Odd Cure EP จาก ODDISEE ยารักษาจิตใจในช่วงนี้ ที่ทำให้เราเป็นมนุษย์กันมากขึ้น
- Writer: Montipa Virojpan
- Photos: ODDISEE
ODDISEE หรือ Amir Mohamed el Khalifa แร็ปเปอร์ซูดาน-อเมริกัน ที่มาสร้างความประทับใจให้กับชาว Maho Rasop เมื่อปีที่ผ่านมา กับพลังงานที่เขาส่งผ่านโชว์โดยที่เราไม่ได้ตั้งตัว จนทำให้หลายคนกลายเป็นแฟนเพลงของเขาในเวลาต่อมา
บัดนี้เขาได้มี EP Odd Cure ที่ทำเสร็จอย่างรวดเร็วในช่วง covid-19 ซึ่งความมหัศจรรย์หลายอย่างในอัลบั้มนี้ก็เป็นสิ่งที่เราอยากให้ทุกคนได้รับรู้เช่นกันกับเรา เลยต่อสายตรงคุยกับ ODDISEE ที่นิวยอร์ก เห็นว่ากำลังจะปล่อยอีก 2 โปรเจกต์ออกมาให้ได้ฟังปลายปีนี้ด้วย
สถานการณ์ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง
มันก็ดีขึ้นนะครับ อเมริกาไม่ค่อยมีมาตรการรับมือกับสิ่งนี้ มันใหม่มากสำหรับเรา เราเลยจะได้เห็นทั้งคนที่ไม่สนใจเลย แล้วก็คนที่กลัวมาก ๆ กับโรคนี้ อย่างบางทีผมจะเห็นคนที่แต่งตัวเพื่อป้องกันตัวเองแบบมิดชิดมาก ผมเห็นแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย มากไปป่าว น้อยกว่านี้ก็ได้ (หัวเราะ)
เหมือนใน skit นึงใน EP ที่แม่ของคุณกลัวถึงขนาดพกสเปรย์พริกไทยติดตัว
ใช่ อันนั้นเป็นตัวอย่างที่ดี แม่ผมเนี่ยคนที่กลัวเกินเหตุเลย (หัวเราะ) พกมาทำไม!
แล้วคุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงยังไง บางคนบอกว่ามันแทบจะไม่ต่างไปจากเดิมเลย เพราะพวกเขาอยู่ที่บ้านตลอดเวลาอยู่แล้ว
ต้องยอมรับครับว่าผม introvert มาก ๆ แล้วผมก็ใช้ชีวิตแบบมีแบบแผน มีตารางเวลาแน่นอน แล้วก็บ้างานมาก ๆ ปกติช่วงนี้ผมจะไม่ได้อยู่ที่นิวยอร์กหรอก ต้องไปทัวร์ แต่เวลาผมอยู่บ้าน ผมจะทำแบบเดิมตลอดทุกวัน ผมพาลูกไป daycare เข้าสตูดิโอ ทำเพลง แล้วไปรับลูก ทำข้าวเย็น พาลูกไปนอน อ่านนิทานให้ฟัง แล้วผมก็ไปนอน วนซ้ำไป
ผมไม่ค่อยได้ไปไหนไกลจากแถวบ้านเท่าไหร่ ตั้งแต่ก่อนไวรัสจะระบาดแล้ว ก็เหมือนกับว่าผมเป็นตัวเองแบบนี้แหละ เลยรู้สึกสบายมาก ๆ ผมรู้สึกขอบคุณ และรู้สึกพิเศษที่ผมได้มีเวลามากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ
ทำไมถึงบอกว่า เป็น EP ที่ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ
เพราะว่า… แปปนึงครับ เสียงหวอผ่าน เป็นได้ไปว่าจะมีคนตาย เป็นงี้ตลอดแหละครับ อาจจะมีคนตกตึก ใครจะไปรู้ (หัวเราะ) นี่คือนิวยอร์กคุณ! ต้องใจถึง อยู่เมืองไทยอะดีแล้ว ล้อเล่นนะ
ผมไม่เคยได้พูดอะไรกับคนหลายคนที่กำลังต้องเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกันพร้อม ๆ กัน นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ศาสนา เชื้อชาติ พูดภาษาอะไร เราต้องมาเจอสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน มันจะดีไหมถ้าเรามองว่า การที่เราได้ประสบกับสิ่งเดียวกันในเวลานี้จะเป็นเรื่องที่ดี ถึงมันจะเป็นหายนะของหลาย ๆ คน และมันเศร้าที่ผมต้องทำดนตรีแบบนี้ขึ้นมา ผมอยากทำเพลงที่สามารถพูดกับทุกคนบนโลกได้พร้อมกันในเรื่องที่เป็นแง่บวกบ้าง
การอัดเพลงในอัลบั้มนี้ ทั้งคุณ และนักดนตรี ต้องทำเพลงจากคนละที่ ไม่ได้อัดด้วยกัน
วงของผม The Good Company แต่ละคนอยู่กันคนละที่เลยครับ แต่ละคนอยู่ในบ้านตัวเองที่อยู่กันคนละเมือง มือกีตาร์ผม Olivier St. Louis อยู่ที่เบอร์ลิน มือคีย์บอร์ด Ralph Real อยู่ที่เพนซิลเวเนีย Jon Laine มือกลองอยู่แมรี่แลนด์ Danis Turner มือเบสกับ Unown ดีเจ อยู่ดีซี เอาจริงนะ ปกติเราก็ทำงานแบบนี้อยู่แล้ว ผมเขียนเพลงในสตูดิโอเสร็จ แล้วโทรหาแต่ละคนทาง FaceTime หรือวิดิโอคอลแอพอื่น ๆ แล้วผมก็ส่งเพลง ส่งโน้ตที่เขียนไว้คร่าว ๆ ไปให้พวกเขา แล้วผมก็ดูเขาอัดทางวิดิโอ เนี่ย มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไหร่ (หัวเราะ)
ในชุดนี้ร่วมงานกับใครเป็นพิเศษบ้าง
เรามีศิลปินรับเชิญสองคน Sainte Ezekiel เป็นศิลปินไนจีเรียนที่อยู่ฟิลาเดลเฟีย แล้วก็ Priya Ragu ศิลปินจากสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากสองคนนี้ คนอื่น ๆ ก็คือ The Good Company ที่เราทำงานด้วยกันทุกอัลบั้มอยู่แล้วครับ
Track by Track
ในเพลง The Cure ผมได้แรงบันดาลใจจากเพลง Pusherman ของ Curtis Mayfield มันเป็นเพลงที่เล่าจากมุมมองของคนขายยา ที่เขาเชื่อว่าเขาอยู่ตรงนั้นเพื่อคนที่ของขาด ไม่ว่าปัญหาของคุณจะคืออะไร เขามียาให้คุณเสมอ
ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าคนเดี๋ยวนี้ก็ต้องการหายารักษาสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ covid-19 อย่างเดียว แต่มีหลายอย่างที่พวกเขากำลังหาทางแก้ The Cure เลยเป็นการเปรียบเปรยถึงวิธีแก้ปัญหา ถ้าคุณอยากให้การแพร่ระบาดของเชื้อหายไป คุณก็จะเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ถ้าคุณเป็นคนต่อต้าน แล้วมองว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก คุณไม่ต้องใส่หน้ากาก แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่ง Pusherman ทำให้ผมอยากลองมองในมุมนั้นดูบ้าง
อีกหลาย ๆ เพลงในอัลบั้มนี้พูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ โดยเฉพาะกับไวรัส หรือว่าเรื่องความเท่าเทียมในอเมริกา Shoot Your Shot พูดถึงพี่น้องสองคนที่เป็น Democrats กับ Republicans พี่น้องสองคนนี้เป็นตัวแทนของคนที่เป็นอนุรักษ์นิยม และกับคนที่มีหัวก้าวหน้า ในเวิร์สแรกจะพูดถึงคนที่เป็นลิเบอรัล จะมีประตูเปิดรอคุณเสมอ และใครจะก้าวเข้ามาก็ได้ ส่วนเวิร์สสองคือคนอีกแบบ เมื่อใดที่เขาก้าวเข้ามาในประตู เขาจะปิดประตูทันทีโดยไม่ปล่อยให้ใครเข้ามา สองพี่น้องมาเจอกัน แล้วพวกเขาก็มีสองทางเลือก ว่าจะช่วยกันเพื่อให้ก้าวไปได้ไกลขึ้น หรือจะเลือกยิงกันเอง มันเป็นการถกเถียงระหว่าง conservativism กับ liberalism ระหว่าง Democrats กับ Republicans ซึ่งเป็นสองพรรคในระบบการเมืองของอเมริกา ที่หลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะเอาคนมาสู้กัน มากกว่าที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น
I Thought You Were Faith ความศรัทธาเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ กับการที่คุณเชื่อว่ามันจะมีอะไรสักอย่างที่ต้องเกิดขึ้นกับคุณ มันถูกกำหนดไว้แล้ว และผมคิดว่า covid-19 ทำให้หลายคนตั้งคำถามกับความศรัทธาของตัวเอง ผมมีเพื่อนที่รอที่จะได้ทำงานในฝัน จนเขาได้รับเข้าทำงานนั้น แต่ก็ต้องออกจากงานเพราะ covid-19 แล้วเขาก็ตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจำต้องยอมรับในโชคชะตาที่จะต้องกลายมาเป็นคนว่างงานแบบนี้ไหม เขาต้องยอมรับโลกที่มันกำลังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า หรือแม้แต่ศรัทธา มันยังเป็นสิ่งที่ยึดมั่นได้ไหม
เพลงนั้นก็เกี่ยวกับผมที่ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ผมไม่เชื่อโชคชะตา ไม่มีการที่สวรรค์ขีดไว้ว่าผมต้องทำอะไร หรือเป็นใคร มันแค่เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้น และผมก็ตามน้ำไป
Still Strange ได้ Sainte Ezekiel มาช่วยเล่นกีตาร์ แล้วก็ Priya Ragu ร้อง ผมรู้จักกับพรียาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเธอมาดูโชว์ของผมในแจ๊สคาเฟ่ที่ลอนดอน ปีต่อมาผมมารู้ว่าเธอเป็นเพื่อนกับโปรโมเตอร์ที่เชิญผมไปแสดงที่สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นเราก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอร้องเพลงจนเธอบอกผม แล้วพอได้ยินเธอร้องเพลงนี่ผมทึ่งเลย ผมบอกว่าสักวันนึงเราต้องร่วมงานกันนะ
การร่วมงานครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว เธอชวนผมไปแจมในอัลบั้มของเธอ คราวนี้เลยเป็นเหมือนการตอบแทนที่เธอต้องมาร้องให้ผมบ้าง (หัวเราะ) นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่มีเธอมาร่วมงานในเพลงนี้
เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่ใช้การเปรียบเปรย ผมชอบเขียนอะไรแบบนี้มาก ผมพบว่าเพลงสมัยนี้ รวมถึง urban music ส่วนใหญ่ ชอบพูดอะไรที่ตรงไปตรงมา แล้วก็สะท้อนความเป็นจริงแบบสุด ๆ มันไม่มีการเปรียบเปรยแล้ว ซึ่งส่วนตัวผมเชื่อว่าการเขียนเชิงเปรียบเปรย เป็นเสน่ห์ที่ทำให้การแร็ปกลายเป็นหนึ่งในงานเขียนวรรณกรรมอเมริกันที่อัจฉริยะที่สุด
Still Strange เป็นการอุปมาว่าเรากำลังมีความสัมพันธ์คบหาอยู่กับชีวิตของเราเอง เรามีความรักกับชีวิตของเรามาก ทำทุกอย่างร่วมกับชีวิต แล้วชีวิตก็มาบอกเลิกเรา เพราะ covid-19 แล้วชีวิตมาบอกว่าเราควรจะห่างกันสักพักนะ มันเหมือนกับการที่คุณเป็นมนุษย์ แต่ต้องล่าถอยออกมาจากการใช้ชีวิตในวันที่ชีวิตไม่ได้ต้องการเราแล้ว เพราะเราคิดถึงการใช้ชีวิตแบบเดิม คิดถึงการออกไปข้างนอก
มันทำให้คุณคิดว่าถ้าคุณได้มีโอกาสได้อยู่กับชีวิตอีกครั้ง คุณจะทำในสิ่งที่ต่างออกไป คุณจะฟังมากขึ้น จะระมัดระวังมากกว่านี้ มันแทบจะเป็นสิ่งเดียวกับที่เวลาคุณทะเลาะกับแฟน แล้วคุณจะบอกสิ่งนี้กับเขาว่าอยากจะแก้ไข คุณเรียนรู้จากข้อผิดพลาด และอยากทำให้มันดีขึ้น เพื่อที่จะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เติบโตและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน นั่นคือเรื่องที่เล่าในเพลง
ท่อนของผมเล่าในมุมของมนุษย์ โดยพรียามาในมุมของชีวิต เนื้อร้อง ‘We told lies, now we’re truthful. Can’t go back to what we’re use to, But I’m still strange, nothing’s changed’ ผมไม่รู้ว่าในภาษาไทยมีคำนี้ไหม แต่ภาษาอังกฤษมักจะพูดว่า ‘Life is strange’ ผมว่าหลาย ๆ ที่ในโลกก็น่าจะคิดแบบคล้าย ๆ กันว่าชีวิตมันน่าพิศวงนะ ซึ่งการที่ฝั่งชีวิตร้องว่า ‘ยังไงฉันก็ยังจะมีความพิศวงอยู่ดี ไม่มีทางเปลี่ยนไปหรอก’ เป็นการพูดประมาณว่า ‘ไม่ต้องห่วง ถึงแม้ว่าเราจะกลับมาคบกันเหมือนเดิม ฉันก็ยังเป็นคนแปลก ๆ อยู่ดี แต่เดี๋ยวมันก็จะดีเองแหละ’ (หัวเราะ)
No Skips ผมเล่นทวิตเตอร์ตอนทำอัลบั้มนี้ แล้วมีคนเขียนถึงผมว่า ‘โห เพลงของ Oddisee นี่ กดข้ามสักเพลงไม่ได้เลยว่ะ’ แบบเขาดูจะชอบเพลงผมทุกเพลง ผมก็ตื้นตันใจมาก ๆ เลยอยากเอาเรื่องนี้มาใส่ในเพลงด้วย แต่ก็ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบเปรียบเปรย เพลงนี้ก็เป็นการอุปมาว่าผมจะไม่ปล่อยให้ชีวิตเลยผ่านแม้สักนาที แม้ว่าจะเจอโรคระบาด หรือมันจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิต ผมจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ ก็เหมือนกับการทำเพลงของผมไม่มีการกดกรอไปข้างหลังหรือข้างหน้า ไม่ว่าชีวิตผมกำลังเล่นเพลงไหนอยู่ ผมก็จะฟังมันตั้งแต่ต้นจนจบไปเรื่อย ๆ
เพลงสุดท้ายชื่อ Go To Mars เพลงนี้ให้ Olivier St. Louis ที่เป็นเพื่อนกันมานาน มาร้องและเล่นกีตาร์ เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Sly and the Family Stone นี่เป็นวงที่ผมกับโอลิวิเยร์ชอบมาก ผมก็เขียนคอร์ดแล้วถามเขาว่าจะร้องเสียงให้เหมือน Sly ได้ไหม เขาบอก ได้ดิ เดี๋ยวลองดู จนออกมาเป็นแบบนั้น
เพลงนี้มีสามชั้นด้วยกัน ชั้นแรกผมแค่อยากให้คนได้เต้นและรู้สึกดีไปกับเพลงฟังก์ ๆ ในช่วงที่ชีวิตยาก การเดินทางก็ลำบาก ชั้นที่สองคือมันเป็นเพลงที่เกี่ยวกับการอยากหลบหนีจากความจริง และเรื่องแฟนตาซี โดยใช้ดาวอังคารมาเปรียบเปรย ว่าเราอยากไปบนนั้น แค่อยากหนีไปจากความกังวล และกลับมามีความสุขอีกครั้ง ชั้นที่สามอยู่ลึกสุด หม่นสุด เมื่อดาวอังคารเป็นตัวแทนของคน 1% บนโลกที่ร่ำรวย และความที่ใครบางคนบนโลกยอมขายวิญญาณ ยอมเสียคนของเขาไป หรือทำอะไรก็ได้ เพื่อที่จะให้ตัวเองไปเป็น 1% ตรงนั้น โดยไม่แคร์ว่าคนอื่นจะต้องตาย หรือประเทศจะล่มจม ถ้าตั้งใจฟังเนื้อเพลงจะเห็นครบทุกชั้นในเพลงครับ
เพลงส่วนใหญ่ของ Oddisee เป็นเพลงการเมือง
ผมขอเรียกว่า เพลงส่วนใหญ่พูดถึงชีวิตในยุคปัจจุบันครับ อย่างในยุคนี้การเมืองเป็นเรื่องที่ทุกคนตระหนักถึงมาก ๆ แต่ในอนาคตอัลบั้มใหม่ของผมอาจจะพูดเรื่องที่สำคัญอื่น ๆ เช่น กีฬา หรือโลกร้อน แต่ตอนนี้เราหลายคนเห็นตรงกันว่าเรื่องการเมืองกำลังเป็นเรื่องที่คนให้ความสำคัญ
ได้ไปร่วมประท้วงกับเขาไหม
ไม่ได้ไปครับ การประท้วงในบางจุดมีตำรวจไปตั้งกำลังรับมือโดยเฉพาะ แล้วผมที่ตอนนี้เป็นพ่อคนแล้วเนี่ย ก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากที่มีลูก ผมจะไม่พาตัวเองไปอยู่ในอันตรายแบบก่อนหน้านี้ ลูกสาวผมต้องการผม คือถ้าดูจากข่าวคุณจะเห็นว่า ระหว่างคนกลุ่มน้อย (ละติน เอเชียน คนดำ) กับคนขาวจะถูกปฏิบัติต่างกันมากในการประท้วง ผมไม่อยากให้ลูกโตมาโดยไม่มีพ่อ ในฐานะคนดำผมจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงในสิ่งที่ผมรู้ว่ามันจะเป็นอันตรายกับตัวผม เพราะตอนนี้มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างในประเทศนี้ที่พยายามจะฆ่าผมอยู่แล้วในทุก ๆ ทาง
มีเพลงไหนที่ได้แรงบันดาลใจจากบทสนทนาที่แทรกอยู่ใน EP บ้างไหม
ไม่ครับ ผมแค่โทรหาคนอื่น ๆ เฉย ๆ พอโทรเสร็จ อัดเสียงเสร็จ ผมก็มาลองดูว่าจะเรียง skits พวกนั้นไว้ตรงไหนของ EP ดี ผมคุยกับซาวด์เอนจิเนียร์ผม Delf แล้วปรึกษาว่าจะเรียงยังไงดี พอทำเสร็จแล้วก็เห็นว่า เฮ้ย บทสนทนาอันนี้มันต่อด้วยเพลงนี้ได้พอดีเลยว่ะ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าทั้งทุกคนไม่มาจดจ้องกับเรื่องเดียวกัน มันเลยทำให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันไงครับ การใส่บทสนทนาลงมาใน EP นี้มันเลยดูธรรมชาติมากๆ
ปกติโทรหาคนในครอบครัวบ่อยไหม หรือเพิ่งมาโทรมากขึ้น แล้วจากการคุยกันได้สังเกตเห็นความสัมพันธ์แง่มุมใหม่ ๆ ของคุณกับคนอื่น ๆ บ้างหรือเปล่า
ปกติผมโทรหาแม่สัปดาห์ละครั้งครับ ไม่งั้นผมจะโดนด่า (หัวเราะ) พ่อกับผมคล้าย ๆ กันเราไม่ค่อยชอบโทรศัพท์ เขาอยู่ซูดาน ผมอยู่นิวยอร์ก บางทีเราจะโทรคุยกันเดือนละครั้ง ส่วนเพื่อน ๆ ของผมเรามีวิธีการสื่อสารกันหลายแบบมาก บางทีก็โซเชียล โทรคุย หรืออีเมลหากัน
แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมันทำให้ผมเห็นว่าผมคุยกับเพื่อนมากกว่าที่บ้านอีก มันเป็นเพราะเพื่อน ๆ เนี่ยเป็นคนที่คุณเลือกเข้ามาในชีวิต แล้วพวกเขามีความสนใจร่วมกับคุณ บางครั้งก็มากกว่าพ่อแม่ของคุณด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดเลย แต่สุดท้ายผมก็อยากรู้ว่าครอบครัวของผมปลอดภัย และมันจำเป็นที่ผมต้องรู้ว่าพวกเขายังโอเคอยู่
เรื่องนี้กระทบโดยตรงกับผมเหมือนกัน เพราะมีคนที่ไม่ได้คุยกันมาเป็นปีหลายคนโทรมาหาผม ตอนนั้นแหละที่จะเริ่มถามตัวเองว่า มีใครที่ผมยังไม่ได้โทรหาบ้าง
ตอนทำ EP นี้เสร็จ รู้สึกยังไงบ้าง
โล่งครับ เหมือนยกภูเขาออกจากอก มันมีพลังงานมากมายที่ผมใส่ลงไปในโปรเจกต์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมก็รู้สึกโล่งใจที่ทำให้มันเสร็จจนได้ และได้ส่งต่อให้คนอื่นได้ฟังกัน ปกติแล้วผมจะรู้สึกอึดอัดมาก ๆ ถ้าอะไรยังคาราคาซังอยู่ เพราะผมอยากจะไปทำอัลบั้มใหม่ซักที แล้วพอเริ่มทำอัลบั้มใหม่ ผมก็จะอึดอัดที่เพลงใหม่ยังไม่เสร็จซักที วนไปแบบนี้ (หัวเราะ)
คิดว่าคอนเสิร์ตวิถีใหม่จะเป็นยังไง
(หัวเราะ) มันเป็นสิ่งที่ผมกับวงเพิ่งคุยกันไปเองครับ เรามีความเห็นที่ต่างกัน ส่วนผมคิดว่ามันน่าจะเหมือนเดิมนะ พอเราได้กลับไปทัวร์ น่าจะเป็นช่วงใบไม้ผลิปีหน้า มีนาคม 2021 ทุกอย่างน่าจะกลับมาเหมือนเดิมครับ บางทีเราอาจจะได้เห็นคนใส่หน้ากากอนามัยเพิ่มมากขึ้น อันนี้น่าจะปกติในเอเชีย แต่ฝั่งยุโรปอเมริกาน่าจะมีมากขึ้น
แต่จากที่ผมตัดสินจากที่เห็นคนในบรูคลิน นิวยอร์ก เขาทำกันเนี่ย ไม่มีใครสนใจแล้วนะ ออกไปกินข้าวข้างทาง นั่งกินเบียร์กับเพื่อนที่ขั้นบันได สวนสาธารณะมีคนมาปิกนิก เล่นโยคะ ปิ้งบาร์บีคิวกันเพียบ ไม่มีใครใส่หน้ากากเลย ผมไม่คิดว่าเร็ว ๆ นี้รัฐบาลจะออกมาบอกว่า ‘เฮ้ย ปลอดภัยแล้วนะ’ แต่คนส่วนใหญ่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่กับบางคนก็โดนผลกระทบเหมือนกัน ตรงที่เขาจะไม่กล้าขึ้นรถไฟอีกเลย กลัวเชื้อโรคไปเลย หลาย ๆ คนเจอกับความเครียดเวลาต้องอยู่ในบ้านหรือห้องแคบ ๆ ของตัวเอง นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทุกคน
แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นในทุก ๆ วัน เพราะผมต้องเดินจากบ้านไปสตูดิโอ 15 นาที แผมเห็นทุกคนใช้ชีวิตแทบจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนตั้งแต่ปลายกุมภาพันธ์ มาจนถึงตอนนี้ เห็นคนไปร้านซักรีด พาหมาไปเดินเล่น ขึ้น UBER เดินเล่นในสวน เด็ก ๆ เล่นกันเต็มสนามเด็กเล่น น่าจะมีแค่ 30% ของคนที่ผมเห็นที่ใส่หน้ากากครับ ผมไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยกับที่คนกลับมาทำตัวปกตินะ เพราะผมก็ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ
ขอบคุณที่เป็นคนฟังที่เจ๋งนะครับ ขอบคุณที่ชื่นชอบดนตรีที่ดี ผมได้ไปเล่นที่เมืองไทยและนั่นเป็นหนึ่งในโชว์ที่ดีที่สุดของผม ขอบคุณที่เป็นโชว์สุดท้ายที่ผมได้เล่นในปี 2020 และทำให้ผมได้เตรียมตัวจะไปทำโชว์ของงานชุดใหม่ด้วย รอไม่ไหวที่จะได้กลับไปเล่นแล้วครับ ส่วนเพลงใหม่ ๆ กำลังจะมาแน่นอน หลังสิงหาคม และหลังกันยายน มีอีก 2 โปรเจกต์ให้ได้ฟังกันครับ
ประสบการณ์ในกรุงเทพ ฯ ของผมในเดือนมีนาคม ผมได้เห็นว่าทุกคนใส่หน้ากากอนามัย มีเจลล้างมือให้เห็นทุกที่ มันทำให้ผมคิดว่า ‘เฮ้ย ดูคนที่นี่เขารับมือสิ ทุกอย่างมันดูง่ายจังเลย’ มาตรการเหล่านี้มันจะช่วยยับยังการแพร่เชื้อได้แน่ ๆ เพราะทุกคนช่วยกัน
ก่อนผมกลับมาก็รู้สึกว่าจะอยู่นิวยอร์กได้ชิล ๆ เพราะเห็นคนไทยทำแบบนั้นกัน จนกระทั่งผมไปถึงสนามบินแล้วผมเห็นนักท่องเที่ยว ผมเริ่มหลอนเลย ไม่มีใครใส่หน้ากาก แล้วทุกคนก็ไอกัน พอผมถึงนิวยอร์กผมรีบเดินออกจากสนามบิน ไม่มีการตรวจเช็ก ไม่มีการกัก ตัวตอนนั้นเองที่ผมรู้เลยว่าสถานการณ์มันจะแย่ลงแน่ ๆ
ผมเลยคิดได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนได้ช่วยกันที่จะลดการแพร่เชื้อจริง ๆ หรือเปล่า เหมือนว่าการที่เห็นสังคมที่เตรียมรับมือได้ดีกับเรื่องพวกนี้ ก็ค่อนข้างทำให้ผมวางใจที่จะกลับมาบ้านครับ รู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่ได้ไปเห็นสิ่งเหล่านั้น