไรเงี้ย เราเครดิตในแง่ของความเป็นมนุษย์ดีกว่า เขาจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองสิ เขาจะทำได้สิ ไม่มีใครอยากให้ชีวิตตัวเองพัง ไม่มีใครอยากให้ชีวิตตัวเองตกต่ำไม่มีอะไร แต่ว่าในด้านหนึ่งคุณแค่มองแล้วซัพพอร์ตได้มั้ย แต่ไม่ต้องเอาความคาดหวังใด ๆ มากดทับเขา เราเลยแค่รู้สึกว่าเด็กตอนเนี่ยเอาจริง ๆ ไม่น่าห่วงเท่าทัศนคติของผู้ใหญ่ที่กำลังดูแลเด็กนะ (หัวเราะ) เราว่าทัศนคติเก่า ๆ ของสถาบันผู้ใหญ่ตั้งแต่ชั้นปกครอง ตั้งแต่หน่วยงานใหญ่สุดของประเทศ ไล่ลงมาถึงกระทรวงศึกษา คณะบดี ครูใหญ่ ครู ครู ครู ครู และพ่อแม่ อันเนี้ยน่าเป็นห่วง ถ้าทัศนคติเขาให้โอกาสเด็ก เชื่อใจเด็กมากกว่านี้ ให้เครดิตเขามากกว่านี้ และไม่พยายามโทษเด็ก
ทุกวันเนี้ยเด็กตะเกียกตะกายกันมากเลยเพื่อที่จะสอบอันนี้ เอ้า มึงเลื่อนเลือกตั้งแล้วก็จะมาเลื่อนสอบกูอีก หรือจะอะไร คือเด็กมันอยู่กับความแบบเนี้ย กับตำราเรียนที่ก็อาจจะใช้งานจริงไม่ได้ ต้องฝ่าฟันอะไรไปเยอะมากเลยเพื่อโกลเดียวคือมหาลัย ซึ่งมันไม่ใช่โกลของมนุษย์โลกอีกแล้วอะ มันคลิเช่แล้วอะ ตัวเลือกเด็กมันต้องเยอะกว่านั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาอยากเข้าอยากพัฒนาตัวเอง อยากอยู่ในโครงสร้างนี้มันต้องเป็นไปตามความเต็มใจของเขาเอง ก็โอเค เราแค่คิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนทั้งประเทศคนทั้งโลกจะเหมาะอะ มันมีคนไม่เหมาะด้วย มันต้องมีความหลากหลายทางความคิดได้แล้ว ความ LGBT+ ของคนหรือของเด็กก็ควรได้รับการตอบรับอีกแบบแล้ว เราจะไม่ค่อยอยู่ฝั่งผู้ใหญ่ที่ไม่เครดิตเด็ก ในมุมหนึ่งคือโลกกำลังเป็นช่วงของเขา เขาควรจะได้รับความเชื่อถือจากเรา แต่เราเข้าใจนะ เราเป็นแม่บางทีก็ห่วงโอเวอร์โอวังนะ กับลูกเนี่ยก็ โอ้โห อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยความรักอะมันยากที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วให้เครดิตเขา แต่เราก็ว่าต้องทำเหมือนกันนะ ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง เผลอเอามาตรฐานตัวเองตัดสินลูก บางทีก็เป็นเหมือนกัน ทุกครั้งที่นึกออกก็ต้องถอยออกมา เอาแหละเดี๋ยวมันก็ทำได้ของมันมั้ง เราต้องมีคำนี้อะ ข่าวคราวที่เราเห็นจะในอะไรก็ตามแต่มันเป็นข่าวในมุมมองของผู้ใหญ่อะ แต่เด็กจริง ๆ อะ ฉลาดนะ ถึงแม้เขาจะโตมากับเครื่องมืออะไรต่าง ๆ มันคือยุคสมัยอะ เขาไม่จำเป็นต้องส่งโปสการ์ดเพราะมันไม่จำเป็น แต่เราไปเอาความดั้งเดิมของเรามากดเขา เด็กสมัยนี้ทำไมไม่อ่านหนังสือ โน โลกเขาหมุนไปอีกแบบแล้ว เขามี Netflix แล้วทำไมเขาต้องดูทีวีอะ ไปดูโปรแกรมที่เขาไม่ได้สนใจ ไปดูละครที่เขาไม่ได้สนุกอะ เราจะไปบังคับให้เขาอะไรทำไม
ล่าสุดก็เรื่องชุดไปรเวท
(พูดคำหยาบแบบไม่มีเสียง) เสื้อผ้าเนี่ยมันคือเปลือก มึงกำลังเถียงกันเรื่องเปลือก มึงไปดูมั้ยว่าหลักสูตรกำลังอะไรอยู่ ครูกำลังสอนเด็กด้วยทัศนคติอะไรอยู่ ไม่ต้องไปเถียงกันแล้ว เด็กที่เหลื่อมล้ำคือเด็กที่ครูไม่รักแล้วต้องกระเด็นออกจากห้องไป แบ่งห้องคิงห้องควีน แค่ตัดสินเกรดเด็กด้วยเกรด 0.5 เนี่ยคือเหลื่อมล้ำ แล้วมึงก็ไปบอกเด็กห้อง A ว่าเด็กห้อง Z แม่งคือเด็กเรียนไม่ทัน แล้วคุณทำไมไม่เขย่าเขารวมกันแล้วให้เขาพากันไป ไม่ใช่ว่าเด็กทำกิจกรรมมันไม่มีพรสวรรค์ มันมีพรสวรรค์ในการทำกิจกรรมไง โอ๊ย (หัวเราะ) ยาวนะ (หัวเราะ) อู๊ย คันมือมากเลย ฉันต้องห้ามตัวเอง มึงอย่า มึงอย่า (หัวเราะ) ใน twitter นี่ ฮึ่ม! เห็นมั้ยอะ มันยังอยู่ในยุคที่มาเถียงอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้อยู่เลยอะ ในส่วนตัวเราเห็นว่าเด็กใส่ไปรเวทแล้วประกายตามันอะไรเงี้ย ทุกคนใส่ชุดหมีชุดอะไรเงี้ย มันน่าเอ็นดูดีอะ ไปรเวทที่ไม่ได้บังคับให้เด็กใส่เสื้อลายไทยทุกวันศุกร์อะ มันน่าจะบวกมากกว่าลบนะ เราก็ไม่เห็นเด็กมันจะมาใส่ Versace ใส่ Gucci แล้วถ้าเด็กมันจะใส่แล้วมันจะเป็นไรล้าาาา (หัวเราะ) หงุดหงิดไปหมดเลย ตอนนี้หงุดหงิดบ้านเมือง เราจะพูดเรื่องนี้กันได้หรอ (หัวเราะ)
พี่แค่รู้สึกว่า ใครไม่รู้เราไม่เอ่ยชื่อ พี่ไม่ชอบที่ผู้ใหญ่ประเทศนี้ ตอบอะไรตอบเหมือนเราโง่อะ ตอบเหมือนเราไม่ได้กินข้าวอะ มันไม่เท่ ไม่คูล ไม่ขำเลยอะ มันแสดงว่าคุณกำลังดูถูกคนคุณอย่างที่สุดเลยอะ ซึ่งเขาไม่ฉลาดเลยที่ทำแบบนี้ เขาจะยิ่งไม่ได้เครดิตจากคนรุ่นใหม่ไปเรื่อย ๆ จะตอบอะไรทีมันต้องคิด ต้องมีคนรักษาภาพลักษณ์นะ (หัวเราะ) ต้องมีคนให้คำแนะนำเรื่องการสื่อสารกับประชาชน มันเป็น marketing นะคูณณณ ถ้าจะอยากอยู่เนี่ยต้องสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ สำคัญนะ คุณจะขำก็ได้ จะตลกก็ได้ แต่มันต้องเต็มไปด้วยความรับผิดชอบอะ บางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันรู้สึกสิ้นหวังไปเรื่อยแล้ว ไม่เคยรู้สึกรุนแรงขนาดนี้เลยนะ มันเละเทะว่ะ กังวลแทนเด็กอะ พอถามว่ากังวลอะไรในเด็ก กูไม่กังวลเด็กอะกูกังวลผู้ใหญ่ สงสารเขาอะ (หัวเราะ) สงสารลูกตัวเอง เราต้องอยู่ในประเทศที่ต้องดูแลตัวเองแล้วพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย
เราได้มาคลุกคลีในซีนหนังสือแล้วคิดว่าหนังสือจะตายจริง ๆ รึเปล่า
อันนี้อยากให้พี่โจ้มาตอบมากเลย เขาตอบว่าคนชอบพูดว่าหนังสือจะตาย ไม่ตายหรอก กูขายอยู่ กูขายดีมาก คนยังอ่านหนังสือกันอยู่ อันนี้ก็ส่วนหนึ่งนะ ถ้าเด็กรุ่นใหม่ได้มาเห็นงานที่สำนักพิมพ์ทุกสำนักพิมพ์โชว์เคส โชว์แรร์ไอเท็ม โชว์ดีไซน์ปกกับหนังสือ เขาจะรู้สึกได้ทันทีว่ามันมากกว่าหนังสือ ประเทศเราก็ยังพูดเรื่องเดิมคือแปดบรรทัด มึง เขาเลิกพูดกันแล้ว ที่อื่นหนังสือมันกลายเป็นอีกแบบหนึ่งไปแล้ว คุณค่าของมันก็ถูกยกไปอีกแบบ ร้านหนังสือต่างประเทศมันก็แข่งกันเพื่อที่จะทำ อ้าว คนไม่อ่านหนังสือหรอ งั้นก็แปรรูปหนังสือให้เป็นอะไรที่คนเข้ามาแล้วต้องว้าวอะ ว้าวในรูปแบบ ในดีไซน์ เดี๋ยวคนก็เอาคอนเทนต์ไปเอง เขาก็แก้ปัญหากันไปถึงจุดนั้นแล้ว ของเรายังแปดบรรทัดกันอยู่เรื่องเดิม
พี่วิป Happening บอกว่าจริง ๆ ก็ยังมีคนอ่านหนังสือ สัปดาห์หนังสือยังมีตั้งปีละสองครั้ง สื่อสิ่งพิมพ์อะไม่ตาย แต่ทัศนคติของคนที่มันต้องช่วยกันรณรงค์อะ อีกเช่นกันที่ไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ ประเทศไทยห้องสมุดมันคืออะไร แค่มึงจะทุบสกาล่าหรือมึงเอาหอศิลป์ไป ทัศนคติมึงก็แบบ …บ้า คนมันต้องเสพสิ่งเหล่าเนี่ย โอ๊ย (หัวเราะ) มันเหนื่อยจะพูด โรงหนังที่ควรจะให้คนเข้าไปเสพ ไปดูบรรยากาศ สถาปัตยกรรม ประเทศอื่นเขาคงทำให้มันเป็นแลนด์มาร์กให้คนรู้ว่าเมืองไทยก็มีอย่างอื่นอยู่ว่ะ ห้องสมุดเคลื่อนที่ก็ไม่มี เด็กต่างจังหวัดไม่มีเงินทุนเรื่องห้องสมุด ไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้าไปสร้างห้องสมุดซื้อวรรณกรรมเยาวชนให้ แล้วคุณมาบอกนักเขียนตาย วรรณกรรมตายเพราะคุณไม่ได้ทำอะไรให้เขาอะ หนังสือภาพ หนังสือการ์ตูนดี ๆ มานะ มานี ปิติ ชูใจก็ได้ไม่ได้ห้าม วรรณคดีไทยก็ดีหมดเลยนะ สุดสาคร นางสิบสอง ทักษะการอ่าน ทักษะเล่าเรื่อง ไอน์สไตน์ยังบอกเลยว่าอยากให้ลูกฉลาดต้องอ่านนิทานให้ฟังทุกวัน เราว่าคนอ่านหนังสือจริง ๆ จะไม่พูดว่าสิ่งพิมพ์ตาย คนอ่านหนังสือเขารู้ของเขา เช่นกัน หน่วยงานใหญ่ ๆ ภาครัฐ สื่อที่ต้องสนับสนุนด้วยกันเองอะ คือคนที่ต้องบอกว่ามันยังมีกิจกรรมเกี่ยวกับหนังสืออีกมากมาย เหมือนเพลงอะ ฟังใจ ก็บอกว่าเด็กรุ่นใหม่ก็ยังทำเพลงกัน ขนาดไม่ใช่รุ่นที่มีซีดีหรือโปรโมตอะไรกันร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็ยังทำก็รักของเขา มันก็มีเพลงดี ๆ ฟังมากมาย ถ้าคุณไม่ฟังคุณก็ไม่รู้ว่ามันมีไง
เราจะปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่หันมาอ่านหนังสือกันมากขึ้นได้ยังไง
ถ้าพึ่งพาหน่วยงานใหญ่หน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงไม่ได้ ก็ต้องครอบครัวอะค่ะ จริง ๆ เศรษฐกิจการเลี้ยงดูลูกในช่วงนี้มันยากเนอะ ที่พ่อแม่ลูกจะได้อยู่พร้อมหน้าใช้เวลาด้วยกันให้มีคุณภาพ เรารู้สึกว่าถ้ามันไม่มีช่วงเวลาอ่านหนังสือนิทานก่อนนอนให้ลูกฟังได้แล้วอะ ยุคนี้มันก็มี podcast นะ เปิดเลยตอนเช้าในรถ ฟังไปด้วยกันโคตรดี แม่เองก็ได้ฟังที่มันอัพเดต ลูกก็ได้ฟังด้วย เกิดการแลกเปลี่ยนกัน คุยกันได้ อย่างน้อยก็ใช้รถติดให้มันเป็นประโยชน์ ถ้าโรงเรียนลูกอยู่ทางเดียวกับออฟฟิศก็ใช้ช่วงเวลานั้นอยู่ด้วยกันให้ดี ขากลับแวะรับกัน คุยกันในรถซื้อของขึ้นมากิน ก็ปรับพฤติกรรม ในขณะที่โลกมันเปลี่ยนเราก็เปลี่ยนพฤติกรรมเราไป อย่าไปยึดติดกับรูปแบบต้องกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา อาจจะต้องรอสงกรานต์แล้วมั้ย เราก็ใช้ชีวิตปัจจุบันในแบบของเรา เรารู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเด็กคือจินตนาการ มันมาจากนิทานไม่ได้มาจากวิชาการเลย หยุดส่งลูกเรียนพิเศษได้แล้ว มนุษย์แม่พ่อ
อย่างงาน LIT Fest ก็ช่วยได้จริง ๆ
เรารู้แค่ว่าแรร์ไอเท็มของแต่ละสำนักพิมพ์มันน่าซื้อมาก ลดแลกแจกแถม ขายต่ำกว่าราคาทุนเพื่อที่จะโชว์เคสหรือบรรยากาศของมัน เขาพยายามสร้างงานสัปดาห์หนังสือในรูปแบบหนึ่ง เราเชื่อว่า LIT Fest ครั้งนี้คนอาจไม่รู้จักเยอะ แต่ครั้งต่อไปคนจะเยอะขึ้น แล้วเป็นทางเลือกให้กับคน อาจเป็นไซส์เล็กไปตามจังหวัดใหญ่ ๆ เราว่าก็ให้มันเข้าถึงคนให้มากขึ้นด้วย หน่วยงานเอกชนอย่าง ฟังใจ หรือ Readery เนี่ย อะไรดี ๆ ที่ทำกันได้ก็รวมตัวทำกันแหละ อย่าไปหวังพึ่งอะไรเลย
ส่วนตัวพี่เจี๊ยบมีหนังสืออะไรที่อยากแนะนำให้คนอื่นอ่านไหม หรือหนังสือที่พี่เจี๊ยบชอบ
เราว่า ‘Jonathan Livingston Seagull’ ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย สำหรับเด็กวัยรุ่นนะ มันเป็นเรื่องของนกนางนวลที่มันไม่ได้อยากเป็นนกนางนวล แล้วมันก็มีความพาตัวเองไปไกลเกินกรอบของสปีชี่ส์ของมัน มันถูกกรอบไว้ด้วยสังคมของนกแล้วมันรู้สึกว่าตัวมันไปได้ไกลกว่านั้น แล้วเรื่องมันก็เซอร์มาก มันก็ไปจนถึงจุดที่มันนิพพานได้อะ แล้วก็บียอนด์ในแบบของมัน เราว่า Jonathan เป็นคน ๆ หนึ่งในสังคมเสมอ ตอนเด็กอ่านแล้วรู้สึกอีกแบบ แล้วก็ไม่ได้อ่านหลายปีมากนะคะ จนเมื่อปีก่อนนู้นน่ะโรงเรียนลูกเขาหยิบเรื่องนี้มาเล่นเป็นละคร ก็เลยเอาเรื่องนี้มาอ่านอีกที่ก็พบว่า มันเหมาะกับคนตอนนี้จังเลย เหมาะกับใครก็ได้ที่รู้สึกว่าโดนกรอบด้วยอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดเลย หากเราไม่สนใจมันและพยายามทลายมันไปทีละกรอบ เราก็จะพบว่าเราบียอร์นมาก ๆ คนทุกคนมีศักยภาพมาก ๆ แค่อย่าปล่อยให้กรอบมันมาปิดกั้นเราไว้
มาถึงคำถามเงินล้านแล้ว จะกลับมาทำเพลงใช่ไหม
(หัวเราะ) ร้าย… ไม่ทำ จะทำแบบเนี้ยแหละ เขาเรียกทำเพลงมะ คืองี้ พวกแฟนเพลงอันน้อยนิดแต่ตื๊อเนี่ย (หัวเราะ) เขาก็จะบอกว่าเพลงฉันมันหาซื้อไม่ได้แล้ว อันไหนที่พี่รวมได้ก็ไปรวมมาแล้วก็เอามาขาย (FJZ: เหมือนโดนแฟนคลับกดดัน) เขาก็รำคาญดิฉันมากเลย ฉันก็รำคาญเขามากเลย (หัวเราะ) ทำค่ะ แต่รูปแบบไหนอะไรยังไงเดี๋ยวว่ากัน ส่วนตัวยังชอบโปรดักที่จับต้องได้ ที่ญี่ปุ่นมันมีศิลปินที่ทำเพลงใส่เทปคาสเซ็ต แล้วในคาสเซ็ตก็มีโค้ดให้ไปดาวน์โหลดเพลงออนไลน์ เออ อันเนี้ยน่าสนใจ กลับไปเล่นอะไรในเชิงสินค้า คือทำอะไรที่ตัวเองสนุก หรือเป็นบุ๊กเซ็ตหรืออะไร แต่จะทำเพลงใส่กระปุกไปเรื่อย ๆ ถ้าวันไหนรู้สึกว่าพอแล้วค่อยทุบกระปุกออกมาแปรรูปเป็นโปรดักซ์ให้ได้เก็บกันค่ะ เราก็คงทำไปเรื่อย ๆ แหละ ไม่ได้คิดว่ามันต้องดัง ต้องติดชาร์ต ต้องมีเทรนด์มีกระแสอะไรเลย หากวันหนึ่งมุมหนึ่งของคน ๆ หนึ่งฟังเพลงเราแล้วเขารู้สึกว่าเราคุยเรื่องเดียวกันกับเขา เราก็แฮปปี้ละ
เป้าหมายต่อไปของพี่เจี๊ยบ
เป็นนักท่องเที่ยวระยะไกล ระยะยาว เอ๊อ (หัวเราะ) อีกเจ็ดปีลูกจะเรียนจบทั้งสองคน เรากะจะเที่ยวที่ละหลาย ๆ เดือน สมมติพี่บอกว่าอยากรู้จักแคชเมียร์พี่จะไปอยู่ตรงนั้นซักครึ่งปีแล้วจะบอกว่าพี่เข้าใจมัน ไปกินอาหารที่อร่อยที่สุดที่คนท้องถิ่นเขากิน ไปดื่มเครื่องดื่มที่ดีที่สุด นี่คือโกล ถ้าลูกอยากตามไปแจมก็ตามไป เราอยากให้ลูกเราเดินทาง เห็นอะไรเยอะ ๆ (FJZ: แบบนี้ก็ทำเพลงได้นะครับ) ใช่ เหมือนไปอัดเสียง กำลังคิดอยู่ว่าถ้าไปอยู่ตรงนั้นซักหกเดือนกูก็ต้องมีเพื่อนบ้างแหละวะ เพื่อนกูมันต้องทำอะไรได้มั่งแหละ ถ้าเพื่อนวาดรูปก็จะให้เพื่อนวาดรูป ถ้าเพื่อนร้องเพลงได้ก็จะแต่งเพลงให้มันร้อง ถ้าเพื่อนเล่นกีตาร์ได้ก็จะให้มาเล่นกีตาร์ให้กู สมมติว่าเราส่งลูกจนเรียนจบ การจะอยู่กับลูกไปเรื่อย ๆ จะทำให้เขาต้องอยู่กับแม่ไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็ต้องอยู่กับลูกไปเรื่อย ๆ เราเชื่อว่าในวันหนึ่งเราก็ต้องมีอิสระทางความคิดและจิตใจของเราด้วย เพราะฉะนั้นการแยกย้ายกันในจุดที่เราควรแยกย้ายก็เป็นเรื่องที่ดี ไม่ได้แปลว่าเราจะเลิกเป็นแม่ลูกกัน แต่หมายความว่าคุณต้องใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ของคุณ เราใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากใช้ เรามีวันที่กลับมาเจอกัน เรามีบ้านที่กลับมาอยู่ด้วยกัน แล้วปล่อยให้ทุกคนเป็นไปในแบบที่เขาเป็น เราบอกเขาเสมอว่าแม่ก็เป็นเหมือนหนู เราก็ต้องมีความต้องการในแบบของเรา เราอยู่กับเธอเรารักเธอมาก เธอเป็นที่หนึ่งของเราแต่เรามีชีวิตของเราด้วย
ฝากอะไรถึงคนที่คิดถึงพี่เจี๊ยบหน่อย
ก็ขอบคุณน้า (หัวเราะ) ขอบคุณที่อดทนรออย่างใช้ความอดทนมากและเข้าใจมาก บางคนนี่ไปกินข้าวเขาก็เดินมาบอก เขารอจนกินข้าวเสร็จด้วยนะ คือเหมือนแฟนคลับเราเป็นคนแบบเดียวกัน เป็นคนให้เกียรติเรื่องส่วนตัว เป็นคนที่มีสเปซเหมือนกัน มีรสนิยมคล้ายกัน เขาเดินมาบอกว่ารอเพลงอยู่นะครับ ก็ติดตามอยู่นะครับ เราก็ขอบคุณค่ะ ขอบคุณตลอดเลยค่ะ ถ้าอ่านถึงตรงนี้ก็ขอบคุณจริง ๆ มันทำให้เรารู้สึกมีเพื่อนอะ ถ้าเราทำเพลงแล้วมีเพลงที่อยากให้คนอื่นฟังก็จะทำออกมา ลูปของเราอาจจะห้าปีหกปีอะไรเงี้ย ก็ฟังไปด้วยกัน ระหว่างนั้นก็มีงานดี ๆ ของคนอื่นให้ติดตามอยู่แล้ว ก็ขอบคุณที่รักกันที่เป็นแบบเนี่ย (หัวเราะ)
ไปฟังเพลง Paper Cut ของ เจี๊ยบ วรรธนา บน ฟังใจ แล้วกดหัวใจเก็บไว้ฟังเยอะ ๆ ได้เลย >ที่นี่<