คุยกับ Wolf Alice วงดนตรีรุ่นใหม่ที่กอบกู้ซีนร็อกอังกฤษให้โชติช่วงอีกครั้ง
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Jiratchaya Pattarathunrong
อีกครั้งที่เราได้พูดคุยกับ Wolf Alice หลังจากที่รอบก่อนเราบุกไปหาพวกเขาถึง Laneway Festival สิงคโปร์ (อ่านบทสัมภาษณ์ก่อนหน้าได้ ที่นี่) ซึ่งคราวนี้เราก็มีเวลาคุยกับพวกเขามากกว่าเดิม แถมได้มาเจอกันแบบครบทั้งวงด้วย
สมาชิก
Ellie Rowsell (กีตาร์, ร้องนำ)
Joff Oddie (กีตาร์)
Theo Ellis (เบส)
Joel Amey (กลอง)
ขอแสดงความยินดีด้วยที่อัลบั้ม Visions of a Life ของพวกคุณได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Mercury Music Prize ในปีนี้ รู้สึกยังไงบ้าง แล้วก็เรื่องราวเบื้องหลังอัลบั้มนี้เกี่ยวกับอะไร
ธีโอ: มีหลายเรื่องราวมากเลยครับ เพราะว่ามันเป็นการที่เราได้รับประสบการมาต่าง ๆ กัน แต่เราก็รู้สึกดีใจครับที่เราได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง เพราะหลาย ๆ วงที่ได้รับคัดเลือกมาก็เป็นวงที่เจ๋ง ๆ ทั้งนั้น
รู้สึกยังไงถ้ามีวงดนตรีวงนึงบอกว่าพวกคุณคือผู้กอบกู้วงการดนตรีร็อกอังกฤษ
ธีโอ: มีหรอ ใครอะ บอกหน่อย ขนาดนั้นเลยหรอ (FJZ: ลองทายสิ)
โจล: The Beatles หรอ (หัวเราะ)
ธีโอ: ขอบคุณมากครับ เราก็ขอน้อมรับไว้ละกัน สรุปว่าคือวงอะไรล่ะ (FJZ: Nothing But Thieves) โอ้้้้้
จากชื่อวง Wolf Alice เพลงของคุณได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายบ้างหรือเปล่า
เอลลี่: ก็มีนิดนึงนะคะ แต่ไม่ได้สื่อมาตรง ๆ ผ่านเพลง
จอฟ: มันเหมือนเป็นการเทียบเคียงกับการเล่าเรื่องในเทพนิยาย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการเล่าเรื่องดาร์ก ๆ แต่เราก็เล่ามันผ่านการใช้ดนตรีที่หนักหน่วง
สถานที่ไหนที่พวกคุณชอบใช้เป็นที่เขียนเพลง
ธีโอ: ที่บ้านแม่ของโจลครับ เราทำเดโม่กันในห้องของเขา แล้วคุณแม่ก็จะทำพายมาให้พวกเรากิน (หัวเราะ)
โจล: จริง ๆ เรามีสตูดิโอที่อัดอัลบั้ม Visions of a Life ชื่อ Fortress Studios แต่มันปิดไปแล้ว น่าเสียดายมาก ตอนนี้เราเลยต้องหาที่ใหม่ในการหาแรงบันดาลใจ
เอลลี่: แต่จริง ๆ ห้องนอนเป็นที่ที่ดีที่สุดเลยนะ (โจฟ: ใช่ ๆ)
เวลาเขียนเพลงนี่ช่วยกันเขียนหรือเปล่า
โจล: ใช่ครับ เรามี Dropbox ไว้โยนไอเดียกัน ใช้เวลาประมาณ 2-3 อัลบั้มแรกของเราใช้เวลาประมาณ 5 ปีกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง ค่อนข้างยากกว่าตอนทำงานชุดนี้ครับ
มีใครเป็นฟรอนต์แมน/ฟรอนต์วูแมนคนโปรดบ้าง
เอลลี่: ฉันชอบวงออสเตรเลียชื่อ Amyl and the Sniffers เธอเล่นโชว์สนุก เสียงดี เต้นเก่ง ฉันชอบเธอมาก ๆ คือฉันชอบดูคนเต้นอะ (หัวเราะ) เวลาเห็นคนเต้นจากเวทีแล้วมันรู้สึกดีมาก ๆ
โจล: ผมชอบ Jack White เป็นโชว์ที่ผมประทับใจมาก ๆ ในหลายปี หลังจากที่ไม่ได้ดูเขามานานแล้วเขาก็ยังทำอะไรใหม่ ๆ ตลอด รู้สึกสดใหม่ครับ
ในอัลบั้มมีเพลงนึงของคุณที่หนักมาก ๆ อย่าง Yuk Foo ในอนาคตจะทำเพลงที่คลั่งหนักกว่านี้อีกไหม
ธีโอ: อาจจะครับ ยังไม่รู้เลย
ที่อังกฤษเขาเล่นคำผวนกันเป็นปกติหรือเปล่า คือที่ไทยเล่นกันบ่อยมาก
โจฟ: มีครับ มันมีการทำอะไรแบบนั้นอยู่ แต่มันก็ไม่ได้เป็นที่นิยมอะไร คือเราก็ผวนเอาสนุก ๆ กันเองมากกว่า (หัวเราะ)
ครั้งล่าสุดที่คุณโกรธมาก ๆ จนตะโกนคำนั้นใส่หน้าคนอื่นคือเหตุการณ์ไหน
ธีโอ: ตอนนั้นเราติดอยู่ในสนามบินกันนานเกินไปจนมันทำให้เราต้องโพล่งคำว่า Yuk Foo ออกมา หงุดหงิดกับทุกอย่างเลยครับ
ได้ยินว่าหลังจากนี้จะพักจากการทัวร์และทำอัลบั้มไปช่วงนึงเลย วางแผนจะทำอะไรบ้าง
เอลลี่: ก็คิดว่าคงจะเขียนเพลงใหม่ ๆ นะคะ คือเราออกทัวร์กันมาพักใหญ่เลยแหละ ปีครึ่งแน่ะ ก็เลยคิดว่าต้องพักแล้วแหละ (หัวเราะ) แต่นั่นแหละ เดี๋ยวพอเพลงใหม่ออกมาคุณก็จะได้รู้ว่าช่วงที่เราหายไป ชีวิตของเราไปถึงไหนแล้วจากเพลงที่เราแต่ง ที่แน่ ๆ มันคือการไปสู่อีกก้าวนึงของ Wolf Alice ค่ะ (FJZ: แฟน ๆ จะต้องคิดถึงพวกคุณแน่ ๆ) ขอบคุณค่ะ/ครับ (ตอบทั้งวง)
ยังมีความรู้สึกแบบในเพลง Giant Peach อยู่ไหม (เพลงนี้เป็นเพลงที่บ่นเกี่ยวกับการอยากหนีไปจากบ้านเกิดของตัวเอง ทั้งที่จริง ๆ แล้วจะหนีไปเลยก็ได้แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหนเพราะรู้สึกว่ายังมีอะไรรั้งไว้อยู่)
เอลลี่: ณ ตอนนั้นมีมากเลยค่ะ คือเพลงมันเกี่ยวกับความกระอักกระอ่วนในใจ มีหลายเรื่องมากเลย มันคือความรู้สึกของการที่เรายังเด็กมากแล้วก็อยากจะโตขึ้น แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามีอิสระมากขึ้นนะ ได้เดินทางมากขึ้น ความรู้สึกนั้นก็เลยเจือจางลงไปค่ะ
มีคำแนะนำอะไรให้เด็กผู้หญิงที่อยากจะทำวงร็อกของตัวเองไหม
เอลลี่: ทำเล้ย อยากทำก็ทำเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณมาเมืองไทยใช่ไหม
ธีโอ: ในฐานะวงก็ใช่ครับ พวกเราบางคนเคยมาที่นี่กันบ้างแล้ว
มากรุงเทพ ฯ แล้วได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง
เอลลี่: จตุจักรค่ะ แล้วก็เดินสวนสาธารณะ
โจล: ผมซื้อไอ้นี่ แล้วก็ไอ้นี่มา เสียดายครับที่มีเวลาไม่มาก อยากจะเดินต่ออีกเยอะ ๆ สนุกดีครับ
รู้สึกยังไงที่ได้มาเป็น headliner ของเฟสติวัล
ธีโอ: สุดยอดมากครับ เมื่อกี้เราก็เพิ่งซาวด์เช็กกันเสร็จ ซาวด์ดีมาก แล้วก็เป็นเวนิวที่ดี คิดว่านี่น่าจะเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกครับ
ตอนนี้ทุกคนจำภาพเอลลี่ใส่สลิปเดรสเล่นคอนเสิร์ตไปแล้ว ตั้งใจให้เป็น signature look หรือเปล่า
เอลลี่: ไม่น้า จริง ๆ คือชอบใส่อะไรแบบนี้เพราะหุ่นฉันมันเหมือนเด็กผู้ชายอายุ 12 อะ เลยใส่ชุดสลิปให้มันดูมีความเป็นผู้หญิงกับเขามั่ง (หัวเราะ)
คุณชอบที่จะเล่นในเฟสติวัลหรือโชว์เล็ก ๆ มากกว่า
ธีโอ: เราชอบทั้งสองแบบเลยครับ มันก็ดีทั้งคู่แต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ตราบใดที่คนดูสนุกน่ะนะ
ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีคนขอแต่งงานในคอนเสิร์ตของพวกคุณด้วย
ธีโอ: ใช่ครับ ผมกับโจฟเอง (หัวเราะ)
เอลลี่: ก็คือมีแฟนเพลงผู้หญิงของเราคนนึงบอกว่าจะมา Reading Festival แล้วจะขอแฟนสาวแต่งงานตอนเราเล่นเพลง Don’t Delete A Kiss ซึ่งเป็นเพลงที่ทั้งสองชอบ ก็ถามว่า เราพอจะช่วยจัดการอะไรได้บ้างไหม ก็เลยให้พวกเขาขึ้นมาขอแต่งงานกันบนเวทีเลย เป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
เคยได้ฟังเพลงของวงที่จะเล่นเปิดในวันนี้ไหม
โจล: ครับ เราได้ฟังพวกเขามาบ้าง ก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดูทั้งสองวงเล่นแบบสด ๆ
เราจะคาดหวังอะไรได้บ้างจากโชว์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้
ธีโอ: เราจะเล่นเพลงจากทั้งสองอัลบั้ม แล้วมันจะต้องสนุกแน่ ๆ เลยครับ
อันนี้ถามเล่น ๆ ถ้าเกิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาที่โลกของเรา คุณอยากส่งใครให้ไปเป็นตัวแทนของมนุษย์โลก
เอลลี่: David Beckham
โจล: แล้วก็ James Bond
ธีโอ: David Beckham กับ Idris Alba ครับ
โจฟ: อยากให้เป็น Morgan Freeman อะ (หัวเราะ) เขาเป็นฮีโร่ของผมครับ
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ
เอลลี่: ดีใจที่ได้มาที่นี่นะคะ โดยเฉพาะกับการได้รู้ว่ามีคนหลายคนมากที่รอเราอยู่ที่นี่ เราไม่คิดว่าจะมีคนฟังเพลงของพวกเราเยอะขนาดนี้ก็ค่อนข้างตกใจค่ะ ก็ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ แล้วเจอกันคืนนี้ค่ะ หวังว่าจะได้กลับมาเล่นอีก