คุยกับ Nothing But Thieves วงร็อกหนักแน่นกับเพลงที่เลือกให้ความรู้สึกนำทาง
- Writer: Montipa Virojpan
- Interviewed by: Kotchakorn Musikarat
หลังจากขาร็อกชาวไทยได้สนุกไปกับโชว์สุดมันของพวกเขากันไปแล้ว ก็ได้เวลามาพูดคุยแบบกันเอง ๆ กับ Nothing But Thieves ถึงเรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
เพลง If I Get High เป็นเพลงที่ทำให้คนรู้จักพวกคุณ ตอนที่เขียนเพลงนี้คุณเชื่อว่าการที่คนเรา get high แล้วจะทำให้ไปเจอคนที่เราคิดถึงมาก ๆ หรือคนที่จากไปแล้วได้ยังไง
ผมไม่สามารถพูดได้ว่ามันเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณขนาดนั้นสำหรับวงของเรานะครับ แต่มันก็เกี่ยวกับการที่เราพยายามจะเชื่อมต่อกับคนที่จากไป แต่เราก็ไม่ได้สัมผัสเขาได้นะครับ มันก็เป็นเพลงเศร้าแหละ ตอนผมเขียนเพลงนั้นใช้เวลาสั้นมากเลยนะ เหมือนครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ทั้งที่ปกติเราจะโดนเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา แล้วมันก็เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดเพลงนึงตั้งแต่ที่เคยเขียนมาเลย
คุณได้เล่นเปิดให้กับวง Muse และได้เล่นในเทศกาล Woodstock ที่อัมสเตอร์ดัม เป็นยังไงบ้าง
คนเยอะมาก ๆ เลยครับ แทบจะเป็นจำนวนคนที่เยอะที่สุดที่เราเคยไปเล่นเลยแหละ คนเกือบครึ่งล้านได้เพราะงานมันจัดช่วงสุดสัปดาห์ด้วยแหละ แต่ผมอาหารเป็นพิษกันด้วย เกือบตาย ต้องกินอาหารเหลวประมาณสามถุง แล้วนิ้วของผมก็ไร้ความรู้สึกไปเลย ลองจับแขนเขาแล้วมันแข็งชาไปหมด เป็นอย่างนั้นบนเวทีเกือบสิบนาที
แล้วมีความประทับใจ หรือได้แรงบันดาลใจอะไรจากพวกเขาไหม หรือวงอื่น ๆ ด้วยกันได้
สำหรับผมตอนนั้นได้เตกิล่าครับ เหมือนตอนนั้นคุณต่อแถวอยู่แล้วเขาก็ยื่นเตกิล่ามาให้คุณ เราเจอกันในเม็กซิโกแล้วเขาก็ชวนไปดื่ม ตอนนั้นรู้สึกมีชีวิตชีวามากครับ กับ Biffy Clyro เราเจอเขาในเฟสติวัลที่ไอร์แลนด์แล้วเราก็ได้ทัวร์กับพวกเขาบ่อย ๆ ก็เป็นวงที่นิสัยดีครับ
อยากเล่นเปิดให้ใครอีก
Queens of The Stone Age กับ Radiohead ครับ
ก่อนหน้านี้คุณเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิต แล้วก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญ #IAMWHOLE มีแผนการที่จะทำให้คนหันมาตระหนักกันในเรื่องนี้มากขึ้นอีกไหม
ก็มีเรื่องที่อยากทำนะครับ อยากให้มีการพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่เรื่อย ๆ ในอังกฤษเองหรือที่อื่น ๆ ก็มีหลายคนมากที่กำลังต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้ รวมไปถึงอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้น ผมคิดว่าคงจะดีถ้าทำให้คนอื่นมีมุมมองกับเรื่องเหล่านี้เปลี่ยนไป มีความเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น
ศิลปินหลายคนได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมเอเชียน รวมถึงอัลบั้มล่าสุดของคุณก็ได้อิทธิพลจาก kintsugi ซึ่งเป็นศิลปะของญี่ปุ่น อะไรทำให้พวกคุณมาสนใจสิ่งเหล่านี้ได้
เราแค่อยากจะลองทำอะไรให้มันสื่อสารด้วยภาพได้บ้าง แต่ก็ยังใช้เสียงเป็นพื้นฐานของอัลบั้มอยู่แหละครับ แล้วผมก็ไปเจอคินสึกิซึ่งเป็นการเอาเซรามิกที่แตกมาเชื่อมกันด้วยน้ำกาวทอง แล้วมันก็ดูสวยงามกว่าที่มันเคยเป็นด้วย ซึ่งเราก็คิดว่ามันน่าจะเอามาใช้เป็นคอนเซปต์อัลบั้มเราได้
แล้วนอกจากนี้มีวัฒนธรรมอื่นที่ส่งผลกับเพลงของคุณอีกไหม หรือจะเป็นบ้านเกิด สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวคุณก็ได้
ทุกที่เลยครับ เราเขียนเพลงตอนอยู่บนรถบ่อยมาก เดโมหลาย ๆ เพลงก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองที่เราอยู่ วันก่อนผมเจอป้ายที่เขียนว่า ‘colg’ ก็รู้สึกว่าน่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง อันที่จริงพวกเราก็ไปทัวร์มาหลายที่ ก็ได้ประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม สิ่งเหล่านี้มันเข้ามาในหัวเราแล้วก็ทำให้เกิดความคิดบางอย่างซึ่งอาจแปลงออกมาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าทางใดทางนึงมันมักจะส่งผลกระทบถึงสิ่งที่เราเขียนได้อย่างแน่นอนครับ
จริงหรือเปล่าที่การทำวงกับเพื่อนสมัยเรียนแตกต่างกับการมารวมวงตอนหลังกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน
แน่นอนครับ ผมว่าการที่เรามีพื้นหลังของความเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่กับอย่างหลังนี่ไม่รู้เหมือนกัน แค่ผมคิดว่ามันน่าจะยากถ้าเราต้องมานั่งจูนอะไรกันใหม่ คือพวกเราเจอกันจากการเป็นเพื่อนกันมาก่อนทั้งหมด ทั้งเพื่อนโรงเรียน แม่ของพวกเรารู้จักกัน เหมือนมันไม่ได้เริ่มมาจากดนตรีครับ เป็นมิตรภาพที่ทำให้เกิดวงของเรา เหมือนเป็นโบนัสอะเนอะ
ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินเพลงของคุณมาบ้าง จนได้ดูคุณครั้งแรกที่ Summer Sonic โอซาก้า แต่พอได้ดูสดแล้วรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้ต้องดูจนจบ คุณเล่นดีแทบจะเหมือนกับในแผ่นเลย เพราะงั้นเลยอยากถามว่าคุณคิดว่าออโต้จูนเป็นตัวลดคุณค่าในดนตรีหรือเปล่า
ผมว่าตอนนี้มันมีคนใช้กันเยอะเลยนะ ซึ่งมันก็เป็นความเห็นส่วนบุคคลมากเลยครับถ้าจะบอกว่าซาวด์แบบไหนดีไม่ดี คือถ้าสมมติคุณไม่สามารถร้องเพลงได้แบบปกติ แล้วคุณต้องใช้ออโต้จูน นั่นก็สมเหตุสมผลอยู่นะ แต่สำหรับเราแล้วยังไงทุกเพลงมันก็มีคาแร็กเตอร์เฉพาะตัวอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าคุณอยากจะเลือกใช้เสียงแบบไหนในงานของคุณ เราบอกไม่ได้หรอกว่ามันไปทำลายอะไรหรือเปล่า
เพลงใหม่ของคุณจะออกมาเป็นแบบไหน โปรดิวเซอร์อัลบั้มหน้าจะเป็นใคร
ยังไม่รู้ครับว่าใครจะมาโปรดิวซ์ให้ ขึ้นอยู่กับสุดท้ายแล้วเพลงเราจะออกมาประมาณไหน แต่ถ้าเราได้เจอคนเจ๋ง ๆ เราก็อยากจะร่วมงานกับเขาครับ ส่วนเพลงใหม่ก็จะมีความเป็นร็อกเหมือนเดิม แต่อยากให้มีความแปลกในนั้น เราคงไม่ทำให้มันออกมาเหมือนงานก่อน ๆ แน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกในไทยของคุณ มีอะไรที่อยากจะทำเป็นพิเศษในการมาที่นี่ไหม
ปิงปอง… นั่นเป็นสิ่งที่ผมนึกออกเป็นอย่างแรกก่อนที่คนอื่นจะพูดซะอีกหรอเนี่ย (หัวเราะ) เหมือนมีคนถามว่ามาเมืองไทยแล้วเคยไปพัทยาหรือยัง เราแบบ ยังไม่เคยไป แต่เราชอบอาหารไทยมากครับ เราก็เลยไปลองกินอาหารไทยมาเมื่อกลางวัน สั่งกันเยอะมาก มันน่าทึ่งมากครับ
ขอขอบคุณ คุณเกรซ จาก Blast Magazine สำหรับบทสัมภาษณ์ และคุณเอก BEC Tero Music สำหรับการประสานงานมา ณ ที่นี้