My ears, my hoops เรื่องหนักหูของต่างหูห่วง
- Writer: Montipa Virojpan
เมื่อเช้าเราได้อ่านบทความนึงของ i-D เกี่ยวกับเรื่องต่างหูห่วงที่หลายคนมีไว้ในครอบครอง แม้ในบ้านเราจะเริ่มซา ๆ ไปบ้างแล้วเพราะเริ่มมีต่างหูรูปทรงแปลก ๆ ผุดขึ้นมาหลายเจ้า แต่ที่ต่างประเทศเทรนด์ต่างหูห่วงนี่กำลังเป็นที่นิยมบนรันเวย์เลยล่ะ ทว่ามันดันเกิดประเด็นถกเถียงขึ้นมาเมื่อคนที่ใส่เป็นนางแบบผิวขาว ทำให้ชาวผิวสีบางคนไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะมองว่านี่เป็นเพียงการปลุกกระแสแฟชันอันฉาบฉวยของเหล่าดีไซเนอร์ high end ที่ไม่ได้ทำให้เกิดความตระหนักถึงรากของวัฒนธรรมที่มาจากคนผิวสีเท่าที่ควร
แต่คนเขียนก็บอกอีกว่า ความจริงแล้วต่างหูห่วงเป็นเครื่องประดับท่ีมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ กรีก-โรมัน หรือแม้แต่ชาวเอเชียเราในสมัยสุเมเรียน (เดี๋ยวนี้คืออิรัก) อินเดีย เวียดนาม ก็ใส่กันมานมนานแล้ว แค่มันอยู่ในรูปแบบที่ต่างกันไปและไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาเป็นภาพชัดแบบที่คนผิวสีเขานิยมใส่กัน ซึ่งได้อิทธิพลมาจากผู้มีบทบาททางสังคมฝ่ายหญิงในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวสิทธิคนดำตอนปี 60s ที่มีการใช้ความรุนแรงและได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่บ่อยครั้ง (ให้ว่ากันตามตรงก็คือสมัยนั้นเริ่มมีสื่อที่กว้างขวาง ทำให้เราเห็นภาพจำมากกว่าตอนยุคโบราณแน่นอน)
พวกเธอยังเชื่ออีกว่าการแต่งกายด้วยต่างหูห่วง แอฟโฟร ผมเปียติดหัว (cornrows) ต่างก็เป็นการแสดงออกถึงเสรีภาพจากการเคยตกเป็นทาสในยุคก่อนหน้านั้นด้วย เพราะมันนำเสนอถึงความเป็นอัตลักษณ์ทางพันธุกรรมและวัฒนธรรมที่มีมาช้านาน ซึ่งมันก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงโกรธเคืองกันนักหนาเวลาคนขาวเอาไปใส่แล้วดูเก๋ในสังคมที่ผิวขาวเป็นใหญ่ แต่พอคนผิวสีหรือกลุ่มละตินหยิบไปใส่เองจะกลายเป็นไม่คูลและดูโลว์ไปซะงั้น ก็แอบพูดยากเหมือนกันเพราะในความ white supremacist (เหยียดคนดำ) มันก็มีความหวงแหนภูมิปัญญาไม่น้อยไปกว่าความน้อยเนื้อต่ำใจของชาวผิวสีทีไปเหยียดคนผิวขาวอยู่ด้วย ตามหลักจิตวิทยาที่มนุษย์จะเห็นคนลักษณะเดียวกันหรือเป็นพรรคพวกเดียวกันดีกว่าคนที่ดูเป็นอื่นเสมอ อย่างเรื่องราวของ Eminem ตอนที่เพิ่งลงสังเวียนแร็พใหม่ ๆ ก็ไม่ได้รับการยอมรับเพราะเป็นคนผิวขาว แต่พอทำได้ดีและพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้จึงผ่านด่านตรงนั้นไปได้
สุดท้ายแล้วแฟชันในสังคมหนึ่งมันก็ได้อิทธิพลมาจากอีกวัฒนธรรมที่ต่างจากเราอยู่เสมอ
นอกจากการต่อสู้เรื่องเสื้อผ้าของคนผิวขาวกับคนผิวสีกันเองแล้ว ประเทศที่มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและเคร่งศาสนาอย่างคนอาหรับ ชาวแอฟริกาใต้ หรือชาวอินเดียนแดง เมื่อถูกเอาเครื่องหมายทางวัฒนธรรมมาสวมใส่ตามงานแฟนซีก็ถูกตีประเด็นเป็น racist แล้ว เช่นกันกับการที่ Lady Gaga เอาชฎาไปใส่ในคอนเสิร์ตบ้านเราเมื่อหลายปีก่อนก็เกิดดราม่ากันได้ สิ่งนี้มันบอกได้ว่าความศักดิ์สิทธิ์หรือคุณค่าต่าง ๆ มันอยู่ที่มุมมองและบริบทสังคมนั้น แล้วแต่ว่าจะมีความประณีประนอมต่อความแตกต่างเหล่านี้ได้หรือไม่ แต่ถ้ามีจุดมุ่งหมายในการล้อเลียนหรือจี้ปมความสูญเสียของชาวยิวด้วยการใส่ชุดนาซีอันนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
แต่ที่งงสุดในประเด็น racist คือ แม้กระทั่ง emoji ที่เป็นสัญลักษณ์ใช้กันในโลกออนไลน์ ที่ภายหลังได้ทำออกมาให้มีหลายสี ผู้ใช้จะได้เลือกใช้กันตามผิวสีที่แท้จริงของตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ แต่กลับมีผลสำรวจมาว่าคนผิวขาวเลือกที่จะใช้ emoji ที่เป็น default ตามเดิมเพราะกลัวจะไปโดนเรื่อง racist อีกนั่นแหละ เกิดเป็นคนผิวขาว แม้ในแง่ dimoplatic อาจจะมีสิทธิพิเศษกว่าชนชาติอื่น แล้วพอเป็นเรื่องยิบย่อยก็จะถูกโจมตีอยู่บ่อย ๆ เสมอจากสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำในอดีต แต่นี่มัน 2017 แล้วนะทุกคน!
กลับมาที่เรื่องแฟแช่นนน กันก่อนที่จะไหลไปไกลกว่านี้ จากที่เขียนมาข้างบน ตัวอย่างที่ยกมาเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายมันค่อนข้าง radical สำหรับคนกลุ่มนึง ด้วยความที่สภาพแวดล้อมหรือสิ่งที่เจอมาต่างกันเลยทำให้มีชุดความคิดที่ต่างกัน สิ่งหนึ่งอาจจะมีนัยยะในการต่อสู้ทางการเมืองสำหรับสังคมหนึ่ง แต่กับอีกสังคมหนึ่งมันก็เป็นเพียงเครื่องประดับที่ดูน่าสนใจกว่าที่พบเจอในสังคมของเขาเท่านั้นเอง
ตัดภาพกลับมาที่บ้านเรา เชื่อว่าคนผิวเหลืองอย่างเรา ๆ ก็ตระหนักเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมของทั้งเพศและเชื้อชาติเหมือนกันแหละ แต่ในบริบทที่ต่างกับเขาเราก็คงมองว่าต่างหูห่วงเป็นแค่ต่างหูห่วง ใส่แล้วสวยดี จบปึ้ง แต่สิ่งที่เราจะโดนไม่ใช่ว่าเรื่องไปเหยียดใคร แต่เป็นการโดนแซะว่า อ้าว อินี่ใส่ต่างหูห่วงอีกแล้ว เกร่อไปหมด หรือในช่วงนึงการที่แห่กันใส่ choker นี่อยากเป็นเด็ก 90s หรอ เรื่องที่เคยแซวหนุ่มซีนอินดี้ที่แต่งตัวเหมือน copy & paste กันมานี่ก็ขำ ๆ นะ เพราะเราก็รู้ว่าทุกคนก็มีสิทธิในร่างกายและเลือกสไตล์การแต่งตัวของตัวเองได้ เราชอบที่ i-D เขียนไว้ตอนนึงว่า ‘สุดท้ายแล้วแฟชันในสังคมหนึ่งมันก็ได้อิทธิพลมาจากอีกวัฒนธรรมที่ต่างจากเราอยู่เสมอ’ เพราะฉะนั้น ชอบแบบไหนใส่ ๆ ไปเถอะ เรื่องต่างหูห่วงก็อย่าได้แคร์ หูกู เรื่องของกูจ้า