ทำความรู้จักกับ Man.Goes Human วงร็อกสัญชาติอินเดียกับทัวร์ไทยครั้งแรกของวง
- Writer: Ratchanon Charoensettasilp and Malaivee Swangpol
- Photographer: Man.Goes Human
เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ได้ไปดู Man.Goes Human ที่ Play Yard, มหานิยม หรือจะเป็น Junk House ก็น่าจะติดใจซาวด์ดนตรีเท่ ๆ ติดกลิ่นไซคีเดลิก แอมเบียนต์ ของวงดนตรีวงนี้แน่นอน ซึ่งวันนี้เรามีบทสัมภาษณ์ของพวกเขามาให้อ่านกัน ไม่ว่าจะเรื่องชื่อวง ซีนดนตรีอินเดีย กรุงเทพ ฯ และ EP Moonglasses มาทำความรู้จักพวกเขาให้มากขึ้นกัน แล้วจะรู้เลยว่าซีนดนตรีนอกกระแสอินเดียก็มีอะไรสนุก ๆ ให้เราติดตามด้วย!
แนะนำตัว
Prince: สวัสดีครับ ผมชื่อปรินซ์ ผมมาเล่นกลองชุดให้ Man.Goes Human ในทัวร์นี้ครับ
Noni: ผมโนนี่ครับ ผมเล่นกีตาร์ริธึ่ม
Shitij: ผมชื่อชิติช ผมเล่นเบสครับ
Paul: ผมพอล ร้องนำ
TeeJay: ผม ทีเจ ผู้จัดการวงครับ
ที่มาของชื่อ Man.Goes Human
ชิติช: เพื่อนของเราคนนึงอยากจะตั้งชื่อพวกเราว่า ‘Man.Goes People’ คือตอนแรกจะตั้งชื่อนั้นแหละ แต่พวกเราไม่ใช่นักดนตรีมีฝีมือเหมือนเขา (ชี้ไปที่พอล) (หัวเราะ) ซึ่งเราก็ยังอยากจะเล่นดนตรีอยู่ดี จริง ๆ เราคิดว่าชื่อนี้ก็ดีนะ แต่เราก็อยากได้ชื่อที่เหมาะกับเสียงดนตรีของเรามากกว่า พอเราเลยเริ่มเขียนเพลง Man.Goes People ทำให้วงดูธรรมดาไปหน่อย เลยเปลี่ยนมาเป็น Man.Goes Human
ในภาษาของคุณ มีความแตกต่างระหว่างคำว่า ‘man’ กับ ‘human’ ไหม
ชิติช: นิดหน่อย คือคำว่า ‘man’ แปลว่าคนธรรมดา แต่คำว่า ‘human’ ดูมีระดับมากกว่าหน่อย ซึ่งมันสะท้อนวงของพวกเรา ที่เป็นนักดนตรีที่ไม่ได้เก่งมาก
พอล: มันเป็นการสะท้อนว่าคนพัฒนาไปเป็นมนุษย์ได้
ชิติช: วิธีการเขียนเพลงของเรา ก็เป็นแบบนั้น เราใส่อารมณ์ความรู้สึก ฯลฯ ลงไป ซึ่งมันก็สะท้อนกับการพัฒนาไปสู่ ‘มนุษย์’ ด้วย
นิยามแนวเพลงของวง
พอล: ที่เพลงของเรามีส่วนผสมของการทดลองต่าง ๆ ก็เพราะพวกเราโตมากับเพลงแนวต่าง ๆ กัน เลยมีมุมมองที่ต่างกันในการทำงาน ซึ่งดี เราได้เอาส่วนผสมต่าง ๆ มารวมกันทำให้ได้ซาวด์ที่แปลกออกไป ใน EP Moonglasses ที่เราทำ เราทำซาวด์หลาย ๆ แบบ ทั้งไซคีเดลิก แอมเบียนต์ และมีช่วงที่เปิดกว้าง (open space) ในดนตรีของเรา
โนนี่: เป็นซาวด์ชวนฝัน อินดี้ สดใหม่ เราเป็นหนึ่งในไม่กี่วงในอินเดียที่ทำดนตรีแนวนี้ และนั่นก็น่าจะทำให้พวกเราแทบไม่ได้เล่นที่ร้านหรืองานไหนเลย (หัวเราะ) แต่นั่นอาจจะไม่จริงในไทย เพราะเรากำลังจะได้โอกาสมาเล่น (หัวเราะ)
ซีนดนตรีในอินเดียเป็นอย่างไร
โนนี่: คือจริง ๆ เราไม่ได้เดินทางเยอะนักหรอก เราเคยไปสิงคโปร์ สองสามปีก่อนหน้านี้ และมันค่อนข้างแตกต่าง เพราะว่าคนเปิดรับดนตรีและซาวด์ใหม่ ๆ แต่ที่อินเดียเค้าไม่ค่อยเปิดรับซาวด์ดนตรีแปลก ๆ กัน พวกเขาชอบฟังแต่เพลงคัฟเวอร์เก่า ๆ เพลงดัง ๆ เพลงตลาด แต่ถ้าคุณอยากจะทำเพลงแนวที่แตกต่าง มันจะใช้เวลานานมาก ๆ เราใช้เวลา 5-6 ปีกว่าที่จะสร้างแนวของเรา และการไปต่อจะยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงปี 2015-2016 เราเล่นไป 25 โชว์ใน 1 ปี แต่ในตอนนี้ เราได้เล่นแค่ 5-6 โชว์เท่านั้น เต็มที่ก็ 10 โชว์ เพราะมันไม่มีสถานที่ที่จะซัพพอร์ตดนตรีของคุณแล้ว
พอล: อย่างที่อินเดียมีซีนบอลลีวู้ด
โนนี่: ซึ่งตอนนี้ก็ค่อนไปทางอิเล็กทรอนิกส์ซะมาก แต่มันก็มีที่ที่ยังซัพพอร์ตวงอยู่นะ แต่มันก็ยาก เพราะ mindset คนจะต้องเปลี่ยนด้วย คือคนส่วนมากฟังเพลงของวงอิเล็กทรอนิกส์ คือศิลปินอินดี้ไม่ค่อยมีพื้นที่ ทั้งที่จริง ๆ พวกเขา (วงอินดี้) ยอดเยี่ยมมาก ในเมืองของเราก็มี แต่พวกเขาก็ไม่มีพื้นที่ให้เล่นดนตรีเลย
พวกคุณรู้จักวงไทยไหม
พอล: พวกเราฟังเพลงวงในฟังใจหลายวง
ชิติช: พอลฟังหลายวง ผมเลยคุยกับ พาย (co-founder ของฟังใจ) แล้วเขาบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะมาทัวร์ไทยคือการทำความรู้จักกับวงไทย แล้วพอลก็เป็นคนฟังหลายวง เอามาแชร์กัน
พอล: สำหรับหลาย ๆ วงที่ซาวด์คล้าย ๆ กัน เราก็ได้ส่งข้อความไปหาพวกเค้าด้วย
ชิติช: แล้วทัวร์นี้ก็เลยเกิดขึ้น มีคนนึงที่เราอยากพูดถึง เขาชื่อก้อง เค้าอยู่วง H3F เราได้คุยกับเค้า เค้าเลยหาอีก 3 วงมาให้ เลยต้องขอขอบคุณก้องเป็นอย่างสูงครับ
ได้ไปที่ไหนในกรุงเทพ ฯ มาบ้าง
โนนี่: เราไปข้าวสารมา แล้วเราก็ชอบอาหารมาก ๆ และ ตุ๊กตุ๊ก แล้วก็เบียร์ (หลังจากนั้นวงก็คุยเรื่องตุ๊กตุ๊กและอาหารอย่างออกรส)
สิ่งที่คุณชอบที่สุดในกรุงเทพ ฯ
ชิติช: การจราจรแบบมีเลนที่ชัดเจนนี่เหมือนสวรรค์เลย คือที่อินเดียทุกคนโผล่มาจากทุกที่ทุกทาง จากถนน 8-10 เลน แบบ ตอนแรกมี 4 เลน แล้วจู่ ๆ ถนนก็กลายเป็น 6 เลน จากนั้นก็มีรถมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็มอเตอร์ไซค์อีก ละนั่นคือปกติด้วยนะ ถ้าคุณสามารถขับรถในอินเดียได้ คุณก็ไปไหนก็ได้แล้ว คือแค่นี้ (ในกรุงเทพ) เป็นรถติดที่สงบสุขมากแล้ว
โนนี่: ผมตั้งตารอที่จะได้กินแมงป่อง แต่เรารอให้ถึงสุดสัปดาห์ตอนจบทัวร์แล้วค่อยกิน ก็เผื่อไว้เกิดอะไรขึ้นอะนะ (หัวเราะ)
พอล: ผมอยากไปสำรวจ vibe ของกรุงเทพ คือเราเพิ่งได้ไปมาเมื่อวานตอนกลางคืน เราชอบ vibe ของที่นี้มาก มันไม่วุ่นวายมากเท่าอินเดีย คือที่เมืองใหญ่ในอินเดีย ทุกที่เหมือนกันไปหมด รถไฟในเดลีก็วุ่นวายมาก เราอยากไปเที่ยวในหลาย ๆ ที่ในกรุงเทพ คือตอนนี้ได้ไปแค่สีลม แล้วก็ไปข้าวสาร เราคงจะได้ไปเที่ยวอีกหลายที่หลังจากเล่นคอนเสิร์ตเสร็จคืนนี้ แล้วเราก็จะได้กลับมากรุงเทพจากมหานิยม (มหาสารคาม) ในอีก 2 วัน แล้วจากนี้พวกเราก็อยู่ต่อจนถึงวันอาทิตย์
ทีเจ: อยากไปเที่ยวตลาดนัดมากมายในประเทศไทย คือก่อนหน้านี้ก็ทำการบ้านมาว่ามาไทยควรจะทำอะไร แล้วเค้าก็บอกว่า ต้องไปเที่ยวตลาดนัด ผมอยากไปอันที่ใหญ่ ๆ
ปรินซ์: ผมมาอยู่นี่ 3-4 วัน ก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็ได้ไปเกาะช้างกับภรรยาของผม นี่เป็นครั้งที่ 2 ในเมืองไทยของผม แล้วก็มีช่วงเวลาดี ๆ ที่ไทย ทั้งอากาศ อาหาร ช้อปปิ้งก็สนุกมาก
พอล: อาหารคือสิ่งสำคัญ เราตายพรุ่งนี้เลยก็ได้ แต่ก่อนอื่น… กินก่อน!
พูดถึง EP Moonglasses
ชิติช: นี่คือดนตรีในแบบที่เราอยากทำ นี่คือสิ่งที่เราอยากทำกับดนตรีของเรา หลังจากเราทดลองมาหลายแบบ เราได้ค้นพบส่วนผสมที่ถูกต้องแล้ว คือจริง ๆ ชายคนที่อยู่บนปกอัลบั้มเราก็เป็นคนดังด้วยนะ ไปบอกคนอื่นก็ได้ว่าเราเป็นวงเกาหลีสุดฮิต (หัวเราะ) คนอื่นต้องสนใจแน่ (หัวเราะ)
พอล: ที่อินเดียคนพร้อมสนับสนุนวงต่างชาติมากกว่าที่จะสนับสนุนคนในชาติตัวเอง คนพร้อมจะจ่ายเงินแพง ๆ เพื่อไปดูวงดัง ๆ ต่างชาติเพื่อดูว่าพวกเขาเล่นดีไหม แต่ไม่จ่ายเงินค่าตั๋วที่ถูกกว่านั้นครึ่งนึงเพื่อมาดูวงเล็ก ๆ เรื่องนี้เกิดขึ้นหลาย ๆ ที่ในโลกแหละนะ
แรงบันดาลใจของ EP นี้
โนนี่: เราได้คอนเซปต์ว่า เราใส่แว่นกันแดด (sunglasses) ตลอดเวลา แต่ทำไมเราถึงไม่มี Moonglasses บ้างล่ะ ไม่เคยมีใครคิดถึงมัน เราได้ไอเดียมาจากคำว่า คุณคือพระจันทร์และดวงดาวของชีวิตผม แล้วทำไมเราถึงไม่เอาประโยคเหล่านั้นมาใส่ในเพลง Moonglasses ล่ะ เราต้องการแว่น เพื่อป้องกันตัวเองจากความรักที่มันมากเกินไปสำหรับเรา สว่างเกินไป จนคุณต้องบาลานซ์ชีวิตตัวเองใหม่ แล้วคุณได้มองมุมต่าง ๆ ของชีวิต ก็มาเป็นเพลงนี้ คือถ้าคุณได้ฟังเนื้อเพลงคุณจะเข้าใจ เนื้ออยู่ใน Soundcloud, YouTube แล้วนะ แล้วก็มีให้ดาวน์โหลดได้ด้วย
ชิติช: คือจากไอเดียของโนนี่เกี่ยวกับ Moonglassses เขาทุ่มไอเดียลงไปกับเพลงนี้เต็มที่ รวมถึงหน้าปกอัลบั้มด้วย เพราะเขาเป็นอาร์ตไดเรคเตอร์ แล้วพวกเราที่เหลือก็ดูเรื่องมาร์เกตติ้งแล้วก็การวางแผนต่าง ๆ แบบ เราต้องทำยังไงบ้าง ส่วนเรื่องการทำสินค้าที่ระลึก เราคิดว่าเราควรทำสิ่งที่พวกเขาใช้ได้จริง ๆ เลยได้ Moonglasses มา เราไปมิวสิคเฟสติวัลที่เราเล่น แล้วเราก็แจกให้กับศิลปินและโปรโมทเตอร์หลายคน พวกเขาก็ได้ถ่ายรูปแล้วส่งมาให้เรา ซึ่งเป็นวิธีทำมาร์เกตติ้งของพวกเรา คือทำสิ่งที่พวกเขาจะใส่
พอล: มันเป็นสิ่งที่ใช้ได้ตลอดวัน ทุกคนต้องใส่แว่นกันแดดอยู่แล้วตอนพวกเขาไปข้างนอก มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา และเป็นแผนการตลาดของเรา
ชิติช: นี่เลยเครียดเลย ว่าต่อไปจะทำอะไรขายดี (หัวเราะ) อย่าง Moonglasses นี่ก็ทุกคนในวงช่วยกันคิด เราไม่ได้ให้เอเจนซี่หรือโปรโมเตอร์ช่วยเลย เราภูมิใจที่ได้ทำเอง แล้วก็เป็นเจ้าของมันจริง ๆ เราไม่อยากจะเพิ่งพาคนอื่นให้มาช่วยเรื่องการตลาดต่าง ๆ แล้วดังไวอะไรอย่างนั้น คือใช่ เราก็ต้องมีการทำการตลาดเพื่อให้มีรายได้บ้างแหละ แต่ไอเดียของวงนี้เราอยากจะไปไกลกว่านั้น เรายอมใช้เวลา 5-6 ปีในฐานะเจ้าของวงแต่เพียงผู้เดียวดีกว่า ถ้าคนชอบดนตรีของคุณ พวกเขาชอบสิ่งที่คุณเล่น ชอบสิ่งคุณทำ เขาก็จะอยู่กับคุณ คุณจะมีแฟนคลับที่ภักดีที่ตามคุณไป ซึ่งถ้าคุณไม่อยากรวยก็ทำแบบเรานี้แหละ (หัวเราะ) แต่ถ้าอยากได้เงินเยอะก็อย่า
เพลงโปรดของคุณใน EP Moon Glasses
โนนี่: สำหรับผมคงเป็นเพลง Sad Paulie เพลงที่สอง แน่นอนว่า ‘Paulie’ คือพอล เขาเขียนเพลงนี้ (หัวเราะ) มันเกี่ยวกับเขา (หัวเราะ)
พอล: มันเกี่ยวกับความเศร้าที่ผมมีแล้วเอาไปขยายความหมายเพิ่ม
ปรินซ์: Moonglasses แน่นอน ยิ่งถ้าคุณฟังท่อนท้าย ๆ นะ มันสุดยอดมากเลยอะ
ชิติช: ใช่สิ ก็คุณฟังแล้วมาร่วมวงกับเราเลยอะ (หัวเราะ) เพลงโปรดของผมคือ Crush Before Use
พอล: เพลงเดียวกับผมเลยครับ
ชิติช: มันมีบางสิ่งที่ทำให้คุณต้องเปิดเพลงนี้วนไปวนมา
พอล: เพลงนี้เริ่มจากเราร้องเมโลดี้ แล้วก็แจมกัน แล้วผมก็พึมพำซักอย่างออกไป นี่คือวิธีการเริ่มเพลงของพวกเรา คือจะพูดคำอะไรก็ตามแบบงึมงำ ๆ แล้วเราก็ฟังมันอีก จนกว่าจะรู้สึกว่ามันโอเค แล้วไลน์เมโลดี้จะค่อย ๆ มา จากนั้นก็ใส่เนื้อร้องลงไป เพื่อให้มันเพอร์เฟ็ค
โนนี่: สำหรับเมโลดี้ไม่ว่าจะมันจะจบแบบใด เราจะให้มันจบแบบนั้น ให้มันฟิกซ์ไปเลยต่อให้มันไม่เพอร์เฟคก็ตาม คือเราฟังกว่า 15-20 ครั้ง จนกระทั่งเราสามารถร้องเมโลดี้นั้นออกมาได้แบบพึมพำ ๆ แล้วเราถึงลงมือทำ เป็นขั้นตอนแบบนี้ ทำให้เราใส่ฟีลลื่งลงไปได้ คือกว่าจะทำเพลงเสร็จเรามีเพลงดิบเป็น 10 เวอร์ชั่นเลย
ฝากอะไรถึงแฟน ๆ ชาวไทย
พอล: เรามีแฟนด้วยเหรอ (หัวเราะ)
โนนี่: เราไม่ค่อยมีแฟนเยอะนักหรอกในอินเดีย (หัวเราะ) ถ้ามีคนมาดูเราเยอะ เราจะย้ายมาอยู่เมืองไทย (หัวเราะ)
จบไปแล้วกับบทสัมภาษณ์สนุก ๆ กับวง Man.Goes Human แฟน ๆ สามารถไปติดตามพวกเขาได้ที่ mangoeshuman.com ทิ้งท้ายไปด้วย EP. Moonglasses ของพวกเขา