โชว์จบ อารมณ์ไม่จบ ชวน alt-J คุยกันอย่างออกรสถึงเคล็ดลับการทำเพลง
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Chavit Mayot
ยังไม่หายฟินกับ alt-J เลยขอชวนคุยถึงอัลบั้มใหม่และการแสดงสดครั้งแรกของพวกเขาที่กรุงเทพ ฯ
Relaxer ชื่อนี้มีที่มายังไง
ตามเนื้อเพลงของเพลง Deadcrush ที่อยู่ในอัลบั้มเลย แต่เราก็ไม่ได้ตัดมาใช้ตรง ๆ นะ คือเราหาแค่คำคำหนึ่งที่แทนเพลงนี้แล้วก็ภาพรวมเพลงทั้งหมดในอัลบั้มได้ ซึ่งเรารู้สึกว่า โอเค Relaxer ก็เข้าท่าดี
ทำไมอัลบั้มที่ 3 ถึงใช้เพลง 3WW เป็นเพลงเปิดอัลบั้มแทนการใช้ Intro อย่าง 2 อัลบั้มที่ผ่านมา
ผมคิดว่า 3WW เป็นเพลงที่เหมาะที่จะนำเข้าอัลบั้มที่สามของเรา เราไม่อยากจะยึดให้เป็นแพตเทิร์นขนาดนั้น คือเหมือนทำในชุดแรก ชุดสองมาแล้ว ชุดสามก็อยากเปลี่ยนบ้าง เราเขียนเพลงเปลี่ยนไปในทุกปี
อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปในเพลงชุดนี้ถ้าเทียบกับอัลบั้มที่ผ่านมา
คิดว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปแบบเห็นชัดเลยก็จะเป็น music score คิดว่านะ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่มันมีความผสมกันอยู่ระหว่างดนตรีคลาสสิก แล้วก็มีการใส่จังหวะเคาะ ส่วนเนื้อเพลงก็เป็นการเล่าเรื่องมากขึ้น อย่าง mv ก็มีการถ่ายทำให้มุมมองเหมือนภาพยนตร์มากขึ้น คือปรับทุกอย่างให้เข้ากับสิ่งที่เราอยากจะสื่อผ่านเพลงในอัลบั้มนี้
เพลง House of the Rising Sun ถูกทำให้แตกต่างจากเวอร์ชันของ The Animals ยังไงบ้าง
อย่างที่รู้กันว่าของ The Animals จะมีความเป็นโฟล์กอยู่ด้วย คือเราชอบเพลงนี้และอยากนำมาคัฟเวอร์ แต่ก็ไม่ใช่เล่นตามเป๊ะ ๆ เราก็เขียนเนื้อเพลงใหม่ เพราะเราต้องการเล่าเรื่องในแบบของเรา ไม่ได้ไปทำเหมือนเค้าเพื่อให้เกิดการตัดสินว่าสองเวอร์ชันนี้มันต่างกันแค่ที่คนเล่นหรือการอะเรนจ์
เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้ม Relaxer
ถ้าแสดงสดก็ชอบแนว opera rock แบบ Pleader แต่ละเพลงก็ชอบในส่วนที่แตกต่างกันไป
คิดว่ามีเพลงไหนที่ถูกเอามาเปิดในวิทยุมากเกินไปหรือน้อยไปบ้างไหม เช่น เปิด Breezeblocks บ่อยจังโว้ย
เอาจริงว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับจำนวนการเปิดเพลงของเราบนวิทยุนะ เพราะมันคือความชอบของแต่ละคน มันควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว บางทีมันก็เป็นช่วงเวลาของมันด้วย (สื่อ: ไม่มีแบบ Thom Yorke เอียนกับ Creep บ้างหรอ) ไม่นะ อย่างเราก็ไม่ได้อะไรกับ Creep เหมือนกัน อย่าง Breezeblocks มันก็เป็นงานที่ทำให้เราเป็นที่รู้จัก เป็นเหมือนพื้นเพของเรา เลยไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งมันไปน่ะ
พวกคุณมีเพลงไหนที่อยากแนะนำให้แฟน ๆ ฟังไหม เพลงอะไรก็ได้ เพลลิสต์อะไรก็ได้
ผมชอบ Marika Hackman เธอเพิ่งปล่อยอัลบั้มใหม่มาเมื่อปีที่แล้วเอง แล้วก็ Jimi Hendrix เพราะโตขึ้นมากับเพลงของเค้าน่ะ เพลงดี เผลอ ๆ เป็นศิลปินที่เซ็กซี่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 เลยด้วยซ้ำ ปฏิเสธไม่ได้เลย
แล้วเพลงที่ชอบฟังเวลาอาบน้ำล่ะ ชอบฟังประเภทไหน
คือพวกเราก็ไม่ใช่สายเพลงคลาสสิกขนาดนั้นเนอะ แต่พอพูดถึงแนวนี้ก็นึกถึง Steve Rice, Johann Sebastian Bach สำหรับอัลบั้มที่เหมาะมาก ๆ ที่จะเปิดฟังตอนอาบน้ำก็มี Philip Glass, Ravi Shankar, Passenger เพลงเค้าดี
พวกคุณจะทำยังไงถ้าอยู่ ๆ ก็เกิดตัน เขียนเพลงไม่ออก
เอ่อ ก็คงจะกังวลมั้ง… ไม่หรอก ถ้าอยู่ ๆ คิดไม่ออก เราจะไม่มองว่าเราตัน แต่จะคิดว่าเรายังไม่พร้อมที่จะพาเพลงนี้ไปถึงจุดหมายของมัน เราค่อนข้างค่อยเป็นค่อยไปกับการทำงาน เพราะงั้นเลยไม่กังวล อีกอย่างเราค่อนข้างอดทนด้วย สิ่งที่ทำคือรอให้แรงบันดาลใจมันเข้ามาหาเราเองมากกว่า
ถ้างั้นพวกคุณใช้เวลานานแค่ไหนในการทำเพลง ๆ นึงขึ้นมา
แต่ละเพลงมันก็ใช้เวลานานไม่เท่ากันนะ บางเพลงก็เร็วมาก บางเพลงก็ใช้เวลาสองสามปีเลย คือเราจะลองเขียน ๆ ไว้ว่ามีไอเดียอะไรบ้าง แล้วก็เอามาดูกันว่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
เวลาที่ alt-J ขึ้นแสดงในช่วงแรก ๆ พวกคุณมีความกังวลบ้างไหม
ถ้าเป็นการแสดงสดคงเป็นเรื่องเสียงที่รู้สึกกังวลนะ อาจจะรู้สึกกดดันหรือประหม่าบ้างแหละเวลาขึ้นแสดง แต่พอเล่นบ่อย ๆ มันก็ดีขึ้น อย่างที่เค้าพูดกันแหล่ะว่า ‘Practice makes perfect’ แต่เอาจริงเวลาเล่น เราจะมีความรู้สึกดีมาก ๆ เวลาที่มีคนสนใจในสิ่งที่เรากำลังทำ
การแสดงครั้งไหนที่ประทับใจคุณแบบไม่มีวันลืม
จริง ๆ เราไปเล่นมาหลายที่มาก แต่ถ้าให้ตอบคงเป็นครั้งที่เล่นในห้องนั่งเล่นในบ้านที่ Leeds อังกฤษ แล้วมีเพื่อนทั้งหมดของเรามาดู นั่นเป็นการเล่นต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกของเรา ซึ่งวันนั้นงานมันออกมาดีด้วย เรารู้สึกดีมาก ๆ
ตั้งแต่ทัวร์มา ชอบคอนเสิร์ตที่ไหนที่สุด
ตอนไปเล่นที่ Strathallan Castle (ปี 2558) รู้สึกแบบโคตรเจ๋ง เป็น venue ที่จุคนดูได้ประมาณ 4,000 คน แล้วมันมีปราสาทอยู่ข้างหลัง มีพวกแบบรูปปั้น หรืออะไรที่ดูแล้วเหมือนสมัยที่เขายังมีการประลองกัน กับตอนเล่นที่ Echostage เพราะมันจัดที่ Georgetown ก็วันนั้นแฟนของผมมาดูด้วย อีกอย่างจอร์จทาวน์เป็นเมืองที่เราโตขึ้น มันก็มีความคุ้นเคย เลยรู้สึกเป็นธรรมชาติดีเวลาเล่นที่นั่น (สื่อ: แล้วที่ Red Rock (ปี 2559) ล่ะ) อ่อ ที่ Red Rock นั่นก็เยี่ยมมาก
แล้วการไปดูคอนเสิร์ตครั้งไหนที่รู้สึกว่าดีที่สุดในชีวิต
สำหรับเราคือการได้ไปดู Django Django ที่ Ypsigrock Festival เมือง Sicily อิตาลี เป็นประสบการณ์ที่เจ๋งมาก
มีคนจำพวกคุณได้ไหมเวลาปรากฎตัวข้างนอก
อย่างตอนที่เราไปดูงาน Glastonbury ก็ไม่มีใครจำเราได้นะ เป็นเพราะ alt-J ไม่เล่น mv เอง แล้วก็ไม่ได้ใช้รูปตัวเองไปอยู่บนปกด้วย ฉะนั้นมันไม่แปลกเลยที่คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ซึ่งพวกเราก็ชอบนะ การที่พวกเราไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมาย คือมันส่วนตัว เวลาจะทำอะไรก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ยังไงก็ตามการที่คนเห็นแล้วแบบ จำได้ว่า เฮ้ย! คนนี้อยู่วงนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว สำหรับวงดนตรีอะนะ (หัวเราะ)
มีเหตุการณ์ประทับใจกับแฟน ๆ ในแต่ละประเทศไหม
แน่นอน เรามองว่าในเอเชียมันแตกต่างกันนะด้วยวัฒนธรรม ถ้าเรามาทางโซนนี้ก็จะได้ของขวัญเจ๋ง ๆ จากแฟนคลับ ที่จำได้ก็เป็นสร้อยคอ มีเฟอร์ ถุงลูกอมที่ใหญ่มาก ๆ แต่ถ้าเป็นโซนอเมริกาเวลาเราไปเล่นพวกเขาก็จะร้องตามสุดเสียงหรือไม่ก็มีอารมณ์ร่วมไปกับเพลงของเรามาก ๆ มีคนที่ร้องไห้ไปกับเพลงของเรา ส่วนโซนยุโรปก็จะดูกันเงียบ ๆ หน่อย
รู้สึกยังไงที่บัตรคอนเสิร์ตในกรุงเทพ ฯ ขายหมด
ประหลาดใจมาก เหนือความคาดหมายมากครับ ตื่นเต้นสุด ๆ ไปเลย
นี่เป็นการมาไทยครั้งแรกของพวกคุณ สำหรับคุณแล้วประเทศไทยเป็นยังไงบ้าง
เยี่ยมเลย ที่นี่มีอาหารอร่อย มีเบียร์ช้าง มวยไทย ของฝากก็เจ๋ง เราสนุกกันมาก แล้วอากาศก็ดีด้วย
เคยคิดเอาเครื่องดนตรีไทยรวมเข้าไปในเพลงของ alt-J ไหม
เอาจริงเรายังไม่รู้จักเครื่องดนตรีไทยเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง มีเสียงแบบไหน เอ่อ คงไม่ทำอะไรเอาใจแฟนขนาดนั้น เราว่ามันคงสนุกถ้าทำแบบนั้นนะ ถ้ามีเวลา แต่ก็… ใช่ เราสนใจในเครื่องดนตรีไทยนะ อยากรู้เหมือนกัน
แล้วเครื่องดนตรีไหนที่เป็นอิทธิพลในการสร้างเพลงของคุณ
เอ่อ… คิดว่าไม่น่าใช่เครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่นั้นนะ น่าจะเป็นวิชวลหรือภาพ อะไรที่ใช้การมองเห็น นั่นเป็นสารที่เราใช้ช่วยสื่อไปยังแฟน ๆ
นี่เป็นอัลบั้มที่ 3 ของ alt-J แล้ว ยังได้ยินคนบอกว่าคุณเป็น Radiohead ยุคใหม่อยู่อีกไหม
หึ ๆ (ขำแห้ง) เรายังไม่เคยเจอใครพูดว่าเราเป็น Radiohead อีกวง แต่ถ้าได้ยินก็ปลื้มอยู่นะ Radiohead นี่แบบ งานคราฟต์ แต่ถ้าบอกว่าเราก็อปเขามานี่คงแย่กว่า เพราะแนวเพลงนี่แทบไม่เหมือนกันเลย เราค่อนข้างมีแนวทางของตัวเอง
รู้สึกยังไงที่เพลงไปอยู่ในเกม FIFA 2018
รู้สึก… แม่งเจ๋งว่ะ ถ้าเพลงทีได้ไปอยู่ในเกม ในหนังอะไรประมาณนี้ แต่ผมก็ไม่ได้สายเล่นเกมจริงจัง ส่วนตัวรู้สึกว่ามันมีบางเพลงที่เล่าบรรยากาศวัยเรียนของคน ๆ หนึ่งได้ อย่างเราจะมีเพลงที่ฟังจากเกม Tango Fiesta ใน PlayStation พอฟังเมื่อไหร่ก็นึกถึงตอนเล่นเกมนี้กับเพื่อน นึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ตอนนั้น เพราะงั้นเลยคิดว่าเพลงที่อยู่ในเกม มันจะเข้าไปเป็นความทรงจำของคน ๆ นึงได้ ไม่รู้ว่าตอบตรงคำถามไหมนะ
พูดถึงเกมของวงใน http://altjband.com/ มีฉากที่ alt-J กินพาสต้า
อ๋อ คือเราอยากให้มันมีบรรยากาศการทำอัลบั้มของเราลงไปในนั้นด้วย แบบเราไปกินกลางวันที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็ก ๆ ระหว่างพักจากการทำเพลงในสตูดิโอ ก็นั่นแหล่ะ เลยใส่ฉากนี้เข้าไปด้วย
ขอแนะนำการทำเพลงสำหรับวงดนตรีใหม่ ๆ
ไปหาแรงบันดาลใจ ไปดูงานศิลปะของคนอื่น ๆ อ่านหนังสือ ดูหนัง ไปแกลลอรี่ ฟังสิ่งที่อาจารย์สอน (หัวเราะ) คือเค้ารู้มากกว่าคุณไง (หัวเราะ) ต้องมีความสนใจในการทำเพลง แล้วความสนใจนั้นจะเติมเต็มตัวคุณเอง หยิบกีตาร์มาแต่งเพลง แรงบันดาลใจมาจากการออกไปหา คุณต้องตั้งใจทำงานเพลงให้เต็มที่มากกว่าเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบบ ต้องดูแลแฟนเพจยังไง พวกแบรนด์อะไรแบบนี้ คือมันจะดีเองถ้างานคุณดี เพราะฉะนั้น ทำงานให้หนักเข้าไว้