Shepard Tone การออกแบบเสียงหลอนหูที่ทำให้ฉากในภาพยนตร์ลุ้นระทึกมากขึ้น
- Writer: Nattapat Suthapornpat
สำหรับใครที่ได้ดูหนังของ Christopher Nolan ไม่ว่าจะเป็น ‘Dunkirk’, ‘Batman’ หรือ ‘The Prestige’ น่าจะเคยได้ยินเพลงประกอบหนังซาวด์อลังการผ่านหูมาบ้าง โดยเฉพาะในฉากที่กำลังลุ้นอะไรสักอย่าง เพลงประกอบที่ใช้การออกแบบเสียง Shepard Tone มีส่วนช่วยอย่างมากในการบีบเค้นอารมณ์คนดูให้ลุ้นระทึกขึ้นไปอีกขั้น
ก่อนที่จะไปอ่านว่า Shepard Tone คืออะไร อยากให้ลองฟังวิดิโอนี้กันก่อน
Shepard Tone คือ การสร้างเสียงลวงหู (auditory illusion) ที่เกิดจากการทับซ้อนกันของคลื่นเสียงที่ต่างกันเพียงหนึ่ง octave โดยเสียงกลางจะใช้ระดับเสียงที่คงที่ออคเตฟเสียงสูงจะค่อย ๆ เฟดเสียงออก เบาลงเรื่อย ๆ ส่วนออคเตฟด้านล่างจะค่อย ๆ เฟดเสียงเข้ามา เพื่อให้ดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยทั้งหมดจะเล่นพร้อมกันและวนสเกลต่ำไปสูงหรือสูงไปต่ำก็ได้ เมื่อหูของเราได้ยินเสียงอย่างน้อยสองโทนเพิ่มขึ้นในระดับเสียงเดียวกันตลอดเวลา ประสาทการรับรู้ของเราจะผิดแปลกไป คนฟังจะรู้สึกเหมือนกับว่าสเกลดนตรีสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเสียงหลอน ๆ ยิ่งในหนังเรื่อง ‘Dunkirk’ ยิ่งเห็นได้ชัดว่าสกอร์หนังของ Hans Zimmer มีการใช้ Shepard Tone ในการออกแบบสกอร์หนังเป็นหลัก พอเอามาประกอบกับฉากน่าตื่นเต้นในหนัง ก็ยิ่งดูแล้วบีบหัวใจ แถมยังเหมาะเจาะกับพล็อตหนังของโนแลนที่ชอบเล่นเกี่ยวกับเรื่องเวลา ความฝัน และความทรงจำอีกด้วย
ถ้าหาก Shepard Tone ถูกเอามาเล่นต่อเนื่อง มันจะเรียกว่า Shepard-Risset glissando เป็นการเชื่อมท่อนดนตรี ทำให้มีเสียงหลอนหู ฟังแล้วรู้สึกว่าเพลงมันไม่รู้จบ เปรียบเสมือนไฟหมุนหน้าร้านตัดผมที่หมุนไปเรื่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ไปไหน ทำให้มันเหมาะที่จะนำมาประกอบในฉากภาพยนตร์เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ Shepard Tone ยังถูกเอาไปใช้เพื่อออกแบบเสียงเร่งเครื่องของ Batpod มอเตอร์ไซค์ของ Batman ด้วย
Colorado Springs ซาวด์แทร็คภาพยนตร์เรื่อง ‘The Prestige’ โดย David Julyan ก็มีการใช้ Shepard Tone เช่นกัน
แต่จริง ๆ แล้ว หลักการนี้ไม่ได้ใช้กันแค่ใน แวดวงภาพยนตร์แต่อย่างเดียว ยังมีทั้งวงดนตรี และเกมที่ใช้หลักการนี้กันมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
เสียงขึ้นบันไดในเกม Super Mario 64 เมื่อปี 1996
ตอนจบเพลง Echoes ของ Pink Floyd เมื่อปี 1971
อ่านต่อ
เสียงภายใน BMW รุ่นใหม่ ออกแบบโดย Hans Zimmer นักแต่งเพลงระดับโลก