Iron & Wine ผู้ชายที่สะท้อนชีวิตอันดิบกร้านและเว้าแหว่งผ่านอัลบั้มล่าสุด Beast Epic
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
ก่อนหน้านี้เราเกือบจะได้พูดคุยกับ Sam Beam หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Iron & Wine ทางโทรศัพท์ แต่ด้วยความโลว์เทค ไม่เคยโทรข้ามประเทศ และคิวนัดตรงกับเวลาไทยที่เช้ามากกลัวเกิดความผิดพลาด (aka อิฉันไม่ตื่น) เลยขออ้อนวอนผู้จัด Medium Rare ให้ติดต่อสัมภาษณ์แบบตัวตัวไปเลยดีกว่า
และวันนั้นก็มาถึง เรามาเจอพี่แซมที่โรงแรม The Continent อโศก เขาลงลิฟต์มาเจอเราและทีมงานผู้จัด ชายร่างสูงไว้หนวดเคราแต่มีดวงตาและสีหน้าแสดงความจิตใจดีทักทายเรา หลังจากตกลงกันว่าจะขึ้นไปสัมภาษณ์ที่บาร์ชั้น 38 พี่แซมก็เดินไปกดลิฟต์และผายมือให้พวกเราเข้าไปก่อน แค่เจอกันครั้งแรกยังสร้างความประทับใจขนาดนี้แล้ว โชว์ของเขาในค่ำคืนนี้จะมีความพิเศษขนาดไหน
นี่เป็นโชว์แรกในกรุงเทพ ฯ ของคุณ คาดหวังว่าจะได้เจอกับอะไรบ้าง
ไม่คาดหวังอะไรเลยครับ ผมรอมานานมากเลยนะที่จะได้มาเล่นที่นี่ ซึ่งในที่สุดก็ได้มาจริง ๆ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ (หัวเราะ) จะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ด้วย
ทำเพลงมาก็ตั้งนาน รู้สึกยังไงที่มาดังพลุแตกเอาตอนที่เพลงถูกใช้ในหนังเรื่อง ‘Twilight’
เยี่ยมครับ (หัวเราะ) มันน่าสนใจนะเพราะเพลง Flightless Bird, American Mouth ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับแวมไพร์เลย แต่ก็ตลกดี ความที่มันเป็นหนังฟอร์มยักษ์เนี่ยแหละที่ช่วยผมได้มาก ทำให้คนรู้จักและชอบเพลงของผมเยอะขึ้นด้วย
ถ้ามีโอกาสเอาเพลงไปใช้ประกอบหนังอีก อยากให้เป็นเรื่องประมาณไหน
หนังที่ทุนสร้างที่แพงกว่าเรื่องนี้ครับ (หัวเราะ) ไม่รู้สิ ผมให้หนังหลายเรื่องเอาเพลงไปใช้เหมือนกันนะ การที่ผมเคยทำงานในโปรดักชันเลยรู้ว่าหลายกองไม่ค่อยมีเงินซื้อเพลงไปประกอบหนัง ดังนั้นเวลามีใครมาขอเพลงผมไปใช้ ผมก็ให้ง่าย ๆ เลย ยกเว้นแต่พวกโฆษณา อันนี้ผมจะระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องเป็นโฆษณาที่ดีด้วยผมถึงจะยอมให้
แล้วแบบนี้คิดถึงการทำหนังไหม
แน่นอนครับ จริง ๆ ตอนนี้ผมก็กำลังทำเรื่องนึงอยู่ เพิ่งเขียนบทเสร็จเลย คิดว่าอยากจะกระตุ้นตัวเองให้ทำเรื่องนี้เสร็จภายในเวลา 5 ปีครับ แต่เป็นหนังเล็ก ๆ แหละ คือผมไม่เคยทำหนังโปรดักชันใหญ่มาก่อนก็คงไม่มีใครไว้ใจให้ทุนผมไปทำ (หัวเราะ) ผมก็เลยเขียนบทเอง ประหยัดทุนกว่าด้วย ที่เหลือก็คือรอดูครับว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ส่วนเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับอะไรก็ขออุบไว้ก่อน แต่หวังว่ามันจะสนุกนะ
ทำไมถึงตั้งชื่ออัลบั้มล่าสุดว่า Beast Epic
ผมมีพจนานุกรมกวีครับ หรือจะเรียกว่า thesaurus ก็ได้ ชื่อเรียกตลกนิดนึง แต่จริง ๆ การมีอยู่ของมันคือมีประโยชน์มาก เวลาจะหาคำแปลก ๆ มาตั้งชื่ออะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็เปิดไปเจอคำว่า ‘beast epic’ เนี่ยแหละ มันแปลว่าเรื่องราวที่มีตัวละครเป็นสัตว์ที่พูดหรือใช้ชีวิตเหมือนคน อาจจะเป็นนิทานสอนใจอะไรพวกนี้ เคยได้ยิน ‘โกลดิล็อกกับลูกหมีสามตัวไหม’ อะไรประมาณนั้นแหละครับ พอลองคิดตามก็น่าจะสนุกดีนะถ้าสัตว์มันมีท่าทางเหมือนคนจริง ๆ ขณะเดียวกันคำนี้มันฟังดูแล้วก็มีทั้งความดิบกร้าน แข็งแรง อันตราย หรือชั่วร้าย ซึ่งอัลบั้มนี้มันค่อนข้างจะเป็นการสะท้อนหรือไตร่ตรองถึงชีวิตของผม เป็นเรื่องราวที่ดิบมาก ๆ อ่อนไหวมาก ๆ เกี่ยวกับจุดด่างพร้อยของความเป็นมนุษย์ ตัวละครในเพลงจะดูเว้าแหว่ง หลงทาง ชีวิตพังอะไรต่าง ๆ มันก็น่าจะเหมาะที่จะใช้คำนี้เพราะผมเปรียบให้เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของสัตว์ ซึ่งผมชอบความคิดที่ว่าสัตว์มันทำตัวเหมือนคนเนี่ยแหละ
ก่อนหน้านี้ผมจะใช้วิธีหยิบคำที่เห็นว่าเข้าท่ามาจากเนื้อเพลง อย่าง The Shepherd’s Dog ก็เอามาจากเพลง Wolves (Song of The Shepherd’s Dog) หลายเพลงในอัลบั้มนั้นจะมีความเป็นเรื่องเหนือจริงที่สะท้อนวัฒนธรรมอเมริกันที่จะหม่น ๆ หน่อย ลองนึกถึงหมาของคนเลี้ยงแกะมาพูดกับคุณว่า ‘ไม่เป็นไรนะ เลิกออกนอกลู่นอกทางได้แล้ว’ ประมาณนี้ครับ
ถ้าคุณเป็นตัวเอกของเรื่องเล่าเรื่องนึง คุณอยากจะเป็นสัตว์อะไร
ผมชอบว่ายน้ำ ผมจะเป็นปลา อาจจะฉลามมั้ง เพราะถ้าผมเป็นปลาเล็กกว่านี้ผมจะโดนปลาตัวที่ใหญ่กว่ากิน (หัวเราะ)
รู้สึกยังไงที่ทุกวันนี้มีแต่เพลงฮิปฮอปกับอิเล็กทรอนิกเต็มไปหมด คิดว่าถ้าหมดยุคเพลงพวกนี้แล้วจะมีอะไรมาแทนที่
ถึงผมจะไม่ได้ทำเพลงประเภทนั้นแต่ผมก็ชอบนะครับ ผมมีซินธิไซเซอร์สามเครื่อง เอามาใช้กับเพลงในอัลบั้มก่อนหน้าด้วย เล่นสนุกเลย แต่ส่วนใหญ่ก็เพื่อหาความคิดสร้างสรรค์เพิ่มเติมน่ะครับ เหมือนกับที่ผมวาดภาพนั่นแหละ รวมถึงพยายามหาเครื่องดนตรีแปลก ๆ มาใส่ในเพลง เหมือนอยากให้เพลงมีความผิดแผกไปจากเนื้อแท้ของมัน ซึ่งมันเวิร์กมากกับบางเพลงนะถ้าคุณอยากนำเสนออะไรใหม่ ๆ ผมว่าการมีมันก็เจ๋งดีครับ ส่วนบางเพลงที่เป็นอะคูสติกมาก ๆ ผมว่ามันก็เหมาะที่จะคงไว้อย่างนั้น เพราะเนื้อหามันคือการถ่ายทอดความรู้สึกจากข้างในของมนุษย์จริง ๆ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง เลยอยากให้มันมีความไม่สมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์มันไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์ถูกไหมครับ ถ้าใส่ซินธ์เข้าไปแล้วเพลงมันจะดูเนี้ยบ ดูคูลไปหน่อย ผมมองว่าไม่จำเป็นในการณ์นี้ แต่กับผมคงไม่ไปเอาจริงเอาจังกับเครื่องมือพวกนั้นหรือทำเพลงอิเล็กทรอนิกหรอก มันเหมาะกับศิลปินที่เชี่ยวชาญทางนี้มากกว่าผม สำหรับผมมันดูเนี้ยบไป และมีความเป็นโครงสร้างเป๊ะ ๆ จนเกินไปแบบที่ผมไม่ได้ต้องการให้เพลงของผมเป็น ส่วนฮิปฮอป มันเป็นเพลงที่เจ๋งดีนะ ถ้าถามว่าทำไมไม่ทำเพลงแบบนั้นทั้งที่ชอบ ตอนที่ผมนั่งลงเขียนเพลงขึ้นมาเพลงนึง ในหัวผมมันกลายเป็นสถานที่ที่เงียบมาก ๆ …แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ ผมยังไม่เคยลองเอาฮิปฮอปมาใส่ในเพลงผมเลย (หัวเราะ)
ส่วนในอนาคตผมไม่รู้เลยครับ แล้วแต่ว่าคนจะแห่กันไปทางไหน ร็อกก็เคยมีช่วงเวลาของมัน โฟล์กเองก็เหมือนกัน แจ๊สด้วย ซึ่งก็ยังมีคนทำเพลงพวกนั้นในทุกวันนี้อยู่นะ ผมว่าเราเริ่มเคยชินกับการมีของใหม่ผุดขึ้นมาแล้ว แทบจะตลอดทั้งชีวิตเราเลยมั้ง อย่างโพรเกรสซิฟร็อก หรือแม้แต่ฮิปฮอป เสียงใหม่ ๆ อย่างซินธิไซเซอร์ อันที่จริงของพวกนี้มันมีมานานแล้วแค่ถูกเอามาทำในรูปแบบใหม่ และมันอาจจะไม่ได้กลายเป็นตำนานแบบเมื่อก่อน เหมือนอย่างนวนิยายครับ มีคนเขียนนิยายดี ๆ ออกมาหลายเรื่องมากแต่ไม่มีเรื่องไหนที่เป็นที่จดจำแบบในอดีต ด้วยความที่มันมีเยอะมากเนี่ยแหละ กับเพลงก็เหมือนกัน ผมไม่พยายามมองหาสิ่งใหม่แล้ว ผมมองหาสิ่งที่ดีมากกว่าครับ
แบบนี้ความเป็นออริจินัลยังจำเป็นอยู่ไหม
ผมว่าสิ่งที่ควรจะมีคือ เพลงที่คุณฟังแล้วรู้สึกว่ามันสะท้อนตัวตน สะท้อนความรู้สึกของคุณ พอเป็นอย่างนั้นแล้วคนฟังของคุณจะรู้สึกได้เองว่าเพลงนั้นมันมีความออริจินัล เอาจริงว่าพวกจิตรกรเอกเขาก็ขโมยเทคนิคมาจากคนอื่นทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับแค่ว่าคุณจะเอาอิทธิพลนั้นมาปรับใช้กับงานของตัวเองยังไง คุณถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจะสื่อไปยังคนดูของคุณยังไง แล้วยังขึ้นกับว่าคนที่เสพงานของคุณจะเป็นใครบ้าง…
จากที่พูดมาทั้งหมดนี้ผมแค่จะบอกว่าความเป็นออริจินัลสำคัญครับ (หัวเราะ) แค่รู้สึกว่าออริจินัลมันเกิดขึ้นมาจากหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างเสียงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมานอกเหนือไปจากซินธิไซเซอร์ มันอาจจะไม่ได้มาในรูปแบบที่สดใหม่เสียทีเดียว แต่อาจจะเป็นเพลงบลูส์ที่ใช้อุปกรณ์ดนตรีอิเล็กทรอนิกบรรเลง…
ไม่รู้เหมือนกันแฮะ บางทีผมก็รู้สึกว่าคนให้ค่ากับความออริจินัลมากไปหน่อย แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังมองหาเสียงใหม่ ๆ ให้กับเพลงตัวเองอยู่ดี (หัวเราะ) ทุกคนมองหาสิ่งใหม่ที่ไม่เหมือนใครนั่นแหละครับ แต่มันจะกลายเป็นว่า ‘ใหม่สำหรับใคร’ อย่างเพลงของผมเนี่ย ลูกสาวของผมอาจจะคิดว่ามันใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือส่วนผสมของสิ่งที่ผมได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมมั่นใจเลยว่าถ้าพ่อแม่ของผมได้มาฟังท่านก็จะบอกว่าเหมือน The Beatles เลย มันไม่ออริจินัลสักนิด แต่มันสะท้อนตัวผม มีแรงสั่นสะเทือนทางความรู้สึกกับผม นั่นคือความออริจินัลสำหรับผมครับ
ทำไมถึงทำปกอัลบั้มให้เป็นลายปักรูปตัวคุณเองที่ถูกปิดตา มีความหมายอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่า
เพราะผมว่ามันเจ๋งดีครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะ มันคือเหตุผลเดียวกับที่ผมเลือกใช้เครื่องดนตรีอะคูสติกครับ ผมอยากให้มันได้ความรู้สึกของการทำมือ เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกจากมนุษย์จริง ๆ เพราะงานปักก็เป็นงานทำมือ ส่วนที่ปิดตามันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยครับ เหมือนชื่ออัลบั้ม Beast Epic ที่จริง ๆ ก็ไม่มีอะไร ทั้งหมดก็เพื่อให้คุณตีความไปต่าง ๆ ว่า เขาอาจจะเป็นคนกร่าง ๆ หรือเป็นคนที่แข็งแกร่ง การมีผ้าปิดตาก็อาจจะทำให้คุณคิดว่าเขาสามารถเล่นดนตรีได้ทั้ง ๆ ที่ถูกปิดตาอยู่ หรือว่าเขาตาบอดจริง ๆ มองไม่เห็นอะไรเลย หรือเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้วแต่จะตีความเลยครับ
เกือบ 20 ปีแล้วที่คุณทำเพลง รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ที่จริงตอนเริ่มแรกผมไม่รู้หรอกนะว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมปล่อยให้ชีวิตมันเป็นของมันไป แค่รู้สึกว่ามันยังมีดนตรีใหม่ ๆ ให้ผมไปค้นพบ ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้ค้นพบมันแล้ว ตลอดเวลานั้นก็มีทั้งสิ่งที่ทำให้ผมดีขึ้น หรือแย่ลง แต่ผมพยายามเรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้ จากประสบการณ์ จากการเดินทาง การได้พบเจอผู้คน มันทำให้ผมกลายเป็นอีกคน รวมไปถึงเกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงดนตรี เพราะผมเขียนเรื่องราวที่เปลี่ยนไปตามสิ่งที่ผมเจอ และผมพยายามซึมซับแนวดนตรีต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการให้เพลงออกมาเป็นแบบไหน เหมือนว่าในกระเป๋าของเรามีเครื่องมือเต็มไปหมดแต่ไม่ต้องหยิบมาใช้ทุกอันน่ะครับ ที่สำคัญคือตอนนี้ผมรู้สึกชอบเขียนเพลงมากขึ้นกว่าเดิม แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย (หัวเราะ) การที่ผมรู้สึกอยากจะเขียนอะไรออกมาก็ได้ตามที่ผมรู้สึกเหมือนเป็นของขวัญเลยฮะ มีแค่เสียงร้องกับกีตาร์แค่นั้นก็พอแล้ว
เพลงไหนที่อธิบายความเป็นตัวคุณได้ดีที่สุด
โอ้ ถ้าให้บอกว่าเพลงไหนทำให้คนรู้จักผมที่สุดก็คงเป็น Flightless Bird, American Mouth แหละครับ แต่ถามว่าเป็นผมไหม ก็ไม่ขนาดนั้น… ยากจัง ผมไม่ค่อยได้มานั่งวิเคราะห์ตัวตนน่ะครับ คือผมเล่นแทบทุกเพลงในอัลบั้ม บางเพลงก็เกี่ยวกับผมเอง บางอันเกี่ยวกับการพยายามไขว่คว้าหรือทำอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยทำ บางอันก็เหมือนงานประติมากรรมที่บรรจงปั้นขึ้นมาแบบจงใจ บางอันเกี่ยวกับความรัก ซึ่งมีทั้งการโหยหามัน และการสูญเสียมัน… ความยากลำบากในชีวิต ชีวิตมันเล่นตลกกับคุณยังไง หรือวัฒนธรรมสุดโต่งต่าง ๆ มันไปถึงขั้นนั้นได้ยังไง การหาที่สงบทางจิตใจสำหรับตัวคุณ ความเซอร์เรียลของสิ่งที่คุณไปพบเจอ เขียนเกี่ยวกับหลายเรื่องมากจนยากที่จะเลือกมาสักเพลงสองเพลงน่ะครับ ยิ่งผมมีเพลงเยอะมากขนาดนี้ด้วย (หัวเราะ) ไม่รู้สิ ต้องลองฟังแล้วมาบอกผมแล้วล่ะ
เคยคิดจะเขียนเรื่องการเมืองไหม มีประเด็นไหนที่สนใจเป็นพิเศษหรือเปล่า
ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องการเมืองตรง ๆ นะ ผมเขียนเกี่ยวกับคนและวัฒนธรรม ไม่ค่อยชอบเพลงโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda songs) มีคนทำเพลงพวกนี้เก่งเยอะนะ แต่ผมไม่ถนัดเลย ไม่ค่อยชอบบอกคนว่าคิดอะไรอยู่ ชอบเขียนอธิบายสถานการณ์ ความเป็นไปของชีวิต อยากให้คนได้ค้นหาความหมายของเพลงนั้น ๆ ด้วยตัวเองมากกว่า
แต่ผมก็มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนอยู่ ผมแค่เลือกจะไม่ใส่มันในงานศิลปะของผม มันไม่มีนโยบายอะไรที่น่าสนใจขนาดนั้นที่ผมจะเอามาเขียนเป็นเพลงน่ะ (หัวเราะ) อยากทำอะไรที่มันเรียบง่ายมากกว่านั้นครับ ผมไม่เชื่อใครเลยนะ ไม่ซ้ายไม่ขวา ผมเป็นมนุษยนิยมครับ (ยิ้ม) คือในอเมริกามันมีแค่สองพรรค เดโมแครตกับรีพับลิกัน คือถ้าไม่เลือกอันนี้ ก็จะต้องไปเลือกอันนั้น ผมว่ามันไม่ได้มีทางเลือกอื่นเลย แล้วผมก็ไม่อินกับใครเลยด้วย ก็… รู้สึกดีครับที่ผมไม่ได้เป็นนักการเมือง (หัวเราะ)
อะไรคือสิ่งที่คุณสนใจในช่วงนี้
ตอนนี้ก็ ชอบว่ายน้ำครับ ออกกำลังกาย วาดภาพ ทำอาหาร ใช้เวลาอยู่กับลูก ๆ พยายามทำให้ตัวเองยุ่ง ๆ เข้าไว้ (หัวเราะ)
คิดว่าทำเมนูไหนได้อร่อยที่สุด
ไม่รู้สิครับ การทำอาหารมันเหมือนงานศิลปะ เหมือนกับเพลงที่เราพยายามมองหาสิ่งใหม่ ๆ ลองทำอะไรใหม่ ๆ… ไม่ค่อยชอบตอบว่าอะไรคือที่สุดแฮะ แต่ผมชอบรสชาติอาหารไทยนะ มันดูมีชีวิตชีวา มันงดงามครับอาหารเอเชียนเนี่ย จริง ๆ มันมีร้านอาหารพม่าใกล้ ๆ บ้านผม ผมก็อยากทำให้ได้แบบนั้น… ไม่รู้สิ ผมก็แค่ชอบทำอาหาร ผมเป็นมังสวิรัติด้วย แล้วก็ชอบดื่มไวน์ ก็จะสนุกกับการจับคู่อาหารกับไวน์ แบบนั้นเองผมเลยชื่อ Iron & Wine (ยิ้ม)
สถานที่สุดท้ายที่อยากจะไปอยู่จนจบชีวิต และสิ่งสุดท้ายที่จะทำ
ริมทะเลครับ ผมรักชายหาด ผมชอบเดินทาง ชอบสร้างงานศิลปะ
คุณเป็นคนเลือกอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า
พยายามอยู่ครับ มันเป็นทางที่ดีสำหรับเราที่สุดแล้วแหละ ใช่ไหม (หัวเราะ) ผมสนุกกับการนึกถึงอดีต รวมถึงการจินตนาการถึงอนาคต แต่เพื่อไม่ให้จิตใจว้าวุ่นไปนัก การอยู่กับปัจจุบันคงจะเป็นการดีที่สุดครับ
พูดอะไรกับแฟน ๆ หน่อย
สวัสดีครับ ดีใจที่ได้เจอพวกคุณ รอไม่ไหวที่จะได้เล่นในคืนนี้แล้วครับ ในที่สุดมันจะเกิดขึ้นแล้ว
บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่คอนเสิร์ตของเขาจะเริ่ม ซึ่งหลังจากที่เราได้พูดคุยรวมถึงดูโชว์ของเขาก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าผู้ชายคนนี้พิเศษจริง ๆ ดีใจที่ได้คุยกันนะแซม