ครั้งแรกใน Thailand กับพวกเขา Panama จาก Australia
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Nattanich Chanaritchai
เช้านี้ทีม Fungjaizine บุกไปที่ร้าน Kaizen Coffee Co. ในซอยเอกมัยเพื่อพบปะกับอิเล็กทรอนิกดูโอ้ที่กำลังมาแรงที่สุดวงหนึ่ง ณ ขณะนี้อย่าง Panama และวันนี้เองที่พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการชวนทุกคนเต้นไปกับบทเพลงที่เชื่อว่าจะต้องคุ้นหูหลาย ๆ คนแน่นอน เราไม่รอช้ารีบสั่งกาแฟแล้วเข้าไปพูดคุยกับสองหนุ่มออสซีในทันที
ทำไมต้องชื่อ Panama
Jarrah: เป็นคำถามที่โดนถามบ่อยมากเลย (หัวเราะ) แต่คนปานามาเขาก็โอเคกับชื่อนี้นะ คือผมได้ชื่อนี้ตอนทำเพลงที่อเมริกา แล้วมันมีวงชื่อ America ซึ่งพวกเขาเป็นคนอังกฤษ แล้วเพลงเขาก็ดีมาก มีแฟนคลับก็เยอะ ทีนี้ผมว่าเวลาตั้งชื่อตามประเทศหรืออะไรที่ชัด ๆ เวลาปล่อยเพลงออกมาคนก็จะรู้ว่า อ้อ วงพวกนี้จะพูดถึงอะไร นี่คือเพลงของวงนี้นะ เหมือนว่าเนื้อหาในเพลงก็จะกลายเป็นความหมายหรืออีกชื่อหนึ่งของวงไปด้วย แล้วความยากที่สุดที่ตามมาคือการคิดชื่อวงของเราเองเนี่ย บางทีคิดไม่ออกจนเครียด (หัวเราะ) ผมไม่ได้ทำวงร็อกก็คิดว่าถ้าเป็น Panama ชื่อประเทศนี้เราน่าจะดูเป็นแนวดนตรีที่แตกต่างออกไปมากกว่าที่จะเป็นวงร็อกนะ
Tim: บางทีการคิดชื่อวงหรือเพลงนี่ก็ยากพอ ๆ กับการทำเพลงเลย
มารู้จักกันได้ไง
Jarrah: ผมทำ Panama มาประมาณปีนึงแล้ว ทีนี้ Tim เล่นอยู่กับอีกวงก็จะมีงานเล่นด้วยกันบ่อย พวกเราก็ได้พูดคุยกันบ้าง พอ Panama เริ่มยุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็คิดว่าจะชวน Tim มาเล่น
Tim: จริง ๆ เขาเป็นแฟนเพลงของวงผมด้วย แล้วเขาบอกว่าถ้ามีงานเล่น ให้ผมเข้าไปแจมได้นะ แล้วพอผมเข้าไปเล่นบ่อยขึ้นผมก็เลย อะ มาเข้าวงนี้เลยละกัน
Jarrah: ผมว่าพอเขาเข้ามาแล้วมันก็เติมเต็มวงให้ถูกที่ถูกทางมากขึ้น ยิ่งเล่น ๆ ไปยิ่งรู้สึกว่ามันใช่ ตอนนี้ผมเลยแฮปปี้กับที่วงเป็นอยู่
เพลงของ Panama เป็นสไตล์ไหน
Jarrah: เป็นอิเล็กทรอนิกครับ คือเราชอบแต่งแล้วก็เล่นเพลงที่สามารถเต้นไปด้วยได้ หรือรู้สึกกับเพลงของเราได้ แล้วก็จะมีเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวบ้าง เราไม่สามารถโชว์ได้โดยที่คนดูไม่มีส่วนร่วมกับเรา หรือเต้นไปกับเพลงของเรา คือเราอยากให้เขาเลิกยุ่งกับมือถือ แล้วมาสนุกกับพวกเรามากกว่า เลิกถ่ายรูปงี้ แต่เข้าใจแหละว่ามันยาก
Tim: เราอยากให้ทุกคนร่วมใช้เวลาไปกับเรา เหมือนเราได้เชื่อมต่อกันมากกว่าที่พวกคุณจะเลือกไปเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์
รู้สึกยังไงพอมีคนบอกว่าเพลงของ Panama เหมือนส่วนผสมระหว่าง Hot Chip กับ Bastille
Tim: น่าจะเป็นส่วนผสมที่ดีนะ
Jarrah: Bastille นี่ผมไม่ค่อยได้ฟังงานเขา แต่ก็ไปดูโชว์ของ Hot Chipอยู่บ้าง แต่ก็ขอบคุณครับ ผมถือว่าเป็นคำชมละกัน สิ่งที่พวกเราพยายามทำคือดูโชว์ของวงอื่นว่าเขาทำอะไร คือบรรยากาศตอนเล่นสดในแต่ละที่มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เราก็จะจำว่าวงนี้เล่นแล้วคนเป็นอย่างนี้ ๆ นะ มันก็ค่อนข้างเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ มันเป็นการเติบโตของวงเราที่น่าสนใจที่จะได้ทดลองไปเรื่อย ๆ เพราะเราจะคิดเสมอว่า โอเค พวกคนรุ่นเก่า ๆ เขาทำอะไรกัน เราจะไม่เดินตามเขา
เพลงใน Always EP ได้อิทธิพลมาจากดนตรีปลายยุค 80s หรือเปล่า
Jarrah: อ่า (หัวเราะ) ตลกดีเหมือนกันคนชอบบอกว่าเพลงเราหลุดมาจากยุค 80s ครับ ไม่รู้สิ ผมว่าบางเพลงอย่าง Destroyer อาจจะใช่ แต่หลายเพลงใน Always เป็นเพลงที่ฟังแล้วผ่อนคลาย ไม่ได้ 80s จ๋าขนาดนั้นทั้งหมด เพราะในขณะเดียวกัน Panama ก็จะปรับเปลี่ยนอะไรอยู่เรื่อย ๆ ทดลองอะไรใหม่ ๆ ตลอด ไม่ได้อิงมาจาก 80s หรอกครับ
สิ่งที่ยากที่สุดในการทำเพลง
Jarrah: น่าจะเป็นไอเดียที่เราคิดขึ้นมาได้เองแบบเพียว ๆ ในการเขียนเพลงแหละครับ เพราะเวลามันคิดได้แล้วเนี่ยมันเจ๋งมากเลยนะ
Tim: มันน่าตื่นเต้นเวลาที่เราพยายามคิดบีทอะไรออกมาแล้วพอเจอว่าอันนี้มันไม่เหมือนใคร เราก็จะคิดว่า เออ เนี่ยแหละเพลงของวงเรา ผมจะอยู่ในสตูดิโอเป็นชั่วโมง ๆ โดยที่ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จนกระทั่งผมคิดออกแล้วตัดสินใจได้ว่าจะเอาแบบนี้ น่าจะเป็นส่วนที่ยากที่สุดแล้วครับ
ชอบเพลงไหนที่สุดใน Always EP
Jarrah: ผมรู้ว่าคนชอบเพลง Always กัน (หัวเราะ) แต่ที่พวกผมชอบเล่นกันที่สุดคือ remix เพลง Cape Town ของ Clubfeet
Tim: ผมว่าสองเพลงนี้มันต่างกันนะ มันก็ให้ความรู้สึกต่างกันไปในตอนเล่น ทั้งปฏิกิริยาคนดูอะไรพวกนี้
Jarrah: ผมเห็นด้วยนะ บางเพลงนี่คนเต้นกันยับเลย เราก็อินกับการเล่นในครั้งนั้น แต่บางเพลงมันก็เป็นเพลงที่หลาย ๆ คนรู้สึกถึงมัน อินกับมัน ก็เข้าใจได้ครับ ผมกับ Tim ก็สนุกทุกครั้งที่ได้เล่นแล้วเห็นคนดูสนุกแหละ
Feedback จากที่ไปเล่นเป็นยังไงบ้าง
Jarrah: มันดีนะ แบบพวกเราได้เดินทางไปเล่นในหลาย ๆ ประเทศแบบที่เราไม่ได้นึกถึงกันมาก่อน อย่างในสิงคโปร์หรือฟิลิปปินส์ หรือบางประเทศในยุโรป แล้วทุกคนร้องเพลงของเราได้ มันเกินความคาดหมายมาก ๆ ดีมากเลยครับ
Panama ต่างจากวงอิเล็กทรอนิกวงอื่น ๆ ยังไงบ้าง
Jarrah: เป็นคำถามที่เราก็นึกถึงอยู่ตลอดนะ ตอนผมเขียนเพลงผมพยายามจะทำให้มันออกมาเป็นตัวของตัวเอง ไม่เหมือนใคร โดยคิดว่าเพลงที่ผมเขียนมันรู้สึกพิเศษเพราะมันออกมาจากความรู้สึกของผมจริง ๆ คือมันแตกต่างตั้งแต่ที่ผมเริ่มร้องเพลงอยู่กับเปียโนตอนทำเพลงนั่นแหละ
แรงบันดาลใจในการเขียนเพลง
Jarrah: มันคือความยากในการคิดไอเดียที่เคยบอกไปเลยครับ (หัวเราะ) สิ่งนี้แหละมันทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจ เพราะพอไอเดียมันคลิกแล้วก็ฉลุยเลย แล้วจริง ๆ แรงบันดาลใจมันมาจากทุกอย่างเลยนะ เหมือนเราไปพบเจอหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งการเล่นในหลาย ๆ โชว์ เจอคนมากหน้าหลายตา ฟังเพลงหลายแบบ มันเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีเลย อย่าง Tim ก็ได้มาจากการอ่านหนังสือ วัฒนธรรมที่แตกต่าง การใช้ชีวิตของผู้คน ผมว่าแรงบันดาลใจมันเกิดจากการที่เราได้สะสมความคิดจากหลาย ๆ ที่ แบบ อันนี้น่าเก็บไว้นะ อันนี้ชอบว่ะ เราก็เอามากลั่นกรองในแบบของเรา
คิดว่าวงเราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
Tim: เราได้ไปเล่นในอเมริกา ยุโรป สิงคโปร์ แล้วได้มาที่ไทย แล้วจะได้เล่นต่อหน้าคนเป็นร้อย ผมว่าเราก็ประสบความสำเร็จแล้วนะ
Jarrah: ใช่ แต่บางทีเราก็มีความสำเร็จในรูปแบบอื่น ๆ สำหรับผมเองมีคืนนึงผมนั่งคิดในห้องพักว่า อะไรทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด ระหว่างความสำเร็จตรงนี้ กับสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขจริง ๆ อย่างหลังผมว่ามันมีความสำคัญกับผมมากกว่าการประสบความสำเร็จนะ
ซึ่งก็คือ
Jarrah: การได้เขียนเพลงต่อไปเรื่อย ๆ ครับ จริง ๆ นะ มันทำให้ผมมีความสุขมาก
จะมีเพลงใหม่ปล่อยมาเร็ว ๆ นี้ไหม
Jarrah: กำลังทำกันอยู่ครับ น่าจะออกมาในปีนี้ ตอนนี้ก็หลายเพลงอยู่นะ เพลงน่าจะต่างจากที่ผ่านมาครับ เพราะเรามีความมั่นใจมากขึ้นในการพัฒนาเพลง แล้วก็น่าจะมีความส่วนตัวมากขึ้นด้วย
ทั้งสองคนเป็นนักดนตรีอาชีพเลยหรือเปล่า หรือทำงานอื่นไปด้วย
Jarrah: ใช่ครับ ผมนี่เต็มตัวเลย ส่วน Tim ก็เหมือนจะใช่แล้วนะ พวกเราดูยุ่งกันขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนอกจากต้องทำเพลงแล้วก็ต้องซ้อมอะไรกันอีกแทบจะตลอดเวลา ก็แทบจะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยครับ แต่ผมรู้สึกว่าผมโชคดีนะที่ได้มาทำในสิ่งที่ผมรัก แบบ นี่คือสิ่งที่ผมควรจะได้รับจริง ๆ ใช่ไหม ได้มาเป็นนักดนตรี ได้ทำสิ่งนี้ รู้สึกโชคดีครับ ถ้าพวกผมไม่ได้ทึกทักกันไปเองนะ
Tim: แต่ผมก็รู้นะว่ามันไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะได้ทำอะไรแบบนี้ มันดูเป็นไปได้ยากมากในหลาย ๆ ประเทศที่จะเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักดนตรีได้
Jarrah: จริง คือไม่ว่าจะนักดนตรี จิตรกร หรือนักเขียน มันต้องใช้ความพยายามมาก ผมชื่นชมคนที่อุทิศชีวิตให้กับงานพวกนี้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขารัก
วงการดีเจที่ซิดนีย์เป็นยังไงบ้าง
Tim: ตอนนี้ไม่ค่อยดีครับ เพราะเหมือนรัฐบาลมีนโยบายที่ค่อนข้างจำกัดการเที่ยวกลางคืนอยู่ มันทำให้หลาย ๆ ที่ต้องปิดตัวลง แล้วที่นี่เรามีดีเจ หรือศิลปินเก่ง ๆ อยู่หลายคน แล้วดนตรีอิเล็กทรอนิกก็เฟื่องฟูในซิดนีย์ มันก็เลยเป็นปัญหาตรงที่นักดนตรีพวกนี้ก็ไม่ได้ไปปล่อยของที่ไหน แต่มันก็ยังอยู่รอดได้นะเพราะมีคนสนับสนุนพวกเขาอยู่ แต่รัฐบาลดูไม่ค่อยสนับสนุนคนใช้ความคิดสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ๆ กันเท่าไหร่
Jarrah: แล้วมันก็มีเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะที่เป็นปัญหาในซิดนีย์ ขอนอกเรื่องหน่อย อย่างระบบขนส่งสาธารณะ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเมืองใหญ่ ๆ ที่ก็มีหน้ามีตาในสังคมโลกถึงทำให้ระบบขนส่งมีปัญหา รถไฟปิดทำการในตอนเช้าอะไรแบบนี้
แล้วแบบนี้จะแก้ปัญหายังไง หมายถึงเรื่องดนตรีนะ
Tim: ตอนนี้เราก็มีเดินขบวนกันอยู่เรื่อย ๆ นะ อย่างพวกค่ายเพลงอะไรเขาก็สนับสนุนเราแหละ คือทุกคนดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้ ซึ่งผมว่าดีนะ เพราะว่าก็มีนักดนตรีหลาย ๆ คนอยู่เบื้องหลัง พวกเขาก็ต้องการจะปฏิวัติวงการเพลงในซิดนีย์แหละ กำลังเคลื่อนไหวอยู่เลยในตอนนี้ แล้วก็อยากให้ทุกคนเริ่มเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมกับเรานะ ผมหวังว่าเราจะเปลี่ยนแปลงมันได้
เคยได้ไปปาร์ตี้ในประเทศอื่น ๆ บ้างไหม
Tim: เมื่อวานเราไปร้านคาราโอเกะกันมา ที่ร้านมูนไชน์ ตรงถนนพระอาทิตย์ครับ
Jarrah: สนุกมาก เป็นครั้งแรกที่ได้ร้องคาราโอเกะ แต่ไม่ได้ร้องเพลงไทยนะ มันตลกตรงที่มันใช้ backing track เป็นเสียงเพลงแบบที่ไม่ใช่ต้นฉบับ คือยังไงอะ คาราโอเก๊ คาราโอเกะ (หัวเราะ)
ร้านโปรดเราเลย! ได้ลองกินเหล้าป่า ยาดอง สาโท อะไรพวกนี้ไหม
Tim: ผมไม่ค่อยแน่ใจเพราะตอนเขาเอามาเสิร์ฟมันมีเหล้าหลายอย่างมาก รู้อย่างเดียวคือมันอร่อยหมดเลย เจ๋งมากครับ
Jarrah: แต่เราก็ยังไม่เคยไปพวกปาร์ตี้ดีเจอะไรนะ อยากไปเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสครับ ถ้ามีใครมาชวนเราเราก็ไปนะ (หัวเราะ)
เล่นงานไหนสนุกที่สุด
Tim: ที่งาน Wanderland ฟิลิปปินส์ ก็ดีครับ กับที่สิงคโปร์เป็นโชว์ของพวกเราเอง คนหลายร้อย แล้วบัตรเราขายหมดเลย คนก็ดูสนุกกันมาก
แล้วที่ไทยนี่จะเป็นยังไง
Tim: ไม่รู้สิ ทุกโชว์ที่เราเล่นมาในเอเชียมันก็ดีหมดนะ ทุกคนก็ดูอินกับเพลงเรา ผมคงคาดหวังว่าทุกคนที่นี่จะสนุกกับพวกเราแล้วก็เต้นด้วยกันในทุก ๆ เพลงครับ
ตั้งแต่มาไทยเจออะไรที่ช็อกบ้างหรือยัง
Jarrah: ก็มีบ้าง มันไม่เชิงช็อกหรอกแต่พอเราไปหลาย ๆ ประเทศมันก็มีความแตกต่างของมัน แล้วเวลาเราไปทัวร์ด้วยกันก็จะไปเป็นกลุ่มกันหมด มันก็เลยไม่ค่อยมีสิ่งที่เจอกับตัวตรง ๆ เลยไม่ตกใจอะไร ออกจะตื่นเต้นมากกว่ากับวัฒนธรรมที่ต่างจากในออสเตรเลีย ได้เจออะไรหลายอย่างด้วยกัน สนุกดีครับ
รู้มาก่อนไหมว่ามีคนไทยรอดูโชว์ของพวกคุณเยอะมาก
Tim: ไม่รู้เลย ดีมากเลยครับ ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนมาชอบเราในจำนวนที่เยอะในเวลาไม่นานนัก คนมาดูโชว์เราเยอะมาก ตื่นเต้นมาก ๆ เลย เราอาจจะกลับมารอบหน้าก็ได้นะ
Jarrah: นี่รอจะไปเล่นแล้วนะเนี่ย เยี่ยมจริง ๆ ครับ
แล้วเราจะได้อะไรจากโชว์ของ Panama
Tim: พลังงานที่ล้นเหลือครับ เตรียมมาเต้นกันได้ แล้วมาสนุกกัน มันดีนะที่เราจะได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดู มันเพิ่มพลังในโชว์ของเราได้ดีเลยล่ะ
Jarrah: จริง ๆ พวกเราเป็นคนขี้อายนะ นี่พยายามจะสื่อสารกับคนดูให้มากขึ้นแล้ว (หัวเราะ)
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ชาวไทยหน่อย
Tim: สวัสดีครับ ก็ตื่นเต้นมากที่จะได้มาเล่นที่นี่ พยายามจะทำให้ดีที่สุดครับ
Jarrah: (ยกมือไหว้) รู้สึกดีใจมากครับที่ได้มาที่นี่ มันน่าทึ่งมาก เป็นประเทศที่น่ารักครับ แล้วเจอกัน
แล้วไปเจอกันที่ Singha Light presents Last Dinosaurs + Panama Live! พร้อมวงเจ้าบ้านมาแรงอย่าง Fwends และ Gym and Swim วันที่ 11 มีนาคม ที่ Live RCA ถ้าใครซื้อบัตรล่วงหน้าไม่ทัน ก็ยังไปลุ้น 50 ใบสุดท้ายที่หน้างานได้ เริ่มจำหน่ายเวลา 18.00 น. พลาดรอบนี้หมดแล้วหมดเลยนะ