คุยกับ FOALS ถึงอัลบั้มล่าสุด ก่อนไปเจอพวกเขาตัวจริงในคอนเสิร์ตคืนนี้
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Warner Music Thailand
ก่อนจะไปกระโดดสุดตัวในคอนเสิร์ตของวงร็อกที่หลายคนรอคอย Foals Live in Bangkok ตอนนี้เรามาพูดคุยกับ Jack Bevan, Jimmy Smith และ Yannis Philippakis ถึงงานชุดใหม่และประสบการณ์สายดนตรีของพวกเขากัน
ด้วยความที่อัลบั้มชื่อว่า Everything Not Saved Will Be Lost อยากรู้ว่าการสื่อสารสมัยใหม่หรือเทคโนโลยีส่งผลกระทบกับการทำงานของคุณยังไง
ยานนิส: ตอนเราเริ่มทำวงเป็นยุคที่ Myspace บูมมาก ๆ ในอังกฤษ แล้วมันเป็นโซเชียลมีเดียแรก ๆ ที่ทำให้เราสื่อสารกับแฟนเพลงได้โดยตรง รวมถึงแชร์เพลง แชร์เรื่องราวของวงกับพวกเขาบนนั้นได้ ทำให้เขาได้มีประสบการณ์ร่วมกับเรา
รู้สึกยังไงที่ไม่มี Myspace อีกต่อไปแล้ว
ยานนิส: อย่างกับโศกนาฏกรรมเลยครับ (หัวเราะ)
แจ็ค: เหมือนเราต้องปรับตัวจากยุคก่อนหน้านี้ประมาณนึง เพราะว่าศิลปินสมัยนี้เขาแทบจะใช้ชีวิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอินเทอร์เน็ต ทุกคนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกผ่านจากตรงนั้นกันหมดแล้ว
คิดว่า YouTube เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เพลงที่เป็นที่นิยมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไหม
ยานนิส: ครับ อาจจะไม่ใช่แค่ YouTube แต่ทุกโซเชียลมีเดียกับสตรีมมิงได้เปลี่ยนพฤติกรรมคนฟังไปหมดเลย ทุกวันนี้เราจะได้ยินเพลงที่มีความป๊อปมากขึ้น มีวงป๊อปออกมาเยอะ การทำเพลงเดี๋ยวนี้คือเป็นอะไรที่มาไวไปไวมาก ๆ ฮิตเปรี้ยงแต่ก็ประเดี๋ยวประด๋าว คนมีความจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งได้ด้วยระยะเวลาที่สั้นลง แล้วช่องทางพวกนั้นทำให้เราฟังเพลงแบบสะเปะสะปะกว่าเดิม ซึ่งมันส่งผลมาก ๆ ที่ทำให้แนวเพลงที่นิยมเปลี่ยนไป
อะไรเป็นสิ่งที่แตกต่างใน Everything Not Saved Will Be Lost Part 1 และ Part 2
จิมมี่: หลัก ๆ เลยก็คืออัลบั้มแรกจะมีซาวด์คีย์บอร์ดเยอะกว่า ส่วนอัลบั้มสองจะเป็นกีตาร์เยอะกว่าครับ
อะไรเป็นแนวคิดที่ทำให้แนวเพลงของแต่ละอัลบั้มเปลี่ยนไปจากเดิมตลอด ๆ
ยานนิส: ตอนเราเริ่มทำวงเราตั้งโจทย์ไว้เลยว่าอยากให้เพลงเป็นแบบไหน เราจะเลือกเปลี่ยนที่อัดเพลงตลอดเพื่อให้ได้ซาวด์แบบที่ต้องการ เพราะแต่ละที่ที่เราเลือกไปมันจะให้บรรยากาศของเสียงที่ต่างกัน ก่อนหน้านี้เราตั้งใจให้มีซาวด์แบบเดียวที่ฟังดูเป็นเอกลักษณ์ จนกระทั่งเรารู้สึกว่าอยากจะเขียนเพลงที่ได้สื่อสารเกี่ยวกับชีวิต ถ่ายทอดเรื่องราวด้านอื่น ๆ ของวงที่คนไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง มันก็เริ่มเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติของแต่ละอัลบั้ม
คนได้ฟัง Part 1 กันไปแล้ว ใน Part 2 อยากจะเล่าเรื่องอะไรอีก
ยานนิส: เรานำเสนออีกด้านของ Foals ที่ไม่ค่อยใส่เข้าไปในพาร์ตแรก ก็จะมีกีตาร์เยอะขึ้น ให้ความรู้สึกถึงดนตรีสดมากขึ้น แล้วก็เนื้อเพลงในพาร์ตแรกจะเริ่มมีความดาร์ก ดูสิ้นหวังกว่าเพลงอื่น ๆ เหมือนให้การได้ฟังเพลงในพาร์ตสองได้ความรู้สึกของการพยายามเอาตัวรอด ซึ่งถ้าฟังต่อกันมันก็จะเชื่อมอารมณ์ได้ต่อเนื่องกันพอดี
ได้ร่วมงานกับ Brett Shaw โปรดิวเซอร์ในการทำอัลบั้มนี้ เป็นไงบ้าง
แจ็ค: เบรตเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วสนุกครับ เขาไม่ค่อยชี้นำอะไรเราเท่าไหร่ เราก็เหมือนต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไรในการตัดสินใจต่าง ๆ ดีกว่าต้องรอพึ่งให้ใครมาคอยบอกว่าเราควรทำอย่างงั้นอย่างงี้ เบรตก็ทำงานในส่วนของเขาได้ดีครับ แล้วก็เป็นคนดีมาก ๆ ที่เราเคยรู้จัก
ในอัลบั้มนี้ได้กลับมาทำ co-produce การทำงานในชุดนี้ต่างกับตอนทำ Antidotes ยังไงบ้าง
ยานนิส: ตอนทำอัลบั้มแรกเป็นอะไรที่แตกต่างมาก ๆ เหมือนตอนนั้นเราเริ่มเล่นสดก่อนที่จะเริ่มอัดเพลงทำเพลงกันอีก แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็เริ่มจากการเขียนเพลงขึ้นมาก่อน แล้วก็ไม่ค่อยไปเล่นสดที่ไหน มันก็เกิดไดนามิกที่ต่างกันแล้ว ยิ่งตอนนี้เรากลายมาเป็นวงสี่ชิ้น ยิ่งทำให้การเขียนเพลงของเราเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัวตาม ซึ่งผมว่าดีแล้วนะที่เราไม่ได้มีวิธีการทำงานแบบเดิม เพราะถ้าเราทำแบบเดียวกันตลอด 10 ปีมันก็จะไม่มีพัฒนาการอะไรเลย เหมือนมันเปลี่ยนแปลงไปเองตามธรรมชาติด้วย
อาร์ตเวิร์กของพาร์ตแรกกับพาร์ตสองมีความเชื่อมโยงกันยังไง รวมถึงมันสื่อถึงเพลงในอัลบั้มยังไงบ้าง
ยานนิส: ผมเจอรูปในอินเทอร์เน็ตอันนึงที่ชอบมาก แล้วก็แชร์ไปให้คนที่ทำงานร่วมกับเราจนเจอว่าใครเป็นเจ้าของภาพ แล้วรูปอันแรกคือเป็นเซ็ตที่ช่างภาพอยากนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไปจนถึงสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ซึ่งมันโยงพอดีกับเรื่องราวในพาร์ตแรกมาก ๆ เป็นอะไรที่เข้ากันพอดีโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจซะทีเดียวตั้งแต่แรก ส่วนพาร์ตสองด้วยความที่เนื้อหามันมีความตายอยู่ประมาณนึง ซึ่งตรงกับรูปไม้กางเขนอันนั้นพอดี เราสามารถเรียกชุดแรกว่าเป็น ‘ชุดปกแดง’ กับอีกอันเป็น ‘ชุดปกดำ’ ได้ การที่เราสามารถโยงสุนทรียะทางงานภาพเข้ากับเพลงได้เป็นอะไรที่เยี่ยมเลยครับ
แปลว่าตอนนี้ Foals ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงกังวลว่าในอนาคตโลกของเราอาจจะแย่ลงด้วย
แจ็ค: ใช่ครับ คือตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ให้ความสำคัญมาก ๆ มีความพยายามจะลดการใช้พลาสติก มีการวัดผลกระทบที่เกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เป็นเรื่องที่ดีครับที่ถึงจุดนึงผู้คนเริ่มเรียนรู้และตระหนักถึงตรงนี้
มุมมองในการทำเพลงของ Foals คืออะไร
ยานนิส: เราแค่สนุกกับการทำเพลงที่ให้ความรู้สึกสดใหม่และมองหาอะไรที่แตกต่าง รวมถึงสะท้อนตัวตนของเราเสมอ แล้วการเขียนเพลงเป็นอะไรที่เราหลงใหลเสมอ แล้วเราก็พยายามสื่อสารข้อความที่ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดประณีตกับมันมากขึ้น และสามารถดึงให้ผู้คนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กันมาอยู่ร่วมกันได้
คุณอยู่ในวงการมามากกว่าสิบปี และเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในอุตสาหกรรมนี้ พวกคุณมีวิธีการรับมือกับมันยังไงบ้าง
ยานนิส: เพลงของพวกเราเปลี่ยนไปเยอะมาก ๆ แล้วเราก็รู้สึกโชคดีที่สามารถปรับตัวจาก physical album มาสู่ตลาดสตรีมมิงได้ แถมเราก็มีฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่นอยู่แล้ว เราก็แค่ต้องตั้งใจทำเพลงให้ออกมาดี เล่นสดให้ดี เพียงแค่สองอย่างนี้แล้วมันก็พอจะทำให้คนฟังรู้สึกดีกับมันได้ เราพยายามจะไม่ไปคิดเยอะกับพวกกลไกตลาด ธุรกิจ เพราะถ้าเราเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นเมื่อไหร่ก็เหมือนลงไปจมโคลน มันเป็นสิ่งที่เราก็ไม่ได้ถนัดที่จะทำ สู้ตั้งใจทำเพลงดีกว่า
เป้าหมายของการเป็นนักร้องของคุณ
ยานนิส: ก็แค่ทำยังไงก็ได้ให้เสียงไม่หายครับ (หัวเราะ)
ขั้นตอนไหนในการทำเพลงที่คุณมีความสุขที่สุด
แจ็ค: ตอนเราเล่นดนตรีแล้วเกิดความเชื่อมโยงบางอย่างกับเพลง บางครั้งมันก็เกิดความรู้สึกกับดนตรีพวกนั้นมาก ๆ แล้วเวลาเอาไปเล่นสดมันก็เหมือนมีคนรู้สึกร่วมไปกับเรา อย่างเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนพวกเราได้กลับไปเล่นที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เรารู้สึกดีมาก ๆ
ยานนิส: ผมชอบตอนที่เราเขียนเพลงกัน แล้วตอนที่เกิดตัน จู่ ๆ ก็นึกอะไรออกขึ้นมาแล้วมันพรั่งพรูเต็มไปหมด ไอเดียมาจากไหนไม่รู้ แล้วผมรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ๆ ที่ทุกคนเองก็ตื่นเต้นไปกับมัน เหมือนได้ปลดล็อกบางอย่างในหัว แก้ปริศนาได้สำเร็จ พอทำเพลงเสร็จก็จะรู้สึกตื่นเต้นที่คนอื่น ๆ จะได้ฟังกัน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากในทุกครั้งที่ได้ทำเพลงใหม่และเราไม่เคยเหนื่อยเลย
เวลาเล่นสดติดกันหลาย ๆ วัน มีวิธีทำให้ตัวเองสดชื่นหรือหายเหนื่อยยังไงบ้าง
จิมมี่: แอลกอฮอล์ช่วยได้ครับ (หัวเราะ)
ยานนิส: เราเล่นมาร้อยกว่าโชว์ มันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้เราหายเหนื่อยและตื่นเต้นเสมอก็เหมือนที่แจ็คพูดแหละ คือการได้เล่นสด ๆ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ๆ ที่เพลงทำให้เราได้ไปในหลาย ๆ ที่ อย่างการมาเล่นกรุงเทพ ฯ ในคืนนี้ก็เป็นสิ่งที่พิเศษมาก แล้วมันเป็นอะไรที่ควรค่าแก่การจดจำ ควรค่าแก่การตักตวงจากมันให้ได้มากที่สุด มันเป็นความพิเศษของการเป็นนักดนตรีและได้เล่นดนตรีทุกวัน มันไม่มีคำว่าเบื่อแม้คุณจะรู้สึกเหนื่อย เรามองข้ามมันไปได้ในทันทีเมื่อเรารู้สึกยินดีที่ได้มีวิถีของร็อกแอนด์โรล (หัวเราะ)
แจ็ค: ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยคือเราจะต้องเตรียมตัวก่อนเล่นสองชั่วโมง ผมก็จะมีขั้นตอนที่ทำเป็นปกติเพื่อไม่ให้เป็นตระคริว บางทีเราก็จะเปิดเพลงแดนซ์ฟังให้รู้สึกตื่นตัว บางทีเวลาเราเหนื่อยคงไม่ใช่แค่นั่งหน้าคอมแล้วเลื่อนจอดูอะไรไปเรื่อย ต้องหาน้ำมาล้างหน้าหน่อย ไม่งั้นมันก็เหมือนเราไม่พร้อมขึ้นไปเล่น
เอ้า Foals พร้อมแล้ว ทุกคนล่ะพร้อมหรือยังที่จะไปสนุกกับเพลงฮิตของพวกเขาและงานจากอัลบั้มล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาสด ๆ ร้อน ๆ ใน Everything Not Saved Will Be Lost Part 1 เผลอ ๆ เราจะได้ฟังเพลงจาก Part 2 ที่หนึ่งในนั้นก็มี Black Bull ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย แล้วเจอกัน
อ่านต่อ
เต้นไปกับ Foals ในเพลงใหม่ ‘On The Luna’ ที่มาคู่กับ MV แบบ Lo-Fi สุดเพลิน