Warpaint

Article Import

นั่งพับเพียบ จิบช็อกโกแลตร้อน และเม้าท์ไปกับ Stella และ Theresa แห่ง Warpaint

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

Theresa Wayman และ Stella Mozgawa สองสาวซ่าตัวแทนวงร็อก Warpaint ที่เดินทางมาเปิดการแสดงครั้งแรกในประเทศไทยให้กับ Harry Styles Live on Tour มานั่งพับเพียบจิบช็อกโกแลตร้อนพูดคุยกับเราถึงประสบการณ์ที่ผ่านมารวมถึงอัลบั้มชุดล่าสุด Heads Up ซึ่งจากการได้คุยกับพวกเธอในครั้งนี้ก็ทำให้เราอยากดู full show ของ Warpaint สักครั้ง จะมีใครใจดีชวนพวกเธอมามั้ยน้า

สมาชิก
Theresa Wayman (ร้องนำ, กีตาร์)
Emily Kokal (ร้องนำ, กีตาร์)
Jenny Lee Lindberg (เบส)
Stella Mozgawa (กลอง)

14 ปีที่ตั้งวง Warpaint ขึ้นมา เจออุปสรรคอะไรบ้างกว่าที่จะมีคนมารู้จักพวกคุณ

สเตลล่า: ร้อยแปดเลย แน่นอนว่าเราต้องมีช่วงที่ลำบากกันแหละ (หัวเราะ)

เทรีซ่า: บางทีมันก็เป็นปัญหาภายในเหมือนกันนะ เพราะเราจะต้องจูนให้ทุกคนอยู่ในทิศทางเดียวกัน เหมือนก่อนหน้านี้เรามีการปรับเปลี่ยนสมาชิกวง แล้วก็ต้องมีคนที่เป็นตัวนำให้งานเดินต่อได้ พอเวลาผ่านไปเราก็สื่อสารได้เข้าใจกันมากขึ้น จนมาอยู่ในจุดที่รู้ว่าพวกเราต้องการอะไร และเราก็ยังอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้

อยู่มานานขนาดนี้ รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปบ้างไหม

เทรีซ่า: ยังเปลี่ยนได้มากกว่านี้อีกนะ แค่นี้ยังไม่พอหรอก วงเราจะไม่หยุดแนวเพลงที่ทำไว้แค่นี้ จะลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำไปเรื่อย มันเป็นสิ่งที่เราเชื่อมาตลอด เพราะมันยังมีสิ่งให้เราค้นหาและทำอยู่เสมอ ซึ่งมันจะเป็นผลดีกับพวกเรามาก

อะไรคือสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดเวลาที่ผ่านมา

เทรีซ่า: การที่เราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ได้ต้องการบังคับให้เพลงมันออกไปในทิศทางไหน หรือทำมันไปเพื่ออะไร แค่อยากเล่นดนตรีกับเพื่อน อยากเขียนเพลงด้วยกัน ซึ่งนั่นน่าจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับทุกวงดนตรี

แล้วตอนนี้มีเป้าหมายหรือยัง

เทรีซ่า: แค่อยากทำอัลบั้มให้ออกมาสมบูรณ์แบบ ตามมาตรฐานของพวกเราเองน่ะนะ

สเตลล่า: เห็นด้วย ขอแค่เป็นตัวของตัวเอง

ถือว่าอัลบั้มชุดล่าสุด Heads Up ทำได้ตามที่หวังหรือยัง

สเตลล่า: ยังค่ะ ถ้าเราคิดว่าทำมันได้ดีหรือสมบูรณ์แบบสุด แล้วเราคงได้พักยาว เพราะพอมันดีแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำต่อแล้วอะ ฉันเลยคิดว่าการจะทำอัลบั้มนึงขึ้นมามันควรจะมีเรื่องที่อยากพูดหรือเป็นสิ่งที่อัลบั้มชุดที่แล้วไม่มี

ทำไมอัลบั้มนี้ถึงฟังดูอิเล็กทรอนิกมากกว่าชุดก่อนเยอะเลย

เทรีซ่า: ช่วงนี้เรากลับมาฟัง Janet Jackson กันเยอะขึ้น

สเตลล่า: มันเหมือนว่าพอเราผ่านอะไรมามันก็จะเริ่มตกตะกอนเป็นแบบนั้นค่ะ อย่างการทำอัลบั้มชุดไหนก็ตาม ถ้าช่วงนั้นเราฟังอะไรมันก็จะซึมซับพวกนั้นมา แล้วช่วงที่ทำ Heads Up เราดันกลับไปฟังแจเน็ต แจ็คสัน เธอเป็นศิลปินคนแรก ที่ทำให้ฉันเริ่มฟังเพลง มันก็เลยได้อิทธิพลมาซะเยอะจากสไตล์โปรดักชันต่าง

เทรีซ่า: ยากที่จะบอกนะคะว่าได้อิทธิพลมาจากอะไรแบบเป๊ะ เพราะมันก็มีองค์ประกอบหลาย อย่างมารวมกัน แล้วเวลาเราทำเพลงก็ไม่ได้ตั้งใจว่าอยากจะให้เสียงกีตาร์ออกมาเหมือนคนนั้น ไลน์กลองเป็นแบบนี้ ใช้เพดัลรุ่นไหน ใช้แอมป์อะไร ไม่ขนาดนั้นอะค่ะ

สเตลล่า: ฉันได้ทำงานกับคนมาเยอะมาก เขาก็จะชอบบอกว่า เอ๊ย เพลงของวงนั้น ชุดนั้น มันให้ฟีล Talking Heads มาก เลย นั่นนี่ แต่นี่ก็ไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดนะว่าเพลงของเราเหมือนวงอะไร ค่อนข้างเฉพาะตัว แล้วเราก็ไม่เคยบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน ในแง่ของขั้นตอนการเค้นไอเดียหรือใช้ความคิดสร้างสรรค์น่ะนะ มันเหมือนเป็นการจำกัดขอบเขตของดนตรีไปหน่อย

อัลบั้มต่อไปจะออกมาเป็นแบบไหน

สเตลล่า: ตอนเราทัวร์ของอัลบั้มชุดที่แล้วเสร็จ เราถึงจะมีเวลาเขียนเพลงใน Heads Up ซึ่งตอนนั้นเราคิดอย่างเดียวว่าอยากทำเพลงที่เต้นได้ ตื่นเต้น สดใสกว่าเดิม แล้วพอเอาเข้าจริง ตอนทำเสร็จออกมา บางเพลงมันก็เป็นแบบนั้น แต่บางเพลงก็ไม่ได้ออกมาอย่างที่คิด ก็เลยไม่รู้ว่าชุดหน้าจะเป็นยังไง รอให้มันถึงเวลานั้นก่อน

เคยคิดว่าเพลงของ Warpaint มีความ passive-aggressive บ้างไหม คือเหมือนไม่สามารถพูดความรู้สึก ขณะนั้นออกมาได้ แล้วเลือกที่จะวิ่งกลับไปกรี๊ดใส่หมอนที่บ้านแทน

เทรีซ่า: ก็จริงนะคะ ฉันว่าในเนื้อเพลงของเรามันเป็นการสะท้อนตัวตนมากพอสมควร โดยเฉพาะช่วงแรก ที่เราเริ่มทำเพลงกันเนี่ย มันมีบางเรื่องที่เราไม่สามารถพูดได้ในบทสนทนาทั่วไป หรือสังคมเขายังไม่ยอมรับในเรื่องที่เราคิดหรือรู้สึก เราก็เลยต้องหาที่ลงให้กับสิ่งเหล่านี้ นั่นก็คือเพลงของเราเนี่ยแหละ

จากผลงานทั้งหมดที่ผ่านมา เพลงไหนที่บ่งบอกความเป็น Warpaint ได้ดีที่สุด

เทรีซ่า: ฉันมักจะตอบว่า Elephants นะ แต่เพลงนั้นสเตลล่ายังไม่ได้มาเล่นกลองให้ เลยคิดว่ามันจะใช่ Warpaint จริง หรือเปล่า บางทีก็คิดว่าเป็นเพลง Drive หรือ The Stall อันนั้นไลน์เบสของเจนนี่เข้ากับกลองของสเตลล่ามาก …ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเพลงพวกนี้ แค่รู้สึกว่ามัน Warpaint มาก

เราจะได้ฟังเพลงพวกนี้ในโชว์คืนนี้หรือเปล่า

เทรีซ่า: The Stall คงไม่น่าจะได้ฟังนะ คือไม่ได้ไม่อยากเล่น แต่เรามีเวลาแค่ 40 นาที (หัวเราะ)

อยากมีโชว์เป็นของตัวเองที่นี่ไหม มีความเป็นไปได้ไหม

สเตลล่า: แน่นอนสิ แต่อาจจะไม่ใช่รอบนี้ เอ๊ะ หรือเราอาจจะเล่นโชว์วันพรุ่งนี้ได้นะ ไม่ก็ไปเปิดเพลง เป็นดีเจ ถ้าคุณพอจะมีแหล่ง

เทรีซ่า: ปาร์ตี้เล็ก งี้

Warpaint เคยได้คัฟเวอร์เพลง Ashes to Ashes ของ David Bowie วงได้รับโอกาสนั้นได้ยังไง และผู้ชายคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณยังไงบ้าง

สเตลล่า: นั่นแทบจะเป็นเพลงแรกที่ฉันมาเล่นกับวงเลยนะ ช่วงที่ทำอัลบั้ม The Fool ด้วย ใช่มั้ย

เทรีซ่า: ช่าย แต่ทอมเป็นคนมิกซ์เพลง Ashes to Ashes

สเตลล่า: แต่ฉันเป็นคนเล่นแล้วก็อัดกลองในเพลงนั้น… ใช่แล้วแหละ ตอนนั้นรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ทำ แต่ขณะเดียวกันก็กลัวเหมือนกันเพราะเขาเป็นศิลปินระดับตำนาน ตอนนั้นเขายังมีชีวิตอยู่ด้วย ซึ่งเวอร์ชันเดิมก็ดีมาก อยู่แล้ว เราเองก็ต้องทำเวอร์ชันคัฟเวอร์ที่ไม่เหมือนกับของเขา แต่เป็นเรื่องยากที่จะทำออกมายังไงให้ดีแบบไม่เสียของ แต่ด้วยความที่ เดวิด โบวี่ เป็นคนที่โดดเด่นมาก ทุกอัลบั้มมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่ตลอด มีบุคลิกหลายแบบแต่ถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนและทำได้ถึงทุกแบบ เขาคือคนที่เป็นตัวของตัวเองและซื่อสัตย์ต่อตัวเองมากที่สุดคนนึง เราก็เลยรู้สึกดีใจที่ได้ทำเพลงทริบิวต์ให้เขา

เทรีซ่า: ฉันว่าเราทำออกมาได้ดีด้วยนะ ภูมิใจมาก ที่ได้ทำเพลงนั้น แล้วตอนที่เพลงออกมา คนที่ชวนเราไปทำเพลงในอัลบั้มนี้บอกเราว่า เดวิด โบวี่ ชมเพลงเวอร์ชันที่ Warpaint ทำ

สเตลล่า: ฮะ ใช่หรอ เขาชมทั้งอัลบั้มหรือเฉพาะของเรา ฉันนึกว่าเขาแค่พูดถึงเรากับคนอื่น ในอัลบั้ม

เทรีซ่า: งานเราเลย เพราะเขาได้ฟังทั้งชุดแล้ว เขาก็บอกว่าของคนอื่นดี แต่เน้นว่า เฉพาะของ Warpaint เนี่ยแหละที่ชอบมาก

สเตลล่า: โอ้ (ทำหน้าดีใจมากเหมือนจะร้องไห้)

อยากทำเพลงคัฟเวอร์หรือร่วมงานกับใครอีก

สเตลล่า: เยอะมากเลย เราพูดเรื่องทำเพลงคัฟเวอร์กันอยู่ตลอด แต่ทุกครั้งมันจะมีแค่คนเดียวที่ตื่นเต้นอยากทำคัฟเวอร์ แล้วต้องมาคอยบิ๊วให้คนอื่นอยากทำด้วย แบบ ‘เฮ้ยแก มาทำกันเถอะ’ แล้วคนอื่น ก็จะ ‘เออ เอาสิ ทำ ๆ’ แต่แล้วสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (หัวเราะ) คือถ้ามันจะเกิดขึ้นได้ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นงานทริบิวต์แบบนั้นแหละ ต้องตั้งเป้าไว้ คิดว่าควรทำเพิ่มได้แล้วนะ จะได้ฝึกตัวเองด้วย แต่จะคัฟเวอร์อะไรก็ไม่รู้แฮะ อยากทำให้มันแปลก ไปเลย รู้จักเพลงชื่อ Your Woman ของ White Town ไหม เพลงดังมากยุค 90s แล้วฉันก็เคยมีภาพว่าวงเราจะได้คัฟเวอร์เพลงนี้กันเธออยากทำเพลงอะไร

เทรีซ่า: ไม่รู้อะ นึกไม่ออก

เวลามีคนบอกว่าพวกคุณเป็นวงหญิงล้วน มีความรู้สึกยังไงบ้าง อยากให้คนมองเราเป็นแบบนั้น หรือแค่เป็นวงร็อกทั่วไป

สเตลล่า: อืมความเห็นเรื่องนี้ของฉันก็สลับไปสลับมาอยู่บ่อย เหมือนกันนะ เพราะฉันโตมาในสถานที่ที่ผู้ชายอยู่เยอะ แล้วก็เล่นอะไรกับเด็กผู้ชายก็บ่อย ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีความแตกต่างระหว่างนักดนตรีชายหญิงมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้ด้วยสถานการณ์หลาย อย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้ฉันเริ่มมีความเฟมินิสต์มากกว่าเดิม เรื่องบางเรื่องที่คิดว่ามันดูเหมือนไม่มีอะไรหรือไม่ต้องไปจริงจังกับมันมาก ตอนนี้ฉันก็เริ่มตระหนักได้ว่ามันก็สำคัญนะ แล้วการที่เรามาเป็นวงดนตรีหญิงล้วนมันก็ดีตรงที่เป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงคนอื่น ได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่อยากให้คนมาโฟกัสวงเราเพราะแค่เป็นผู้หญิง แล้วบางครั้งมันทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยที่ถูกมองหรือเรียกแบบนั้น อยากให้ฟังที่เพลงเรามากกว่า

ฝากอะไรกับแฟน หน่อย

สเตลล่า: หวังว่าเราจะได้กลับมาเร็ว นี้นะ

เทรีซ่า: อยากเล่นโชว์ของพวกเราจัง คืนพรุ่งนี้เลยมั้ย

สเตลล่า: หรือไปเป็นดีเจเปิดเพลงที่ไหนก็ได้ อยากรู้ว่าสตรีทฟู้ดแถวไหนอร่อย ไนต์มาร์เก็ตที่ไหนเจ๋ง ที่แฮงเอาต์แจ่ม ถ้าใครรู้ว่าที่ไหนดีก็บอกเราหน่อยนะ

เทรีซ่า: จริง วันก่อนฉันก็ลงไปนั่งดื่มที่ล็อบบี้โรงแรม พอดีมีดีเจเปิดเพลงด้วย ฉันก็เลยเต้นอยู่ที่โต๊ะ แล้วทีนี้ก็มีผู้หญิงสองคนเดินมาหาฉันแล้วบอกว่าฉันจะพาเธอไปคลับที่ดีกว่านี้ ถ้าถามถึงที่เจ๋ง ในกรุงเทพ ให้ถามพวกเรานะ อย่าเชื่อคนอื่น’ (หัวเราะ) เราก็เลยไปคลับคลับนึง มีดีเจเป็นผู้หญิงเล่นอยู่ เปิดดีมาก เต้นกันสนุกมาก จำชื่อไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร คือมันอยู่ในโรงแรมแล้วเราต้องขึ้นลิฟต์ไปถ้านึกออกแล้วจะบอกนะ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้