Mark Foster นักร้องนำ Foster the People ต่อสายตรงจากเท็กซัสมาคุยกับเราแล้ว ตอนนี้
- Writer: Montipa Virojpan
- Photos: Sony Music Thailand
ก่อนจะไปสนุกกับเจ้าของเพลง Pumped up Kicks ที่กำลังออกแสดงทัวร์ผลงานชุดล่าสุด Sacred Heart Club ในคอนเสิร์ต Foster the People Live in Bangkok วันที่ 28 มกราคม ปีหน้า เรามาพูดคุยกับ Mark Foster นักร้องนำของวงที่เพิ่งวางสายกันไปสด ๆ ร้อน ๆ กันก่อนดีกว่า บอกเลยว่าประสบการณ์ที่เขามีกับแฟนเพลงชาวไทยเมื่อ 5 ปีก่อนเป็นอะไรที่น่ารักมาก ๆ
รู้สึกยังไงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Grammy Awards
ก็… รู้สึกดีครับ แต่นั่นเป็นผลงานที่ผ่าน ๆ มายังไม่ใช่กับอัลบั้มล่าสุด ให้พูดตามตรงนะครับ ผมไม่รู้สึกว่างานศิลปะควรได้รับรางวัล มันประหลาดที่จะบอกว่าศิลปินคนนี้ดีกว่าอีกคนนึงเพราะจริง ๆ แล้วงานศิลปะเป็นเรื่องแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ต่างคนต่างมีท่าทีกับงานชิ้นเดียวกันไม่เหมือนกัน การให้รางวัลสำหรับศิลปะที่บอกว่าชิ้นนี้ดีกว่าชิ้นนั้นสำหรับผมมันเฮงซวยอะ แต่ผมก็ยังรู้สึกดีแหละนะที่ได้เสนอชื่อ (หัวเราะ) แค่ไม่ได้ไปจริงจังใส่ใจอะไรกับมันเท่าไหร่
วงได้รับผลกระทบยังไงบ้างจากการที่ Cubbie Fink มือเบส ออกจากวงไป
โห… อย่างมากเลยครับ คับบี้เหมือนเป็นพี่ชายของผม เป็นพี่ชายของพวกเราทุกคน มันยากนะครับการที่จะได้รู้จักกับใครสักคนและมีเคมีที่เข้ากันได้มากขนาดนี้ เราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะครับ …จริง ๆ ก็เป็นเรื่องปกติครับ วงอื่น ๆ เขาก็มีสมาชิกที่ต้องแยกตัวไป… เราไม่ใช่วงแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ก็นะ… มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรง่ายขึ้นมาเท่าไหร่หรอก
ชื่ออัลบั้ม Sacred Heart Club มีที่มาจากอะไร
มันมาจากเพื่อนของผม Jena Malone ครับ เธอเป็นนักแสดงแต่มาช่วยร้องในเพลง Static Space Lover ในอัลบั้มนี้ ตอนนั้นเรานั่งเรือในทะเลสาบกันอยู่แล้วคุยกันเรื่องศิลปะ ก็พูดไปถึงศิลปินดังในประวัติศาสตร์อย่าง Feliks Topolski, Tom Thomson หรือ Patti Smith, Andy Warhol, Leonardo da Vinci คนเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินชีวิตไปตามแบบแผนของสังคม พวกเขาเป็นหัวขบถที่แหกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แล้วสร้างกฎของตัวเองขึ้นมาใหม่ เราก็มานั่งคิดว่า ‘เฮ้ย มันเรียกว่าอะไรวะ สิ่งที่พวกเขามีถึงจะทำอะไรแบบนี้ได้’ แบบ ควรจะตั้งชื่อให้มันว่าอะไรดี แล้วเจน่าก็บอกว่ามันคือ ‘Sacred Heart Club’ (ดวงใจศักดิ์สิทธิ์) แล้วคำนั้นมันก็ติดอยู่ในหัวผม มันเป็นไอเดียของการที่พวกเขาเข้าถึงการใช้ชีวิตโดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกมา แต่เกิดการตั้งคำถามกับตัวเอง และสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่
ทำไมเนื้อเพลงในอัลบั้มนี้ถึงหดหู่จัง
(หัวเราะ) คุณคิดงั้นหรอ? ไม่รู้สิ เอ่อ… ผมไม่คิดว่ามันดาร์กนะ บางเพลงน่ะใช่ อย่าง Loyal Like Sid & Nancy …อันที่จริงสองปีที่ผ่านมาเหตุการณ์ในประเทศของผม (อเมริกา) มันก็ค่อนข้างดาร์กแหละ อัลบั้มนี้ก็อาจจะสะท้อนอะไรบางอย่างและแสดงการต่อต้านเรื่องพวกนั้นออกมา… มันก็ไม่ใช่ความตั้งใจของผมทีแรกหรอก จริง ๆ ผมตั้งใจที่จะเขียนอะไรที่มันสนุกสนานหน่อย แต่บางครั้งผมบังคับตัวเองไม่ได้
ทำไมอัลบั้มนี้ถึงต้องมาสเตอร์ถึง 3 ครั้ง
โห… คุณ ครั้งแรกที่เรามาสเตอร์มันนะ เราฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าจะเสร็จแล้วแหละ แต่พอมาลองเรียงเพลงตาม sequence แล้วฟังรวดเดียวจบ ผมรู้สึกว่ามันขาดอะไรสักอย่าง ผมเลยกดพอส มองไปที่ทุกคน แล้วบอกว่า ‘มันยังไม่เสร็จว่ะ’ มันยาวไปหน่อย แล้วก็ยังไม่ค่อยใช่ เราเลยกลับไปที่สตูดิโอ ใช้เวลาอีก 2-3 สัปดาห์ เราเปลี่ยนเพลง เพิ่มเพลง เอาบางเพลงออก มันก็ยังไม่ลงตัวจนมารอบที่ 3… เราก็แค่ทำมันต่อจนรู้สึกว่ามันได้แล้ว
มีศิลปินคนไหนที่เป็นแรงบันดาลใจในอัลบั้มนี้บ้าง
The Ramones มีอิทธิพลอย่างมากในเพลง Lotus Eater J Dilla เป็นที่มาของเพลง Pay the Man ส่วน The Beach Boys ทำให้เกิดเพลง Static Space Lover หรือ Bloc Party ก็มีอิทธิพลในเพลง SHC ผมว่าเพลงอะไรก็ตามที่เราฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ มักจะมีอิทธิพลกับทุกสิ่งที่เราทำ แต่ไม่ได้แปลว่าเราฟังเพลงพวกนั้นแล้วเราอยากทำตามแบบเขาเด๊ะ ๆ นะ แค่กลิ่นหรือสไตล์ของมันจะพรั่งพรูออกมาเอง
จากสามอัลบั้มที่ผ่านมา เพลงของคุณมีการเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
ผมว่าเราทุกคนก็เปลี่ยนแหละครับ ผมในวันนี้มันก็ไม่เหมือนกับผมคนเมื่อวาน ผมว่าผมตอนนี้เปลี่ยนไปจากผมตอนเมื่อเช้า ส่วนด้านดนตรีแล้ว ทุกอัลบั้มผมจะพยายามเสาะหาอะไรใหม่ ๆ อย่างอัลบั้มนี้ สิ่งที่แตกต่างจากชุดก่อนมากที่สุดก็คือการมีเพลงฮิปฮอปเข้ามา แล้วฮิปฮอปก็เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับผมมาก ผมคือคนที่โตมากับเพลงของ The Beach Boys หรือ The Beatles แต่ดันพยายามจะเข้าถึงรากฐานของฮิปฮอป เรียนรู้บีตฮิปฮอป อย่างเพลง Pay the Man, Doing It for the Money, Loyal Like Sid & Nancy หรือ Harden the Paint ในฐานะเป็นคนเขียนเพลง สี่เพลงนี้ทำผมเครียดมาก คืออยากจะทำฮิปฮอปแต่ไม่เคยทำเพลงแบบนั้นมาก่อน มันเลยท้าทายมาก
อยากลองใส่แนวอื่นเข้ามาบ้างไหม
แน่นอนครับ เยอะมาก จริง ๆ ผมจะได้ร่วมงานกับ SoKo พวกเราคุยกันว่าจะทำ side project ด้วยกัน ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังสร้างสตูดิโอที่บ้านอยู่ คิดว่าหลังจากเสร็จทัวร์ในเดือนกุมภาผมก็จะเริ่มทำเพลงกับเธอ เธอเจ๋งมาก
สิ่งที่ประหลาดที่สุดที่เจอจากการไปเล่นคอนเสิร์ต
มีอะไรแปลก ๆ เยอะเลยครับ …มีงานนึงที่ Minneapolis รัฐ Minnesota เมืองเกิดของ Prince น่ะ สถานที่ที่เราไปเล่นเขาก็เคยเล่นมาแล้ว ตอนนั้นเราเพิ่งเล่นเสร็จ ตัวผมกำลังดื่มเบียร์อยู่ที่หลังเวที มีผู้ชายแก่ ๆ ใส่ชุดตำรวจเดินตรงมาหาผมแล้วคว้าเบียร์ไปจากมือผม ตอนนั้นผมก็หลอน ๆ ขึ้นมาแบบ ‘งานเข้าแล้วมั้ยกู’ เพียงเพราะแค่เขาใส่ชุดตำรวจน่ะ (หัวเราะ) แต่พอเขาเริ่มกระดกเบียร์เท่านั้นแหละ ผมก็… อะไรวะเนี่ย แล้วเขาก็เริ่มเดินพล่านออกไปหน้าเวที จนเขาร่วงลงไปฟาดกับกลองชุด ผู้จัดการทัวร์เลยต้องมาลากเขาออกไป ผมก็คิดขึ้นได้ว่า อ่อ แม่งเมาชัวร์ (หัวเราะ) แล้วก็ไม่ใช่ตำรวจหรอก แค่ใส่เสื้อเขียนว่า POLICE แปลกโคตร
จะมีอะไรเซอร์ไพรส์แฟนเพลงในโชว์ครั้งนี้บ้าง
ผมมาเที่ยวประเทศไทยเมื่อ 5 ปีก่อน ผมมีความสุขมาก แต่ผมไม่เคยมาเที่ยวกรุงเทพ ฯ นะ แค่แลนดิ้งสนามบินแล้วไปเที่ยวทางใต้ต่อ ผมเลยตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเล่นที่กรุงเทพ ฯ จะได้แฮงเอาต์ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง มีช่วงเวลาที่ดี แล้วก็จะได้เจอแฟนเพลงของผม คือเมื่อ 5 ปีที่แล้วเนี่ยผมจำได้ว่า ที่สนามบิน มีแฟนเพลงวัยรุ่นไทยคนนึงวิ่งตรงมาหาผมแล้วพูดว่า ‘คุณคือ Foster the People ใช่ไหม เมื่อไหร่จะมาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่’ ผมก็ตอบไปว่า ‘ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมก็อยากนะ ชวนเรามาเล่นหน่อยสิ’ … นั่นล่ะครับ ผมก็หวังว่าในคอนเสิร์ตครั้งนี้ผมจะได้เจอเขา ได้จับมือกับเขาอีกครั้ง แล้วบอกเขาว่า ‘เรามาแล้วพวก ถึงนายจะต้องรอเราถึง 5 ปีแต่ในที่สุดเราก็ได้มาเล่นที่นี่แล้ว’
ใครยังไม่มีบัตรคอนเสิร์ตของพวกเขา เข้าไปซื้อได้ที่ Ticketmelon แล้วไปเจอกันที่ Moonstar studio 8 วันที่ 28 มกราคม 2018 นะจ๊ะ