บทสนทนาหลังเวทีกับ Foster The People ชวนคุยเรื่องอินเทอร์เน็ต สังคมโลก และดนตรี
- Writer: Malaivee Swangpol
- Photographer: Gandit Panthong
อ่านบทสัมภาษณ์ก่อนหน้าของเรากับ Mark Foster นักร้องนำได้ ที่นี่
หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับ Foster The People วงร็อกแห่งยุคมิลเลนเนียม เจ้าของเพลง Pumped Up Kicks, Houdini, Helena Beats ที่ปัจจุบันก็ยังคงออกอัลบั้มและทัวร์ไม่ขาดสาย แถมรอบนี้ที่มาเมืองไทยก็ sold out ถึงแม้จะรู้สึกว่ายุคที่พวกเขาโด่งดังไปทั่วโลกจะผ่านมานานแล้วก็ตาม
วันนี้เมื่อ The Very Entertainment พาพวกเขามาเล่นที่ประเทศไทยกับทาง Fungjaizine ก็มีโอกาสสัมภาษณ์พวกเขาทั้งสี่คนตัวเป็น ๆ ซึ่งก็พบว่าพวกเขามีความคิดที่น่าสนใจมาก ๆ และทำให้เราได้ฉุกคิดในหลาย ๆ ประเด็น ถ้าพร้อมแล้วก็มาอ่านกันเล้ย
อย่าลืมเปิดอัลบั้ม Sacred Heart Club ฟังไปด้วยเพื่อเพิ่มความอินนะ
(ซ้ายไปขวา) Isom Innis / Mark Foster / Sean Cimino / Mark Pontius
กระบวนการทำอัลบั้มนี้เป็นอย่างไร
Foster: ผมค่อนข้างที่จะตื่นเต้นในการทำอัลบั้มหลังจากทัวร์ เพราะว่าตอนทัวร์คุณจะเจอสิ่งซ้ำ ๆๆๆ แล้วพอจบทัวร์ คุณก็อยากทำอัลบั้ม เพราะมันดูน่าสนุกมาก ๆ ผ่านไปสามเดือนมันก็ยังสนุกอยู่ จนกระทั่งคุณอยู่กลางทางนั่นแหละ พระเจ้า มันยากมาก ไม่รู้จะจบเพลงนี้ยังไง แล้วพออยู่ในที่เดิม ๆ เป็นเวลานานมันก็เสียสตินิดหน่อย สุดท้ายคุณก็จะโผล่มาอีกทางของปลายอุโมงค์ แต่สิ่งที่ผลักคุณให้ออกไปทัวร์คือการที่คุณพยายามหาว่าอยากทำอะไรต่อ อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจในด้านสุนทรีย์ของเรา
มีวิธีการขึ้นเพลงไหม
Foster: มีครับ คือเราจะเริ่มจากไอเดียชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไล่ไปทีละขั้น หลาย ๆ เพลงก็เริ่มด้วยกลองชุดก่อน นั่นเป็นวิธีที่ผมทำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แล้วค่อย ๆ ไล่ไปเปียโน เบส กีตาร์ นำเอาความรู้สึกของจังหวะออกมา แล้วก็ให้เสียงดนตรีนำพาไป
คุณจะเลือกอะไรระหว่างการทัวร์กับการอัดเพลง
Innis: ค่อยมาถามตอนจบทัวร์นะ (หัวเราะ)
Pontius: รู้สึกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาแหละ (หัวเราะ) แต่ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จมันก็ต้องชอบทั้งสองอย่าง
Cinimo: จริง ๆ รู้สึกว่าเราน่าจะทำงานเพลงได้มากกว่านี้ถ้าเราไม่ทัวร์เยอะขนาดนี้ แต่การได้ไปทั่วโลกเป็นเดือน ๆ มันเป็นเรื่องที่โชคดีมาก มันทำให้เรามีแรงผลักดันในการทำงานต่อ แล้วก็มีเรื่องราวให้เล่า แต่มันก็ยากมากเช่นกัน
สตรีมมิ่งมีผลยังไงกับวงคุณบ้าง
Foster: ทั้งสองอย่าง พวกเราเองก็ค้นพบศิลปินมากมายบนสตรีมมิงเช่นที่เราไม่น่าจะได้ยินมาก่อนถ้าไม่มีมัน บางทีก็ทำให้ไปคอนเสิร์ต ซื้อเสื้อของพวกเขา ซึ่งผมคิดว่าเราออกมาจากยุคมืดของมันได้ซักพักแล้วนะ ถ้าเทียบกับตอนที่มันเริ่มต้นขึ้น อย่างยุค Napster ที่ตอนนั้นมันทำให้วงการสั่นสะเทือนอย่างมาก แต่มันน่าสนใจสำหรับพวกเรา คือเรามองคนที่ทำดนตรีในยุค 90s กับวงที่อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าเราในตอนนี้ แต่ก็ขายอัลบั้มได้เป็นล้านชุด ตอนนั้นดนตรีมันหาเลี้ยงคุณได้ จนกระทั่งถึงยุคที่ทุกคนใช้สตรีมมิ่ง แต่นั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนจำนวนมากมาจ่ายเงินฟังเพลง เพราะมันทำให้คุณไม่รู้สึกเหมือนต้องจ่าย คล้าย ๆ เป็นของขวัญฟรี หรือจริง ๆ แล้วมันควรจะฟรี ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ)
คุณมีทัศนคติอย่างไรกับโลกอินเตอร์เน็ตในเมื่อคุณเลือกให้ mv เพลง Sit Next To Me ใช้ฟีดอินสตราแกรมในการดำเนินเรื่อง
Foster: ผมรักโลกอินเทอร์เน็ต (หัวเราะ) ผมติดมันมาก ๆ เลยแหละ มันไม่ดีต่อสุขภาพแต่ผมไม่เคยพอกับมันเลย
Innis: มันดีกว่าชีวิตจริง (หัวเราะ) โลก myspace งี้ (หัวเราะ)
แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับโซเชียลมีเดียเป็นยังไง
Foster: ไป ๆ มา ๆ ครับ ผมออกจากโซเชียลมีเดียประมาณปีนึงเพื่อจะเบรกตัวเองด้วย และเพื่อที่จะถอยออกมาตั้งใจสังเกตมัน ตอนนี้ผมเล่นแค่อินสตาแกรมกับทวิตเตอร์วง ผมคิดว่ามันมีพลัง แต่ก็เสพติดมาก มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละในพวกเทคโนโลยีพวกนี้
แล้วคุณคิดว่าการเบรกจากโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่ดีมั้ย
Cinimo: แน่นอน ผมอยากแนะนำทุกคนนะ Pontius ก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่
Pontius: มันดีนะสำหรับศิลปินที่จะใช้โซเชียลมีเดีย แต่มันก็เป็นสิ่งเลวร้ายในบางครั้งถ้าคุณไม่ตั้งใจ มันจะทำให้คุณไขว้เขวจากสิ่งที่คุณอยากทำ
Foster: อีกอย่างหนึ่งคือ โซเชียลมีเดียและอินเตอร์เน็ตมันกำลังฝึกหัดให้สมองของพวกเราประมวลผลข้อมูลในวิธีใหม่ แล้วมันกลายเป็นการเสพติดในตัวมันเอง คล้าย ๆ โดปามีน เราเห็นข่าวนี่ ดูนั่น! เห็นแมวบนโดดหลังคา เห็นวิธีการทำพิซซ่าที่อร่อย ทุกอย่างมันไม่มีการจัดระบบระเบียบ ซึ่งเมื่อคุณนั่งเล่นโซเชียลมีเดีย คุณก็จะเริ่มย่อยข้อมูลเหล่านั้นช้า ๆ คุณจะเริ่มรู้สึกถึงอีกมุมของชีวิต สมองจะโดนย่างเหมือนอยู่ในไมโครเวฟ ซึ่งจริง ๆ เราไม่สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดนั้นนั้นได้ ดังนั้น การถอยหลังจากมัน แม้จะเป็นเวลาสัปดาห์เดียวก็ตาม ผมรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ จะเริ่มกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
Cimino: นี่ทำเอาผมอยากเลิกโซเชียลมีเดียเลย (หัวเราะ)
พวกคุณมักจะมีเรื่องราวที่ซ่อนในบทเพลง เช่นเรื่องการเมือง หรืออย่างความรุนแรงในเพลง Pumped Up Kicks แล้วในอัลบั้มล่าสุดเรื่องราวที่อยากสื่อคืออะไร
Foster: หลาย ๆ เพลงใน Sacred Heart Club มันเกี่ยวกับความรักซะเยอะ อย่าง Sit Next To Me, Static Space Lover ส่วน SHC, III เป็นเรื่องบทสนทนากับพระเจ้า Royal Like Sid & Nancy เป็นเพลงเดียวที่พูดเรื่องการเมืองอย่างจริงจังในอัลบั้มล่าสุด มันเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา ประเทศของผม การแบ่งฝ่าย แล้วก็สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่ผ่านมา
Cimino: ถ้าคุณเล่นแบบย้อนกลับจะได้ยินคำว่า ‘Isom is dead’ (หัวเราะ)
คุณคิดว่าในฐานะศิลปิน มีอะไรที่คุณอยากสร้างความตระหนักอีกไหม และคุณคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของคุณในฐานะศิลปินหรือไม่ที่ต้องพูดประเด็นพวกนี้
Foster: มีหลายประเด็นที่ผมอยากจะสร้างความตระหนักถึง แล้วก็ประเด็นที่ผมอยากจะต่อสู้เพื่อมัน แต่ผมก็คิดเช่นกันว่า ถ้าคุณพยายามจะเรียกร้องอะไรบางอย่างมากเกินไป บางทีมันยากที่จะสร้างแรงกระเพื่อมอันยิ่งใหญ่อยู่ดี ส่วนตัวผมคิดว่าการทำเพลงน่าจะต้องหาประเด็นอะไรบางอย่างที่จะเอาซ่อนไว้ในเพลงได้ แล้วถ้าคุณดูดี ๆ อย่างที่ Bono ทำกับองค์กร ‘Red’ ในช่วงปี 1980 ที่เขาไปแอฟริกา เขาได้เห็นวิกฤติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเขาเลยตั้งองค์กรนั้นขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาโรคเอดส์และความยากจน ซึ่งเขาทำมาต่อเนื่องตลอด 30 ปี แล้วสามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากทั้งสองประเด็นเพราะเขาโฟกัสกับมัน ส่วนสำหรับเราเมื่อประเด็นอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมา เราก็พยายามจะทำทุกวิถีทางที่เราทำได้แหละ แต่ตอนนี้พวกเราพุ่งประเด็นไปที่ความสามัคคีและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเราคิดว่าคนไม่ควรได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมอันเนื่องมาจากศาสนา สีผิว เพศสภาพ จนหรือรวย ไม่ว่าจะระดับการศึกษาใด คนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
คุณดนตรีช่วยเยียวยามนุษย์โลกได้ไหม หรือแก้ไขปัญหาอะไรได้ไหม
Foster: ผมคิดว่าดนตรีทำให้โลกดีขึ้นได้ ดนตรีช่วยเปลี่ยนโลกได้จริง ๆ ถ้าคุณฟังเพลง มองเห็นพลังของเสียงดนตรี เช่น The Rite of Spring ของ Stravinsky เมื่อครั้งแรกที่เล่นที่ปารีส ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นหลังจากนั้น เพราะมันเขย่าโลกได้ อย่าง Nina Simone, Billie Holiday, Bob Dylan และ John Lennon กับเพลง Imagine และอีกหลายเพลงของเขาที่สร้างแรงกระเพื่อมให้โลก เป็นกระบอกเสียงให้ชนรุ่นเดียวกัน ผมเลยคิดว่าดนตรีมีพลังแน่นอน
แต่โลกก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ
Cinimo: หลาย ๆ เพลงก็เปลี่ยนโลกนะ อย่าง Imagine ที่สร้างการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสันติภาพในช่วงสงครามเวียดนาม และหลังจากนั้นเขากลายมาเป็นผู้ริเริ่มและผู้นำอย่างแท้จริง ซึ่งเขาสร้างความเชื่อมั่นให้คนอื่นออกมาประท้วง ทำให้เชื่อว่าเราเปลี่ยนมันได้ เราไม่ต้องคิดตามที่ใครบอก เราจะไม่ปล่อยให้รัฐบาลทำตามใจโดยไม่มีกำแพง หรือการต่อต้านอะไรเลย การลุกฮือของประชาชนก็เช่นกัน กับเพลงอย่าง Strange Fruit (Billie Holiday) บางทีแค่บทกวีก็สามารถสื่อสารอะไรได้มากกว่าที่คำพูด ทำได้มากกว่าสุนทรพจน์ เพลงความยาว 3 นาทีก็อาจจะทำอะไรได้มากกว่าแค่การให้ข้อมูล
Innis: ผมคิดว่าดนตรีที่ดีเป็นเหมือนการบอกว่าวัฒนธรรมนั้นหรือคนคนนั้นเจออะไรมา ผมคิดว่าในแต่ละเพลงสามารถเปลี่ยนโลกได้ แต่ต้องด้วยมือของคนทั่วโลกที่จะเปลี่ยน ไม่ต้องเป็นนักการเมือง แต่เป็นพวกเรา ผมเลยคิดว่า สำหรับดนตรีเป็นเหมือนซาวด์แทร็กของโลกจริง ๆ ได้
ประสบการณ์ไปเฮติของคุณเป็นอย่างไร แล้วส่งผลต่อความเป็นมนุษย์ของคุณอย่างไร
Foster: โอ้… นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทรงพลังที่สุดที่ผมเคยพบ อย่างหนึ่งอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกมาก ๆ คือประเทศแบบนั้นอยู่ใกล้สหรัฐซึ่งเป็นประเทศร่ำรวยมาก ๆ แต่เพราะอเมริกาไม่ได้ต้องการอะไรจากเฮติในทางเศรษฐกิจ พวกเขาเลยไม่ใส่ใจปัญหาที่เกิดขึ้น มีองค์กรดี ๆ มากมายที่ไปช่วยเหลือพวกเขาอย่าง ‘Artists For Peace and Justice’ พวกเขาช่วยสร้างโรงเรียนหลังจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง คือจริง ๆ การบริจาคให้เฮติในตอนนั้นเป็นการบริจาคที่มากที่สุดที่เคยเรี่ยไรมาได้ในประวัติศาสตร์โลก แต่เงินเหล่านั้นกว่า 400 ล้านดอลลาร์เก็บซ่อนอยู่ในธนาคาร เพราะสภากาชาดสหรัฐอเมริกาและองค์กรใหญ่ ๆ ใช้เงินนั้นไปกับเครื่องบินส่วนตัว ส่ง CEO ไปพักร้อนโดยที่พวกเขาไม่นำเงินมาให้ประเทศเฮติ และยังมันมีคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นมันน่าคิดที่ว่า คนขาวผู้เหยียดผิวที่มาจากประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก คนที่ให้รัฐบาลกู้เงิน คนอย่างพี่น้องตระกูล Kosh หรืออย่าง Rostile พวกเขาสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้เพื่อช่วยคนประเทศนี้ แต่พวกเค้าไม่ทำอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ผู้คนที่เฮติน่าสนใจมาก ๆ เพราะในอดีตเฮติเคยมีการลุกฮือโดยทาส ไล่รัฐบาลออกไปและตั้งรัฐบาลขึ้นมาเอง ซึ่งน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ทำแบบนี้ได้ และยังเป็นกลุ่มคนที่มีชีวิตชีวาด้วยลักษณะนิสัยของพวกเขา ศิลปะ วัฒนธรรม กวี มีอะไรที่น่าสนใจมากมาย… ขอโทษสำหรับคำตอบที่ยาว แต่คำถามนี้สะกิดใจผมมากเลย