Maximillian บทเรียนจากรอยแผล และความอ่อนแอในวันนั้น ทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้
- Writer: Montipa Virojpan
- Photos: Universal Music Thailand
Maximillian ศิลปินหน้าใหม่เจ้าของบทเพลง Beautiful Scars เลือกที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง ไม่ยอมปกปิดความเจ็บช้ำในวันวาน และกล้าที่จะเขียนเรื่องราวนั้นออกมา หวังจะให้ทุกคนที่รู้สึกหรือผ่านอะไรมาคล้ายกันกับเขาได้รู้สึกว่า อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรเลยที่จะพูดถึงด้านอ่อนแอของตัวเอง เพราะสิ่งเหล่านั้นก็หล่อหลอมให้เรามาเป็นเรา และยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็งในทุกวันนี้
ผมทำเพลงมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนพ่อแม่รำคาญ แต่มีช่วงนึงที่ผมโตมาแล้วพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย ผมเห็นพวกเขาดื่มกันที่บ้าน ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดกับพวกเขาตรง ๆ เรื่องนี้ ผมกดมันเอาไว้ตลอด เวลาไปโรงเรียนครูก็สังเกตว่าผมมีปัญหา การที่ผมไม่พูดอะไรออกมาเลยมันก็รอวันที่จะระเบิดออกมา ตรงนั้นเองที่ทำให้ผมโดนไล่ออกจากโรงเรียน พอย้ายไปอีกที่ก็ต้องออกอีก แม่แต่ homeschool ก็ไม่รอด ทุกอย่างดิ่งลง ผมไม่สนใจอะไรเลย กลายเป็นลูกที่แย่มาก ๆ
จนวันนึงพ่อผมชวนไปดูคอนเสิร์ต ในตอนนั้นที่ผมอยากจะหนีจากเรื่องแย่ ๆ ไปให้หมดและแค่ไปสนุกกับพ่อสักครั้ง ผมตอบตกลงทันที ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แล้วที่คอนเสิร์ตร็อกอะเนอะ มันก็เสียงดัง แล้วผมก็ไม่อิน มันเป็นฮอลจุประมาณสี่หมื่นคน ผมที่ตอนนั้นก็ไม่ได้ตัวสูงขนาดนั้นต้องเขย่งแหงนดู ผมก็ได้ยินแต่ความเงียบ ก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผมก็เห็นคนเฮดแบงกัน แล้วทุกอย่างก็มืดลง มีควันออกมา เลเซอร์ยิงแสงเต็มไปหมดบนหัวผม ศิลปินก็ออกมา แล้วจอภาพข้างหลังก็ระเบิดออก ตอนนั้นเขาก็เล่นกีตาร์ขึ้นมากับท่อน “We don’t need no education…” ผมรู้สึกว่า ‘เชี่ย เท่ชิบหาย’ ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากอยู่ท่ามกลางฝูงชนแบบนั้น ผมแทบคลั่ง แล้วผมรู้สึกว่าทุกคนในอารีน่ากำลังเผชิญสิ่งเดียวกัน และรวมเป็นหนึ่ง จากนั้นไม่นานผมก็รู้สึกถึงสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมตั้งคำถามว่า ผมจะทำอะไรกับชีวิต ทำไมผมไม่ร้องเพลงทั้งที่ผมคิดว่ามันเท่ ทำไมผมไม่จริงจังกับชีวิตเลย ทำไมผมไม่โตสักที ไม่ทำการบ้าน บลา ๆๆๆ ผมเลยบอกพ่อว่าผมอยากเปลี่ยนตัวเอง พ่อเลยส่งผมไปอยู่โรงเรียนประจำ ลองเปลี่ยนการใช้ชีวิตดู แล้วผมก็เข้าไปเรียน ในสองปีแรกผมก็เรียนดนตรี ผมได้โอกาสที่จะเริ่มชีวิตใหม่ ปรับตัว แล้วเติบโตสักที
พอผมกลับบ้าน บ้านที่ผมอยู่มาทั้งชีวิต พ่อแม่ผมยังอยู่ด้วยกัน แล้วก็ยังตีกันอยู่ แต่ผมกลายเป็นคนใหม่ ผมบอกพ่อแม่ว่าเลิกกันเถอะ ผมทนไม่ได้แล้ว ตอนนั้นผมก็เลยเขียนเพลง แต่เพลงแรกที่เขียนก็แย่มาก (หัวเราะ) ผมเลยหัดเขียนเพลงเรื่อย ๆ เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเองเนี่ยแหละ
ซึ่งเพลงนั้นมันคือ Beautiful Scars ผมเขียนเรื่องที่อยากจะพูด ใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะเขียนได้จบ ไม่อยากให้มันซับซ้อนมากจนเกินไป ให้ทุกคนเข้าใจได้ คือถึงมันจะออกมาจากผม แต่อยากให้มันเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงได้กับทุกคน ผมเปรียบเทียบกับที่ว่ารอยแผลเป็นนั้นได้มาจากประสบการณ์ มาจากความเจ็บปวด ไม่ได้เป็นรอยแผลตามตัวนะ แต่มันฝังอยู่ในจิตวิญญาณของผม แล้วหลังจากที่ผมก้าวผ่านมันมาได้ แทนที่ผมจะเอาแต่หนีจากมัน ผมกลับเลือกจะอยู่กับมันและยอมรับมันมากกว่า การไม่กลัวที่จะแสดงออกว่าผมผ่านเรื่องแย่ ๆ มา มันทำให้เรารู้สึกแข็งแกร่งด้วยซ้ำ
คิดยังไงกับ toxic masculinity ที่บอกว่า ผู้ชายอย่าแสดงความอ่อนแอออกมา ต้องเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้
ผมว่าเด็กผู้ชายหลายคนต้องอึดอัดกับสิ่งนั้นมาก ๆ ครับ การแสดงความรู้สึกมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อะ ทำไมเราต้องซ่อนสิ่งที่เรารู้สึก หรืออะไรที่ดู ‘ไม่แมน’ นั้นไว้ด้วย
ตอนอกหัก มีวิธีเยียวยาตัวเองยังไงบ้าง
ผมคอยสอนตัวเองว่าจะจัดการกับความรู้สึกยังไงพอผมอกหักผมจะพยายามไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรกับมันมากจนกระทั่งผมตระหนักได้จริงๆว่าโอ้มันจะไม่มีสิ่งนี้อีกต่อไปแล้วว่ะตอนนั้นผมรู้เลยว่าข้างในตัวผมพังทลายทุกอย่างหนักไปหมดมันก้ต้องให้เวลากับตัวเองเคารพตัวเองถ้าเราไม่อยากเจอใครก็ไม่ต้องไปเจอเราไม่ต้องรีบหายดีหรือรีบหาคนใหม่เพื่อที่จะลืมคนเก่าคือบางทีการเอาแต่มองหามันทำให้เราเขวแล้วคิดว่าสิ่งที่เราเจอมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดณขณะนั้นซึ่งอันที่จริงอาจจะไม่ใช่ก็นั่นแหละครับเวลาจะเยียวยาทุกสิ่งเอง
ฝากอะไรกับแฟน ๆ หน่อย
ผมรักแฟนเพลงทุกคนเลยครับ ตื่นเต้นมาก ๆ ถ้าวันนึงจะได้ไปเล่นที่ไทย ผมเคยไปเที่ยวกรุงเทพ ฯ กับพ่อตอน 2012 ไปเดินในห้างที่โคตรใหญ่อย่างกับเป็นเมืองอีกเมืองนึง ไปภูเก็ตต่อ แล้วก็ขี่สกู๊ตเตอร์คันใหญ่ ๆ ไปดูสวนเสือ ไปไหว้พระใหญ่ กินมังคุด กับเงาะ ซึ่งตอนนี้มันหลายเป็นผลไม้ที่ผมชอบมาก ๆ ผมรักประเทศไทยมาก ๆ ถ้าเกิดผมได้กลับไปอีก ซื้อผลไม้มาให้ผมหน่อยนะครับ (หัวเราะ)