Article Import

การกลับมาเยือนไทยอีกครั้งของ HONNE พร้อมอัลบั้มใหม่ Love Me / Love Me Not

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Pradthana Chaijaroensuksakul

หลายคนคงฟินกับคอนเสิร์ตรอบแรกของ HONNE อิเล็กทรอนิกดูโอ้จากอังกฤษกันไปแล้วเมื่อคืนนี้ที่ Mangosteen Music Festival สำหรับคนที่พลาดคอนเสิร์ตครั้งแรก คอนเสิร์ตเมื่อวาน แต่จะได้ไปดูพวกเขาเล่นในคืนนี้ เราจะชวนมาอ่านที่มาที่ไปของอัลบั้มใหม่ Love Me / Love Me Not ที่กำลังจะปล่อยในปลายเดือนสิงหาคมเป็นการอุ่นเครื่อง เพราะพวกเขาต้องหยิบมาเล่นในโชว์นี้ให้ได้ฟังกันแบบสด ๆ แน่นอน

อ่านบทสัมภาษณ์ของพวกเขาครั้งแรกที่มาเยือนไทยได้ >ที่นี่<

แรงบันดาลใจเบื้องหลังอัลบั้มนี้

เจมส์: ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราครับ เราพยายามจะเล่าเรื่องเหล่านั้นให้จริงใจที่สุด จะไม่พยายามไปฝืนมันถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่ หรือสร้างเรื่องขึ้นใหม่

แอนดี้: ครับ เป็นประสบการณ์ของผมกับเจมส์ แล้วก็ผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เปลี่ยนเรื่องราวไปจากอัลบั้มแรกมากนัก แต่มันเป็นเรื่องที่ดีครับ เราชอบทำเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจริง

ทำไมถึงเขียนแต่เรื่องความรักแง่บวก มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรักหรือเปล่า

แอนดี้: ก็ประมาณนั้นมั้งครับ คือพวกเราหมั้นกันแล้ว (หัวเราะ)

เจมส์: แต่อย่างที่บอกคืออัลบั้มนี้มันก็เป็นสองด้านครับ มีทั้งเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการไปทัวร์คอนเสิร์ตของพวกเรา ตอนทัวร์ก็สนุกดี แต่เราก็คิดถึงคนที่รออยู่ที่บ้าน มันก็ค่อนข้างเป็นการเล่าความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมาที่สุด มีเพลงนึงที่พวกเราเพิ่งปล่อยไปเมื่อเดือนที่แล้วชื่อ Forget Me Not ที่มีท่อนนึงร้องว่า ‘She loves me, she loves me not’ เราพยายามจะทำให้มันเห็นถึงสองด้านของเรื่องราว นั่นก็น่าจะเป็นการอธิบายถึงคอนเซ็ปต์ในอัลบั้มนี้ได้ดีครับ

ในอัลบั้มคุณต้องการนำเสนอถึงสองขั้วของความสัมพันธ์ และความรู้สึกที่แท้จริง คุณคิดว่าจะทำให้คนฟังได้รับประสบการณ์หรือรู้สึกแบบเดียวกับที่คุณนำเสนอผ่านเพลงได้ยังไง

เจมส์: เป้าหมายของเราคือแค่อยากนำเสนอความรู้สึก อารมณ์ ให้สิ่งที่คนฟังจะรู้สึกเชื่อมโยงกับพวกเขาได้ ก็คิดว่าน่าจะมีบางคนที่รู้สึกแบบเดียวกับเราบ้างแหละครับ

แอนดี้: มีสิ่งที่เราจะลองทำ คือเราปล่อยเพลงทีละสองเพลง อันนึงเป็นฝั่ง Love Me อีกอันเป็นฝั่ง Love Me Not ซึ่งคนฟังเดี๋ยวนี้เขามีความสนใจระยะสั้น เท่านั้น เราก็อยากจะทดลองดูเพราะก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่เราก็คิดว่าคงจะดีถ้าทุกเพลงจะได้ผ่านหูคนฟังพอ กัน

เจมส์: เหมือนให้เขาได้ตั้งใจฟังเป็นซิงเกิ้ล ไป ให้เขาได้ลองฟังฟรี บน YouTube ไปก่อน แล้วเรื่องอัลบั้มก็เป็นเรื่องรองลงมา คือพอเพลงอยู่บนนั้นแล้วคนจะมีเวลาเข้าไปฟังมากกว่า

แอนดี้: แต่เดี๋ยวเราจะทำไวนิล หน้านึงเป็น Love Me หกเพลง อีกหน้าเป็น Love Me Not อีกหกเพลง คนก็จะได้เลือกฟังตามอารมณ์ที่เขาอยากจะฟังได้

ขั้นตอนการทำเพลงของพวกคุณสองคนเริ่มจากอะไร

เจมส์: ก็เริ่มจากการทำดนตรีก่อนครับ เราเขียนเพลงแล้วก็โปรดิวซ์ด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นเราก็ใส่ไฟล์ที่ทำไว้เข้าไปในโฟลเดอร์ที่แชร์กัน คือเราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันนะ แต่ก็อยู่ใกล้กันมากก็เลยทำงานกันง่าย พอมีไอเดียแอนดี้ก็จะใส่เรื่องที่เขารู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเองลงไปในเพลง ก็เขียนเนื้อลงไป

แอนดี้: อันไหนฟังดูเข้าท่าหรือรู้สึกว่ามีเรื่องที่อยากจะเล่าลงไปพอดีก็เขียน แต่บางเพลงที่ฟังมาสิบกว่ารอบแล้วรู้สึกว่า เออ ยังไม่อยากทำต่อ ก็สลับไปทำอีกเพลงนึงก่อน

อัลบั้มนี้มีซาวด์ใหม่ อะไรยังไงบ้าง

เจมส์: พอจบจากอัลบั้มที่แล้ว เรานั่งคุยกันว่าจะให้อัลบั้มใหม่ออกมาเป็นประมาณไหนดี แล้วเราก็ได้แรงบันดาลใจจากฮิปฮอป ไม่ว่าจะเป็น Chance the Rapper หรือ Frank Ocean แล้วเราก็อยากให้มันมีบีตกับเสียงเบสเยอะขึ้น

แอนดี้: เราชอบอัลบั้มแรกนะครับ แต่รู้สึกว่าทิศทางของเพลงมันไปในแนวเดียวกันหมดเลย ผมเป็นคนร้อง แล้วเจมส์ก็เล่นคีย์บอร์ดไป มีดรัมแมชชีน ดูนิ่งไปหมด เราก็เลยอยากลองทดลองอะไรเพิ่มอีกหน่อย คือยังไงผมก็ยังเป็นคนร้อง เสียงผมมันก็จะเป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ทำให้มันแตกต่างด้วยการทำซาวด์ของแต่ละเพลงให้มันต่างกันออกไป

สัญลักษณ์วงกลมผ่าครึ่งที่ปรากฏอยู่ในแทบทุกเพลงของอัลบั้มนี้หมายถึงอะไร

แอนดี้: เรียกว่า unicode ครับ เป็นสัญลักษณ์ที่เราสามารถพิมพ์ได้ในออนไลน์อยู่แล้ว เหมือนเป็นอีโมจิยุคแรก ซึ่งอัลบั้มนี้ชื่อว่า Love Me/ Love Me Not เราใช้ unicode อันนี้เป็นตัวที่บอกว่าเพลงไหนเป็น ‘Love Me’ เพลงไหนเป็น ‘Love Me Not’ ถ้าเพลงไหนที่วงกลมถมดำข้างขวาก็จะเป็นเพลงรัก อันไหนถมดำข้างซ้ายก็จะเป็นเพลงเศร้า

ซึ่งตัว unicode ที่ใช้เนี่ย จริง แล้วมันเป็นสัญลักษณ์ของพระจันทร์ครึ่งดวง ข้างขึ้นข้างแรม แบบนี้คุณสนใจเรื่องดาราศาสตร์ด้วยหรือเปล่า หรือแค่เห็นว่ามันเป็นสัญลักษณ์มินิมอลที่อยากจะสื่อถึงแค่ขั้วตรงข้าม

แอนดี้: หลัก ก็เพื่อตอบโจทย์คอนเซปต์สองขั้วแหละครับ แต่ผมก็อยากซื้อกล้องโทรทัศน์ไว้ดูดาวเหมือนกันนะ  ตั้งไว้ริมระเบียง

เจมส์: เศร้าตรงที่ลอนดอนจะมองไม่ค่อยเห็นดาวน่ะสิ เมฆหนาตลอดเวลา มลพิษเยอะเชียว (หัวเราะ)

ในมิวสิกวิดิโอ Me & You เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลมาจากการเต้น K-pop ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าวัฒนธรรมเอเชียนมีอิทธิพลกับพวกคุณยังไง

แอนดี้: ตอนนั้นเราปล่อยเพลง Day 1 ไป แล้วมีโรงเรียนสอนเต้นที่นึงในเกาหลีเอาเพลงนี้ไปเต้น เราไปเห็นวิดิโอที่เขาลงพอดีก็เลยติดต่อเข้าไปว่าสนใจทำอะไรสนุก ในเพลงต่อไปที่เราจะปล่อยไหม ก็เลยได้พวกเขามาเต้นในเพลง แล้วเด็ก ที่มาก็เก่งมากครับ

เจมส์: ซึ่งจริง แล้ววัฒนธรรมเอเชียนก็เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับเราอยู่แล้วด้วย อย่างชื่อวง Honne ก็มาจากภาษาญี่ปุ่น คือคำว่า ‘ฮนเนะ’ ที่แปลว่า ‘ความรู้สึกที่แท้จริง’ ‘ความมุ่งหมายที่แท้จริง’ แล้วเราก็มีชื่อค่ายเพลงของเราที่ชื่อ Tatemae ‘ทาเตมาเอะ’ เป็นด้านตรงข้ามของฮนเนะ ที่แปลว่า ‘สิ่งที่เราเลือกจะแสดงให้คนภายนอกเห็นว่าเราเป็นยังไง’

แอนดี้: ก็จากอัลบั้มแรกก็เห็นได้ชัดว่าเราได้แรงบันดาลใจจากญี่ปุ่นมาเยอะแหละ ปกซีดีของเราก็มีภาษาญี่ปุ่น คือเราเป็นแฟนตัวยงของวัฒนธรรมเอเชียนอยู่แล้วครับ ทุกครั้งที่จะได้ไปประเทศใหม่ ในเอเชียก็จะรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษนี่อีกไม่กี่วันก็กำลังจะไปจีนเป็นครั้งแรกด้วย หรือการได้กลับมาที่ไทยอีกครั้งก็รู้สึกดีครับ

แล้วแบบนี้ชอบวงเกาหลีวงไหนด้วยหรือเปล่า

เจมส์: เรารู้จักกับ Rap Monster วง BTS ครับ คุยกันบ่อยมาก

แอนดี้: เราเจอศิลปินเยอะมาก ซูยอง จาก Girls’ Generation, Eric Nam หรือ DEAN

เจมส์: ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครับ เอริก นัม นี่เป็นคนดีมาก

แอนดี้: เขามีบาร์อยู่ที่โซล แล้วก็พาเราไปเจอคนเยอะเลย เหมือนมีคนได้อันดับ 9 ของงานประกาศรางวัลอะไรสักอย่างของเกาหลี แต่ทุกคนในนั้นถ่อมตัวมากครับ

ถ้ามีโอกาสได้เขียนเพลงให้กับแบรนด์แฟชัน อยากร่วมงานกับแบรนด์ไหนมากที่สุด

แอนดี้: ผมมีกางเกงที่เพิ่งซื้อมา ใส่ในแทบจะทุกโชว์เลยครับ คงอยากจะทำกับ Issey Miyake ล่ะมั้งครับ มันดูเท่แล้วก็ใส่ง่ายดี

เจมส์: ครับ ผมชอบกางเกงตัวนั้นครับ (หัวเราะ)

ตื่นเต้นไหมที่ได้กลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง

แอนดี้: แน่นอน มันเยี่ยมไปเลยครับ เราก็พอจะรู้บ้างแหละครับว่ามีแฟนเพลงที่นี่ แต่ก็ผ่านแค่ช่องทางออนไลน์เท่านั้น ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งครับ รู้สึกดีใจมาก เมื่อคืนคนดูก็สนุกกันมาก

รู้สึกยังไงที่เพลง Day 1 ดังมากที่นี่

แอนดี้: โอ้ ดีใจมากครับ มันเป็นเพลงที่พิเศษสำหรับพวกเรา เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นในฐานะที่เราเป็นนักดนตรีแล้วมีคนสามารถร้องเพลงของพวกเราได้

รอบที่แล้วที่คุณมากรุงเทพ ได้ข่าวว่า Phum Viphurit ได้อาสาไปเป็นไกด์นำเที่ยวให้พวกคุณ รู้สึกยังไงบ้างที่วันนี้เขาได้กลายเป็นศิลปินดาวรุ่งที่มีทัวร์ไปทั่วโลก

เจมส์: เราเจอเขาที่คอนเสิร์ตเมื่อคืนนี้ด้วย มีครั้งนึงเราเห็นเพลง Lover Boy ของเขาเล่นต่อจากเพลงของพวกเราใน YouTube ตลอดเลย ผมก็ส่งข้อความไปหาเขาว่าทำไมถึงถ่อมตัวจังตอนที่เราเจอกัน เขาไม่เคยบอกเราเลยว่าเขาเป็นใคร ทำอะไร เป็นคนที่น่ารักมาก ครับ อ้อ แล้วรอบก่อนนี้เราก็ได้เล่นแจมกันด้วย

แอนดี้: ใช่ครับ แล้วเราก็เสียใจมากที่เขาจะมาทัวร์ยุโรป แล้วดันมาลอนดอนตอนที่พวกเราต้องไปทัวร์อเมริกา เราก็เลยส่งลิสต์แนะนำสถานที่เจ๋ง ๆ ให้เขาไปแทน

แล้วรอบนี้ได้แอบไปมีโชว์ลับที่บาร์ไหนอีกหรือเปล่า

แอนดี้: ไม่ได้ไปเลยครับ จริง อยากทำนะ แต่ว่าเราไปเล่นหลายที่มาก นี่ก็เดี๋ยวจะต้องรีบขึ้นเครื่องอีก ไปจาการ์ตา กัวลาลัมเปอร์ มะนิลา เล่นสองรอบในกรุงเทพ ฯ

เจมส์: เรานอนกันแค่สี่ชั่วโมงเองครับ ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดี (หัวเราะ)

เวลาไปทัวร์นาน แล้วจัดการกับเรื่องความสัมพันธ์ยังไง มันคล้าย กับ long distanced เบา

เจมส์: เราไปกินข้าวด้วยกันบ่อย ดินเนอร์ใต้แสงเทียน (หัวเราะ)

แอนดี้: มันก็คล้ายกับความสัมพันธ์อื่น แหละครับ เรารู้จักกันมานานแล้วจนรู้หมดไส้หมดพุงกันละ แต่มันก็เป็นเรื่องยากเสมอครับ แต่ว่ามันก็เหมือนชีวิตของเราก็หนีการไปทัวร์ไม่ได้แหละ สิ่งที่ทำให้อยู่กันต่อได้คือความเชื่อใจครับ คือเราก็มาที่นี่เพื่อทำงานจริง ก็พยายามติดต่อกันทุกวัน วันละสองครั้งก็ได้

เจมส์: เหมือนเราก็วางตัวดีครับ ผมกับแอนดี้ค่อนข้างเป็นคนมีศีลธรรมอะนะ (หัวเราะ) เราก็พยายามทำให้แฟนของพวกเราเชื่อใจ สบายใจ ก็เข้าใจได้ครับว่าศิลปินเวลาไปทัวร์นาน แฟนก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา แต่สำหรับพวกเราคือแค่ทำให้มั่นใจว่าจะไม่ขาดการติดต่อกันไป หรือบางทีแฟนของผมก็จะตามไปดูด้วย อย่างโชว์ที่กรุงเทพ นี่แฟนผมก็อยากมาดู เขาเป็นลูกครึ่งกัมพูชา ครึ่งจีน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะบินมาดูเราสักโชว์ถ้ามาเล่นแถบนี้

แล้วโชว์ในคืนนี้จะมีเซอร์ไพรส์อะไรให้แฟน หรือเปล่า

แอนดี้: เราคิดว่าจะเล่นเพลงที่ต่างไปจากวันแรกนิดหน่อยครับ เพราะอาจจะมีบางคนที่มาดูเราสองรอบ ก็อาจจะสลับลำดับ songlist กันนิดนึง อย่างเมื่อวานเราไม่ได้เล่นเพลง Woman วันนี้ก็อาจจะเล่นครับ

HONNE

ใครที่อยากฟังเพลง Woman ในโชว์เมื่อวานแต่พลาดไป ก็ซื้อตั๋วไปดูพวกเขาอีกรอบได้ในคืนนี้นะ 😉

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้