Henri Dunant ไม่ได้รถติดอย่างเดียว แต่เพลงก็ติดหูด้วย
เห็ดหอม คือคอลัมน์วงดนตรีหัวใหม่ที่น่าสนใจ มาค้นพบ นั่งคุยและทำความรู้จักกับพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Neungburuj Butchaingam
เมื่อปลายเดือนกันยายน ซิงเกิ้ล Nick of Time จากศิลปิน Henri Dunant คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประหลาดใจอยู่เนือง ๆ กับซาวด์ดนตรีแปลกใหม่แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนในแวดวงดนตรีบ้านเรา ด้วยกลิ่นอายอินเตอร์ เท่ ซาวด์กีตาร์ที่หนักรีเวิร์บ ชุ่มฉ่ำ ละเมียดละไม และเสียงร้องมีเสน่ห์อันคุ้นเคย
ก่อนที่จะเพลิดเพลินไปกับเพลงมากกว่านี้ เราเกิดเอะใจกับชื่อเพลง Nick of Time จนมานึกออกว่าเคยมีวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟโฟล์กชื่อเดียวกันมาก่อน แล้วจึงมาเฉลยว่าสมาชิก Henri Dunant ก็คือสมาชิกทีมเดียวกันกับวงดังกล่าวที่ประกอบไปด้วย แม็กซ์ เจนมานะ หรือ แม็กซ์ The Voice กับ โซ่ และ พจ ที่ขณะนี้มีผลงานในชื่อ The Good Day Ghosts ร่วมด้วย ไบรท์ ชัชชล ที่มาสร้างสรรค์งานดนตรีเท่ ๆ ด้วยกันในครั้งนี้
จากความผิดหวังกับหลายสิ่งที่พบเจอในชีวิต ทำให้แม็กซ์สับสนและเกิดคำถามกับตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงความไม่แน่ใจในการไปต่อบนเส้นทางดนตรีที่เขากำลังเดินทางอยู่ หนักจนถึงขั้นไม่สามารถจับกีตาร์ได้ แต่สุดท้ายแล้วแม็กซ์ก็ฉุกคิดถึงวันที่เขามีความฝัน และมีความรัก ความทุ่มเทให้กับดนตรี ด้วยแรงฮึดนี้เองทำให้แม็กซ์กลับมาทำเพลงอีกครั้งและไม่คิดละมือจากมันไปง่าย ๆ โดยเขาก็ได้ชวนโซ่ และ พจ มาร่วมงานด้วยกันอีกครั้ง ประกอบกับการที่ไบรท์ รุ่นพี่ที่เขารู้จักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาร่วมงานด้วย จึงเกิดเป็นโปรเจกต์ปล่อยของนามว่า Henri Dunant นี้ขึ้นมา
Henri Dunant อ่านว่า อังรีดูนังต์ …เข้าใจไม่ผิดหรอก ชื่อวงของพวกเขาก็มาจากชื่อถนนในกรุงเทพ ฯ ที่ตั้งตามชายชาวสวิสผู้ริเริ่มกิจการกาชาดสากลนั่นแหละ แต่ชื่อนี้ได้มาตอนที่แม็กซ์ไปเล่นที่ร้าน Rehab ย่าน RCA แล้วให้ กบ วีรศักดิ์ และพีท พล ช่วยคิดชื่อ กบเกิดโพล่งชื่อถนนขึ้นมา ส่วนพีทก็เห็นว่าเข้าท่าดี เพราะเวลาอ่านตามภาษาต้นตำรับก็จะออกเสียงเป็น อองรี ดูนองต์ เก๋ ๆ ไปอีก
(In the) Nick of Time เป็นสำนวนฝรั่ง แปลว่า ช่วงเวลา หรือเสี้ยววินาทีที่พอเหมาะพอดี แม็กซ์นำชื่อนี้มาใช้เพราะคิดว่าเป็นวลีที่มีความหมายดี เพราะการที่เขาเจอกับสมาชิกวงเก่าเป็นช่วงที่เรียนจบ เป็นการเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย แถมทุกคนยังเกิดเดือนธันวาคมเหมือนกันหมดอีก ส่วนการกลับมาเจอกันในวงใหม่ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่กำลังดี ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป นำมาสู่ชื่อเพลงที่เป็นการพูดถึงความรู้สึกของการเล่นดนตรีของแม็กซ์ “เราเคยรู้สึกดีกับมัน สัญญากับมัน หรือฝันไว้ด้วยกันกับมัน แล้วเกิดมีความเฟล แต่ตอนนี้เราอยากจะกลับมารักกันใหม่ อยากให้ช่วงเวลาสุดท้ายนี้ อยู่กับเราอีกนิดนึงได้ไหม เพราะเราอยากจะมีความสุขกับมันอีกครั้ง”
เล่าที่มาของวงและเพลงกันมาพอสมควร ได้เวลามาพูดคุยกับเจ้าตัว และอ๊อฟ ผู้บริหาร Rats Records กันเลยดีกว่า
หลังจากเพลงนี้แล้วจะมีเพลงอื่น ๆ ออกมาในชื่อนี้อีกไหม
แม็กซ์: มีครับ ผมมีเขียนไว้แล้ว เดี๋ยวก็จะมีคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นทางไหน เพราะอันนี้เราทำงานกับ Nick of Time วงเก่า ซึ่งเขาก็แยกเป็นวงใหม่ เหลือผมคนเดียวแล้วที่เป็น Henri Dunant แต่พี่ไบรท์ก็มาช่วยด้วย กำลังดูว่าจะเป็นยังไง วัตถุดิบก็มีพร้อม คอนเซปต์มันก็ชัดเจนแล้ว ก็เหลือว่าจะทำงานกันต่อในรูปแบบไหน
มาร่วมงานกับ Rats Records ได้ยังไง
อ๊อฟ: คือเราเห็นเขาประกวด The Voice ก็คิดว่าถ้าได้มาร่วมงานกันก็จะดีมากเลย แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ชวนมาสักทีเพราะตอนนั้นเขาดังไงครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นที่ Part Time Musicians มาใหม่ ๆ แม็กซ์เขาก็มาเป็นพิธีกรงานเปิดอัลบั้มให้ด้วย ก็ได้มาคุย ๆ กัน แล้วเขาก็หายไปสองสามปีไปทำงานของเขา
แม็กซ์: มันก็มีช่วงที่ผมไปเก็บเกี่ยวอะไรมา ไม่ได้ปล่อยเพลงอะไรเลย ทั้งที่เราแต่งเพลงคิดเพลงอยู่ตลอด ซึ่งมันก็เป็นช่วงที่เปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่าง ผมก็พยายามมานั่งทบทวนว่า สิ่งที่คิดอยู่คืออะไร พอคิดได้แล้วก็ชวนพี่ ๆ เขากลับมาทำจนมาเป็นงานนี้แหละครับ ก็ทำออกมาเหมือนเป็นการโยนหินก้อนแรกไปก่อนว่า ถ้าเกิดว่าเราทำอย่างที่เราอยากจะทำจริง ๆ แล้วคนจะว่ายังไง เล่นกันสนุก ๆ ไปก่อน ซึ่งถ้าได้คุยกันมากกว่านี้อนาคตแนวเพลงอาจจะชัดเจนมากขึ้น อาจจะต่างจากนี้ แต่ความสากลก็คงจะเป็นฟีลประมาณนี้ครับ
ไบรท์: แล้วก็อาจจะมีความเป็นอิเล็กทรอนิกมากขึ้น แต่เราคงไม่ได้ทำเพลงแดนซ์อะไรขนาดนั้น คงมาแนวแบบที่เราทำแหละ ให้เปรียบเทียบแบบพวก Massive Attack หรือ Potishead มีความ trip hop แต่ก็มีความทันสมัยเข้ามาด้วย อาจจะมีซาวด์กีตาร์ หรืออะไรที่ไม่ดาร์กเท่าสมัยนั้น จะใสขึ้นมานิดนึง จริง ๆ ก็ยังไม่ได้คุยกับแม็กซ์จริงจังว่าจะทำยังไงกันต่อ
ย้อนกลับมานิดนึง อะไรทำให้ไปสมัคร The Voice
แม็กซ์: ก็ ว่างครับ ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบ แล้วทำงานบริษัทคนละ field กับตรงนี้เลย แล้วเหมือนเราติดรายการ The Voice ของอเมริกา ชอบมาก อยากรู้ว่าตอนเขาหันมาจะเป็นยังไง มันดูน่าตื่นเต้นดี พอมันมาไทยพอดีเราก็เลยไปสมัคร แล้วผมก็ได้เข้ารอบไปเรื่อย ๆ ด้วยความบังเอิญ
หลังจากประกวด The Voice แล้วชีวิตตอนนั้นถึงตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
แม็กซ์: ผมแทบไม่เคยทำการบ้านในฐานะศิลปินมาก่อนเลย แค่ชอบดนตรีมาก ทุกครั้งกลับบ้านก็จะชอบฟังเพลง แต่งเพลงเล่นตลอดแต่ไม่เคยให้ใครฟัง ไม่เคยอ่านตัวเองออกว่าจะทำอะไรแบบนี้ได้ แล้วพอไป The Voice เขาได้ยินเสียงเราแล้วก็ชอบ แล้วพอเราเข้าไปในวงการมันก็มีอะไรมากกว่านั้น เหมือนเรากระโจนเข้าไปเต็มที่ แล้วที่ผ่านมา 4-5 ปีผมใช้เวลาทำการบ้านหนักมาก คือบางคนเขาคิดกันตั้งแต่เด็กกันแล้วว่าจะมาสายนี้ ผมเพิ่งมาคิดว่าเราจะต้องทำเพลงแบบไหนออกมาถึงจะเป็นตัวเรา ก็ฟังไปทั่วเลย เป็นทางลัดเหมือนกัน แล้วก็โหดเหมือนกัน หวังว่าตอนนี้จะเจอทางแล้ว
จะกลับไปทำเพลงในชื่อ แม็กซ์ เจนมานะ อีกไหม
แม็กซ์: เพลงไทยก็ยังมีอยู่ คือคงทำควบคู่กันไป แต่คนละแนวเลย อันนั้นเป็นแนวที่ต้องทำมาหากิน แต่ก็ไม่ได้เซ็นสัญญากับค่ายไหน อาจจะเป็นเพราะเราอยากลองของด้วย พอทำอิสระก็สบายดีนะ
การทำเพลง mainstream กับอิสระ มีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง
ไบรท์: สำหรับผมยังไงอิสระมันก็ดีกว่าอยู่แล้วครับ ถ้าผมทำงานออกมาผมต้องทำให้ตัวเองก่อนเลย คือส่วนตัวผมไม่เคยมาสาย commercial อยู่แล้ว ผมก็เลือกที่จะไปทำอย่างอื่นเพื่อหาเงินแทน
แม็กซ์: ตอนนี้เราคุยกับคนฟังโดยตรงได้ ไม่ต้องผ่านค่าย ซึ่งถามว่าค่ายมีประโยชน์อะไรตอนนี้ ก็ในแง่ที่ว่าได้เพื่อน ได้ connection ได้คนช่วยทำงาน ส่วนในด้านการทำงานตอนนี้มันเป็นยุคของตัวจริงแล้วที่ผลงานจะทำให้เขาไปต่อได้ไหม
จะเป็นไปได้ไหมที่คนทำเพลงอิสระจะเข้าสู่ตลาด mainstream ได้
ไบรท์: ผมว่ามันกำลังจะเปลี่ยนนะ เด็ก ๆ เขาฟังเพลงกว้างขึ้นเยอะ ผมเล่นดนตรีใต้ดินมาตั้งแต่อยู่มหาลัย พวกวงอะไรไม่รู้ ไม่มีใครเคยได้ยิน แล้วมาคิดกับเพื่อนว่า ถ้าเราเริ่มเล่นตอนนี้แม่งคงไม่เหมือนเกือบ ๆ สิบปีที่แล้ว หรืออย่างวงโพสต์ร็อกเดี๋ยวนี้มีคนชอบเยอะ ผมเห็นแล้วก็รู้สึกฮึกเหิมนิดนึง
อ๊อฟ: ใช่ เราเจอเด็กบางคนนะ อายุยี่สิบต้น ๆ น่ะ ถามเคยฟังวงไทยวงนี้ ๆๆ ไหม เขาบอกไม่ได้ฟังเพลงไทยมา 5-6 ปีแล้ว แต่การจะทำให้มันเป็นกระแสหลักได้มันก็ต้องช่วยกันทุกฝ่าย เราว่าสื่อสำคัญ ถ้าสื่อถ่ายทอดแต่สายแมสอย่างเดียว คนก็จะเสพแต่แมส ถ้าสื่อให้ความสำคัญกับวงที่มีความสามารถทางดนตรีจริง ๆ มากขึ้น คนก็จะเสพเรื่อย ๆ เหมือนวงการเพลงเกาหลี เขาไปไกลแล้ว แต่บ้านเรายังเป็นเพลงละครอย่างเดียวที่ดัง เพราะสื่อเขาเล่นแค่นั้น เขารู้ว่าทำอะไรออกมาแล้วขายได้เขาก็ทำเหมือนเดิม เขาไม่คิดที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ออกมา
มีอะไรในวงการที่อยากลองทำแต่ยังไม่ได้ทำบ้าง
แม็กซ์: ผมไม่คาดหวังอะไรเท่าไหร่ครับ คือก็ทำแบบที่อยากทำ ผมว่ามันเหมือนอะไรสงบ ๆ แต่ข้างในมันเตรียมระเบิด ทั้งความเฟื่องฟูของนักแต่งเพลง การเก็บค่าลิขสิทธิ์ มันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนทั้งระบบ ถึงแม้ value ของงานมันจะไม่เท่าแต่ก่อน แต่มันก็มีมูลค่าในการทำงาน ผมคิดว่ามันเป็น attitude นึงที่ควรจะเปลี่ยนทั้งคนทำ คนฟัง ตอนนี้คนฟังเขาฉลาดที่จะเลือกฟัง แล้วสิ่งที่อยู่ในตลาดมันซ้ำซากจำเจ แล้วคุณต้องฟังอะไรซ้ำ ๆ แบบนี้หรอ เดี๋ยวคนทำเพลงเขาก็เปลี่ยนเองแหละเพราะคนฟังไม่ได้โง่ เดี๋ยวเราทำงานนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างที่อยากจะทำ แล้วเดี๋ยวสิ่งที่ทำถ้าเป็นตัวเองมันก็จะดึงคนมาเอง แล้วตอนนี้ก็มีพวกค่ายเพลงไปสำรวจตลาด เอาคนนั้นคนนี้มาเพราะศิลปินเขาชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเขาอยากได้แนวไหนก็แค่ไปดูแล้วดึงมาปรับ ๆ นิดหน่อย ตัวศิลปินก็จะแข็งแรงด้วยตัวเอง ไม่ใช่แบบที่อยากจะปั้นใครก็ปั้น เอาคนหล่อ ๆ มารวมกัน มันไม่ใช่
ทำเพลงภาษาอังกฤษแล้วคิดจะไปขายต่างประเทศด้วยไหม
แม็กซ์: คือภาษาอังกฤษมันเข้าถึงง่ายครับ ภาษาในการเขียนของมันก็ถ่ายทอดคนละแบบกับภาษาไทยอยู่แล้ว แล้วเราก็ได้พูดในสิ่งที่พูดง่ายขึ้น คนก็เข้าใจง่ายขึ้นไปอีก ยิ่งพอมีดนตรีสากลเป็นตัวสื่อมันก็เข้าถึงได้ทุกคน ถ้าเพลงมันเป็นสากลแล้วถ้าจะไปสากลก็ไปได้ แต่ในบ้านเราก็อาจจะแคบอยู่ แต่วงไทยแล้ว unique จริง ๆ อย่าง Paradise Bangkok ที่เล่นหมอลำแล้วไปถึงผมก็ว่าเจ๋งดีนะ
ถ้าอนาคตวงการเพลงไทยอยู่ในมือทุกคน จะทำอะไรกัน
ไบรท์: ผมก็คงจะทำเพลงไปเรื่อย ๆ พยายามเน้นความใหม่ อาจจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี หรือไอเดียใหม่ ๆ
พจน์: ก็อยากให้หลุดกรอบครับ เพราะตอนนี้คนจะชอบจังหวะแบบนี้ ทำนองอย่างนี้ หรือเพลงที่ต้องเล่นในผับ คนอยากโดด เราไม่ควรจะไปยึดติดกับเพลงที่ทำมาเพื่อขาย เหมือนตอนม.ปลายเราก็ถูกปลูกฝังมาว่าให้เล่นเพื่อให้ทุกคนกระโดด จริง ๆ ก็อยากให้เขาทำงานศิลปะ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องไปนึกถึงอะไรแบบนั้น อยากให้กลับมาที่คนผลิตจริง ๆ มากกว่า อย่าไปคิดถึงผลลัพธ์
ไบรท์: มัน rewarding กว่า แล้วโยงกลับมาว่าทำไมถึงชอบการทำงานอิสระ มันภูมิใจได้ ถ้าไม่มีคนชอบเราก็รู้สึกดีกับมันอยู่แล้วเพราะเราก็ทำเต็มที่
แม็กซ์: จริง ๆ ผมยืดหยุ่นนะ ทำให้คนโดดมันไม่ผิด ถ้ามันเป็นความอยากของศิลปินเอง มันจะมาอยู่ในฟีลการแต่งเพลงของเขา การคิดเซตธีมของเสื้อผ้า มันก็ออกมาจากศิลปินได้ ถ้าเป็นคนที่แฟชันอยู่แล้วก็อยากจะสื่ออะไรทาง visual ของตัวเองอยู่แล้ว อย่าง The 1975 โชว์ล่าสุดเขาคิดมาหมดเลย มันดูเป็นอาร์ตเวิร์ก บางคนเขาเกิดมาที่จะเป็นเบอร์ใหญ่ เขาก็พร้อมที่จะทุ่มอะไรไปทั้งหมด แต่บางคนเขาก็แค่อยากจะเล่าเรื่องของตัวเองเฉย ๆ บางคนก็อยากให้คนสนุกกับเพลง มันก็แล้วแต่คน อยากทำไรก็ทำ ทำไปเถอะ
ติดตามผลงานของ Henri Dunant ได้ที่ https://www.facebook.com/HenriDunantOfficialและ The Good Day Ghosts ที่ https://www.facebook.com/thegooddayghosts