Import

ซ้อมร้องให้เป๊ะแล้วเตรียมดิ้นไปกับ Last Dinosaurs ศุกร์นี้

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

บอกตรง ๆ ว่าเราตื่นเต้นเป็นพิเศษที่ Fungjaizine มีโอกาสได้มาพูดคุยกับศิลปินวงโปรดของเราอย่าง Last Dinosaurs ที่เมื่อปลายปี 2013 พวกเขาได้มาแสดงสดใน HYH Mini Festival คอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 2 ปีของคณะ Have You Heard? ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามว่าอยากดูพวกเขาตัวเป็น ๆ อีกครั้ง และปีนี้ HYH ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง โดยการสานฝันแฟน ๆ พาหนุ่ม ๆ บินกลับมาระเบิดความมันกันอีกครั้งในคืนวันพรุ่งนี้ที่ Live RCA วันนี้เราเลยนัดพวกเขามาที่ท้องฟ้าจำลองเพื่อจะได้ถ่ายรูปสนุก ๆ ประกอบลงในบทสัมภาษณ์นี้

อัลบั้ม Wellness ต่างจากอัลบั้มชุดก่อน In A Million Yearsอย่างไรบ้าง

Sean: พอพวกเราโตขึ้น เพลงของเรามันก็โตตามไปด้วย มีซินธ์เข้ามามากขึ้น เนี้ยบขึ้นด้วย… เดี๋ยวนะ เหมือนมีเดจาวูเลย (Sean ชี้ให้เราดูภาพเบื้องหน้าเขา มันคือส่วนภายในนิทรรศการชั้น 6 อาคาร 4 ท้องฟ้าจำลอง) เชี่ย มันแปลกมาก (หัวเราะ)

เพลงในอัลบั้มนี้โดดเด่นด้วยอะไร

Sean: มันจะมีความ dreamy มากกว่า กับซาวด์กีตาร์ที่เฉี่ยวขึ้น

ได้แรงบันดาลใจจากในไหนการทำอัลบั้มนี้

Michael: มันมีตั้งแต่เรื่องแปลก ๆ อย่างเราเอาแมวมาแต่งเพลง ลิงชิมแปนซีงี้

Sean: ประสาทไหมล่ะ (หัวเราะ) เออ ได้แรงบันดาลใจจากลิงชิมแปนซีจริง ๆ นะ ทุกอย่างรอบตัวเรานี่เอามากลั่นกรองเป็นเรื่องเล่าอะไรก็ได้เลยนะ

Lachlan: ในเพลง Evie น่ะครับ ตั้งชื่อตามชื่อแมวด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ แล้วก็พูดถึงว่าลิงเนี่ยมันมีวิวัฒนาการมาจนเป็นเรานะ มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลย เหมือนมันจะเป็นบรรพบุรุษเราด้วยซ้ำ

แล้วทำไมถึงเลือกเอา Wellness ที่เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม

Sean: ตอนแรกเราจะใช้เนื้อเพลงของเพลง Wellness เหมือนตอนที่เอาเนื้อเพลง Zoom มาตั้งชื่ออัลบั้มที่แล้ว ที่นี้รู้สึกว่ามันยาวไปเลยจะตัดให้สั้นลง แต่มันก็ยังดูไม่ดี พอดีว่าเราชอบไอเดียในเพลงนี้แล้วก็ชอบซาวด์อะไรต่าง ๆ โดยรวม ก็เลยคิดว่ามันน่าจะโอเคถ้าเอามาตั้งเป็นชื่ออัลบั้มซะเลย

จากอัลบั้มที่แล้วมาถึงอัลบั้มนี้ ทำไมถึงหายไปตั้ง 3 ปี

Dan: มันมีหลายปัจจัยมากเลยครับ คือในอุตสาหกรรมดนตรีมันไม่ได้เอื้อให้เราออกเพลงได้ตามใจชอบขนาดนั้น

Sean: การขออนุญาตอัดเพลงจากค่ายครับ คือถ้าเพลงเราไม่ได้เจ๋งจริงเขาจะไม่ปล่อยเราเลย เหมือนทุกวันนี้ทำเพลงมาง้อค่าย เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาต้องการเพลงแบบไหน มันไม่ค่อยถูกนักหรอก แต่เราทำอะไรไม่ได้ แต่พอได้เข้ามาอัดจริง ๆ แล้วมันง่ายไปหมดเลยนะ เพราะเราได้เล่นเพลงเรา ได้ปรับเปลี่ยนอะไรของเราเองอีกนิดหน่อย

เหมือนเดี๋ยวนี้จะเขียนอะไรให้ออกมา original ก็ยากแล้วด้วยหรือเปล่า

Sean: ใช่ แต่มันไม่ใช่ปัญหาอะไรนะ มันแค่เราเอารสนิยมของเรา กับองค์ประกอบโน่นนิด นี่หน่อย มารวมกัน โอเค อาจจะมี reference มาบ้าง มันอาจจะไม่ได้ original ซะทีเดียว แต่มันก็เป็นการถ่ายทอดความเป็นเราออกมาอยู่ดี

เพลงไหนในอัลบั้มที่ชอบที่สุด

Sean: Wellness แหละ มันแตกต่างจากเพลงอื่น ๆ เนี่ยแหละ ถ้าพูดถึงความ original เรายกให้เพลงนี้เลย

Dan: อื้อ เพลงนี้เราไม่ได้รื้อมันมาจากเพลงไหนที่เราทำมาก่อนเลยนะ มันมีความป๊อป แต่ก็ไม่ได้ป๊อปจ๋าอะไรแบบนั้น เวลาเล่นแล้วสนุกมากนะเพลงนี้ ผมชอบมาก

Feedback หลังจากปล่อยอัลบั้มใหม่มาเป็นยังไงบ้าง

Sean: ดีนะ แฟนเพลงชอบกันมาก แต่ถ้าในด้านลบก็จะเป็นเรื่องประมาณว่า เพลงเนี้ยบไป เราก็เห็นด้วยนะเพราะก็ตั้งใจจะทำให้มันเนี้ยบ ๆ แหละ แบบเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมันก็ดีหมดแล้ว คนมิกซ์เพลงพอเจออะไรที่มันดิบ ๆ หน่อยก็จัดให้ซะเนียนกิ๊งเลย

ใครเป็นคนออกแบบ artwork ของชุดนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร

Dan: ผมครับ เอ่อ Sean ได้ไอเดียมาจากศิลปินชาวเยอรมัน Gerhard Richter งาน photorealistic เขาเจ๋งมาก แบบวาดรูปจากภาพถ่ายขาวดำ

Sean: มันมีงานพวกที่เขาเอาสีละเลงลงไปแล้วหาวัสดุมาวาง จากนั้นก็เอาวัสดุที่มาวางออกแล้วเหลือเป็นลวดลายที่เจ๋งมาก

แล้ว music video ล่าสุดอย่าง Wurl ล่ะ ทำไมถึงเน้นใช้ไฟสีแดง ขาว น้ำเงิน

Sean: ตอนแรกจะให้ Michael กำกับ แต่แล้วก็มี Harry Deadman มาทำให้

Dan: แดง ขาว น้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์แทนอิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ ครับ (หัวเราะ)

Michael: ไม่โว้ย คือเราก็คุยกันว่ามีไอเดียอยากจะจับภาพสังคมยุคเก่ากับการทดลองวิทยาศาสตร์มาอยู่ในนี้ แล้ว อยากให้มันดูเหมือนการได้รับข้อมูลอะไรมามากเกินกว่าจะรับไหว ให้มันดูปั่น ๆ แล้ว Harry ก็รับช่วงต่อ

อย่างในเพลง Apollo ทำไมถึงให้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยออกมาเต้น

Michael: รอบนี้ผมกำกับเอง คือเหมือนเนื้อเพลงมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เราวาดฝันตัวเองว่าจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าตอนนี้ อาชีพนี้ก็น่าจะชัดอยู่ พอดีว่าเพลงเรามันเนื้อหาเครียดแต่ดนตรีมันสนุก ถ้าจะให้เป็น mv เครียด ๆ ก็กะไรอยู่ แล้วเราก็ได้คนมาเล่นที่แบบ เจ๋งมากอะ เขาแสดงหน้าตอนเหม็นเบื่อชีวิตได้ เต้นได้ด้วย เป็นโชคดีของเรา

ศิลปินคนไหนมีอิทธิพลต่อ Last Dinosaurs บ้าง

Sean: ก็มี The Radio Dept., Twin Sister ใครอีกหว่า อ้อ Toro Y Moiแล้วก็ Tame Impala เหมือนเป็นแรงบันดาลใจมากกว่าอิทธิพลทางดนตรีของวงนะ กับอีกวง The Strokes เป็นวงที่ทุกคนก็ต้องชอบอะแหละ

ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกับวงพวกนี้ล่ะ

Sean: โห ไม่รู้สิ ถ้าได้ร่วมงานกับ The Strokes นี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย มันคงจะแปลกถ้าเอาเพลงพวกเขามารวมเข้ากับพวกเรา แต่ถ้าเป็น The Radio Dept. หรือ Toro Y Moi ก็น่าจะเจ๋งดี

โชว์ไหนที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่เคยเล่นมา

Sean: มันก็มีโชว์ที่คนเยอะมาก ๆ เลยนะ มันก็เจ๋งดี แต่ยังไม่ใช่ที่สุด ที่เราชอบสุด ๆ เลยคือที่มะนิลา ถึงงานมันจะเล็กมาก ๆ แต่เราสัมผัสได้ว่าคนดูสนุกไปกับเรา

แปลกใจไหมที่มีคนแถบนี้ฟังเพลงของพวกคุณกันเยอะ

Dan: ก็ไม่ค่อยนะ เหมือนแบบวงเราก็มีเอเชียน ลูกครึ่งเอเชียนไรงี้กันอยู่ค่อนวง มันเลยไม่ค่อยตื่นเต้นอะไร แต่มันน่าตื่นเต้นตรงที่วงเราสามารถไปเป็นที่รู้จักในประเทศอื่น ๆ ในสังคมโลกได้ มันน่าสนใจตรงนี้

Michael: บางทีมันก็น่าตื่นเต้นนะ เพราะเราก็ไม่คิดว่าจะมีคนมารอดูเราในหลาย ๆ โชว์ แล้วก็ได้ไปเล่นในหลาย ๆ ประเทศ คือไม่เคยรู้เลยว่า feedback เป็นยังไง

อะไรทำให้วงการเพลงอินดี้ในออสเตรเลียน่าสนใจ

Sean: ผมว่ามันทำวงกันง่าย แล้วก็มีโชว์ให้ไปเล่นเยอะ ยิ่งในบริสเบนยิ่งมีที่เล่นเยอะมาก ถึงแม้ว่าคุณเป็นวงที่เล่นห่วยที่สุดในบริสเบนคุณก็มีโอกาสจะทำเงินได้ 100 ดอลลาร์ในคืนนั้น (หัวเราะ) ซึ่งคนก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็เล่นกันสนุก ๆ แล้วด้วยความที่วงมันเยอะก็เลยทำให้เรามีครอบครัวนักดนตรี เพื่อนฝูงที่รู้จักกัน จริง ๆ มันดีนะ แต่ตอนนี้ลู่ทางมันเริ่มยากแล้วในการจะดังขึ้นมา เพราะมันมีวงเกิดใหม่เยอะมาก แล้วเราก็โดนจำกัดอะไรต่าง ๆ

Dan: คือถ้าเพลงของเราไม่ตอบโจทย์ตลาด มันก็ยากที่จะเกิดอยู่เหมือนกัน

Sean: ถึงแม้ว่าเราจะมีเพจ Facebook YouTube หรือไปทัวร์อะไรต่าง ๆ แล้วก็ตาม ทีนี้มันก็จะมีให้เราส่งเพลงไปเปิดตามคลื่นวิทยุในออสเตรเลีย เพราะมันสร้างฐานแฟนคลับได้ดีนะ แต่มันก็ยากที่เราจะได้ไปอยู่ตรงนั้นเพราะเราต้องทำให้สถานีวิทยุเขาชอบเรา แล้วค่ายจะเป็นคนตัดสินใจว่าเพลงของวงไหนที่สถานีวิทยุนั้น ๆ จะเลือกไปเปิด ทุกวันนี้เราก็ทำของเราดีที่สุดแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะเลือกเราไปเปิดนะ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกในภาพรวม แต่เรายังโอเคนะที่เขาก็เอาเพลงเราไปเปิดบ้าง

แบบนี้มันส่งผลกระทบต่อยอดขายซีดีเราด้วยไหม

Sean: วิทยุไม่เท่าไหร่ แต่ Spotify เนี่ยตัวดีเลย ทำทุกอย่างพังหมด (หัวเราะ) แต่ Spotify กับ YouTube มันทำให้เราเข้าถึงคนฟังง่ายขึ้น ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละ

คิดว่าวงเราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

Dan: ประสบความสำเร็จแล้วแหละ

Sean: เราประสบความสำเร็จในแง่ไหน ยอดขาย เงิน ชื่อเสียง แฟนคลับ หรือการประสบความสำเร็จในแง่ศิลปิน ? บางทีผมก็มานั่งคิดย้อนกลับไปในสิ่งที่พวกเราทำกันมา มันก็ไปได้สวยนะ ทุกอย่างที่ว่ามา ก็คิดว่าประสบความสำเร็จแหละ

เป้าหมายสูงสุดของวงอยู่ที่อะไร

Sean: จริง ๆ ผมก็ไม่ได้มีขีดสูงสุดอะไรนะ ก็แค่ได้เล่นที่ที่ใหญ่ขึ้น ได้ไปทัวร์เยอะขึ้น อยากให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมั้งครับ

เคยฟังเพลงไทยบ้างไหม

Sean: ผมฟัง Sqweez Animal ครับ ผมรู้เรื่องมือกีตาร์ที่เสียชีวิตไป (สิงห์ ประชาธิป มุสิกพงศ์) เขาไปดูโชว์ของเราเมื่อสองปีก่อนด้วย แล้วเขาเป็นคนน่ารักนะ เราแบบ ไม่อยากเชื่อเลย แต่เพลงของเขาดีมาก ยากแค่กำแพงของภาษาเนี่ยแหละที่ผมไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เขาสื่อได้ทั้งหมด

(โดน Dan ถามกลับ) แล้วคนไทยฟังเพลงญี่ปุ่นบ้างไหม

FJZ: ฟังนะ ก็มีหลาย ๆ กลุ่ม J-Pop J-Rock อินดี้ญี่ปุ่นก็ฟัง อย่างตอนนี้เราฟัง The Fishmans กับ Yogee New Waves

(Dan ทำหน้าตื่นเต้น) ใช่ไหม พวกเขาเจ๋งมาก ตอนที่เราไปญี่ปุ่นครั้งแรกเราก็รู้จักกับนักร้องวง Yogee New Waves เขาส่งวิดิโอมาให้พวกเราดูแล้วบอกว่าอยากให้เราไปญี่ปุ่น ตอนนี้เป็นเพื่อนกันละ เออ จริง ๆ สองวงนี้ก็มีความคล้ายกันอยู่นะ แล้วมีเพลงไทยอื่น ๆ แนะนำไหม

FJZ: เข้าไป fungjai.com เลย เพลงเด็ด ๆ เพียบ ฮ่า ๆ

Sean: เออ จริง ๆ แล้วผมว่าอินดี้ที่นี่โตมากนะ ที่ออสเตรเลียก็โตเหมือนกัน เพราะเหมือนมันเป็นแนวเพลงที่เอามาเล่นสดแล้วสนุก อย่าง beach, electronic, hiphop (FJZ: ตอนนี้ที่ไทย hiphop ก็กำลังมานะ) หรอ ? เจ๋ง ๆ

เจอ culture shock บ้างไหม

Sean: มันไม่เชิง culture shock ขนาดนั้น เป็นเหมือนเรื่องพิลึกมากกว่า แบบ เยอะมาก อย่างสมมติในที่ที่เดียวนี่มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมารวมกัน อย่างตรงนั้นมีสวนสาธารณะ มีห้าง มีมินิมาร์ท มีพิพิธภัณฑ์ แล้วก็อีกเรื่องคือที่คนไทยมีความรักสถาบันพระมหากษัตริย์มาก คือบ้านเรามีพระราชีนีก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีความใกล้ชิดอะไรเท่านี้ น่าสนใจมาก

Dan: แล้วคือมีผู้คนออกมาเดินถนนกันเยอะมาก ถ้าในออสเตรเลียคนจะชอบอยู่ข้างในกันมากกว่า ไม่ค่อยเดินเล่น เขาจะออกมาเฉพาะกิจจำเป็นในสถานที่นั้น ๆ แล้วก็กลับบ้าน ไม่ค่อยมาเตร่อะไรกันเท่าไหร่

จำตอนที่มาเล่นที่นี่เมื่อสองปีก่อนได้ไหม รู้สึกยังไงบ้าง

Dan: มันเจ๋งมาก

Michael: รู้สึกดีมาก ๆ ครับที่ได้มาเล่น

แล้วรอบนี้ตื่นเต้นมั้ย หรือไม่แล้ว

LD: ม่ายยยย ตื่นเต้นสิ!

Sean: นี่พร้อมจะกลับมาอีกรอบแล้ว คือเราเตรียมจะทำโชว์ที่มีช่วงเวลานานกว่านี้อีกรอบนึง รอติดตามครับ

พรุ่งนี้เราจะได้เห็นอะไรในโชว์บ้าง

Lachlan: เรามีเพลงใหม่มาเล่นเยอะครับ แล้วก็มีคนมาร่วมทัวร์เพิ่มอีกคน นั่งอยู่นู่น (ชี้ไปที่ technician ของวง) แล้วก็จะมีสุ้มเสียงแบบใหม่ ๆ ที่ออกจะมีความอิเล็กทรอนิกมากขึ้นนิดนึง

ฝากอะไรกับแฟน ๆ หน่อย

Michael: ก็ ขอบคุณมาก ๆ ครับที่อยากให้เรากลับมาเล่นที่นี่อีก หวังว่าโชว์พรุ่งนี้จะสนุกถูกใจทุกคน

Sean: อย่าลืมไปดูโชว์พรุ่งนี้ด้วย ดีใจครับที่ได้กลับมา

Lachlan: มาสร้างช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกันนะครับ

Dan: ไม่มีอะไรจะพูดละ (หัวเราะ)

แล้วไปเจอกันที่ Singha Light presents Last Dinosaurs + Panama Live! พร้อมวงเจ้าบ้านมาแรงอย่าง Fwends และ Gym and Swim วันที่ 11 มีนาคม ที่ Live RCA ถ้าใครซื้อบัตรล่วงหน้าไม่ทัน ก็ยังไปลุ้น 50 ใบสุดท้ายที่หน้างานได้ เริ่มจำหน่ายเวลา 18.00 น. พลาดรอบนี้หมดแล้วหมดเลยนะ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้