Hip Hop and Drug Dealers : เรื่องยา ๆ ของผู้ค้าและผู้เสพในเพลงฮิปฮอป
- Writer: Geerapat Yodnil
ตอนนี้กระแสดนตรีฮิปฮอปกำลังถูกพูดถึงอย่างมากในบ้านเรา แต่รู้หรือไม่ว่าจังหวะแสนเร้าชวนโยกตัวเต้นแรง ๆ กับสไตล์การร้องที่เหมือนคนบ่น หรือ ‘แร็ป’ ของดนตรีชนิดนี้มีรากเหง้ามาจากเพลง disco rap ที่นิยมในกลุ่มชาวแอฟริกันอเมริกันในยุค 70s ก่อนจะถูกนิตยสารดนตรีเบอร์ต้นของโลกอย่าง Rolling Stone เรียกว่า hip hop ในช่วง 80s และกลายเป็นดนตรีในกระแสหลักเมื่อปี 90s ยาวมาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ความมหัศจรรย์ของสัมผัสสระของเพลงฮิบฮอป คือเนื้อหาที่เสนอความรุนแรงจากยาเสพติดในแบบที่ไม่ใช่เรื่องการ overdose เหมือนที่เล่าออกมาในดนตรีร็อกหรือป๊อป แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่าง ผู้ค้าและผู้เสพที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ (คาดว่าปัจจุบันน่าจะยังมีอยู่) กว่าจะเป็นวัฒนธรรมอันโด่งดังนี้เหล่าแร็ปเปอร์ต้องผ่านตัวไหนกันมาบ้าง ใครที่ ‘ยังไม่ได้นอน’ ก็ไปดูพร้อม ๆ กันเลย !
We Roll a Joint and Smoke it Until High …
ประวัติศาสตร์การพัวพันระหว่างยาและดนตรีฮิปฮอปเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงประมาณปี 80s โดยตัวยาที่สายเขียวรู้จักกันดีอย่าง ‘กัญชา’ (Marijuanna) แต่ก็ยังไม่ได้นิยมมากมายซะทีเดียว เพราะว่านโยบายทางการเมืองในเวลานั้นตึงเครียดในการปราบปรามยาเสพติดที่ไม่ได้มีฤทธิ์รุนแรงมากออกไปจากสังคมอย่างจริงจัง จนกระทั่งมาถึงปี 90s เราถึงมั่นใจได้ว่ามันเป็นที่พูดถึง (รวมถึงใช้) อย่างแพร่หลายจริง ๆ
ความนิยมของเจ้าหญ้าใบแฉกนี้พุ่งทะยานสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ วัดได้จากการเกิดขึ้นมากมายของซิงเกิ้ลและอัลบั้มที่พูดถึงกัญชากันเป็นว่าเล่น เช่น Cypress Hill (1991) ของ Cypress Hill และ The Chornic (1992) ของ Dr.Dre เป็นต้น มีการคิดสถติจริงจังออกมาแล้วพบว่าการเล่นกัญชาในปี 90s มีอัตราสูงกว่าปี 80s ถึงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์โดยวัดจากจำนวนเพลงที่พูดถึงกัญชาของทั้งสองปี
และตรงนี้เองที่เหล่าแร็ปเปอร์ผู้มีชื่อเสียงมากมายไม่ได้ตั้งใจที่จะ get high กันอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ธุรกิจเกิดขึ้นและกลายมาเป็นวัฒนธรรมในเวลาต่อมา โดยมีผู้บันทึกประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่าง Snoop Dogg ที่เริ่มขายกัญชาครั้งแรกตอนเรียนมัธยมที่ Long Beach Polytechnic High School โดยตอนแรกสนู๊ปไม่เคยถูกจับได้ว่ามีประวัติเรื่องการเป็นพ่อค้าเลยซักนิด (แต่เรื่องการสูบนั้นทุกคนก็น่าจะรู้กันดีเนาะ) จนกระทั่งดาราฮอลลีวูดสาวคนดัง Cameron Diaz เพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Lopez Tonight ตอนปี 2011 ว่าชั้นเคยซื้อกัญชาจากสนู๊ปด้วยแหละเธอ
อีกคนนึงที่เชื่อว่าขายกัญชามาก่อนคือแร็ปเปอร์ผู้นำแห่งฝั่ง east coast ที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่แค่ชื่ออย่าง Notorious B.I.G. โดยบิ๊กเริ่มต้นขายตั้งแต่อายุ 12 ก่อนที่จะลาออกจากมัธยมในอีกห้าปีต่อมา และกลายเป็นแร็ปเปอร์อาชีพด้วยการออกอัลบั้มแรก Ready To Die และก่อนที่จะถูกยิงตายด้วยอายุที่ยังน้อยเขาเคยมีประวัติพกโคเคนไว้ในครอบครอง หลังจากบิ๊กจากไปได้หนึ่งปี (1998) ยาตัวนี้คือผู้รับชื่อเสียงไม้ต่อจากกัญชา
Crack
โคเคนแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในวัฒนธรรมฮิปฮอปตอนปี 2000 หนึ่งในแร็ปเปอร์ที่โด่งดังที่สุดมากคนนึงของโลกอย่าง Jay-Z ก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ขายมันมาก่อน และเราจะขอเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งของเขาในย่อหน้าถัดไป
เจซีเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Vanity Fair ตอนปี 2013 ถึงปูมหลังอันดำมืดที่ตัวเองเริ่มขายโคเคนตั้งแต่อายุ 14 โดยไม่คิดจะปิดบังส่วนไหนเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันสอนให้เขาเติบโตมากขนาดไหน โดยเขาเริ่มขาย (และจริง ๆ คือเล่นเองด้วย) เจ้าผงขาวครั้งแรกตอนที่ลุงของเขาถูกฆ่าตายและพ่อก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับเลิกกับแม่ของเขาเพราะติดยาขนาดหนัก เจซีรู้ว่าแม่ของเขาเองรู้มาตลอดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่แต่ถึงกระนั้นเองเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ (เขาเสริมอีกนิดนึงว่านั่นคงเป็นเพราะเขาไม่ได้ทำมันอยู่หน้าบ้านให้เธอเห็น) แต่ในที่สุดเขาก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้พร้อมกับทิ้งท้ายข้อคิดทิ้งท้ายแสนเท่เอาไว้ว่า “You need to know what you can spend, what you need to re-up”
ในช่วงเวลาที่โคเคนกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในฉากหน้าของดนตรีฮิปฮอปนั้น ฉากหลัง ณ เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการทดลองขายและซื้อยาใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งในนั้นคือ ‘โคเดอีน’ (codeine) ที่ทางการแพทย์ใช้เพื่อแก้ไอและแก้ปวด แต่วงฮิบฮอปมีชื่อในตอนนั้นอย่าง Three 6 Mafia ได้เอาเจ้ายาตัวนี้ไปผสมกับสารอื่นจนเกิดเป็นยาเสพติดแบบใหม่ซึ่งให้เอฟเฟกต์การปิดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาโดยรู้จักกันในชื่อ ‘Sizzurp’ และกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของแร็ปเปอร์หลาย ๆ คน อย่างเช่น Lil Wayne เป็นต้น การมีทางเลือกของยาเสพติดมากขึ้นส่งผลให้การก่ออาชญากรรมอย่างการปล้นหรือโขมยของมีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลานั้น
(My) Molly Girl
หัวเรื่องในข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งที่เรายืมมาจากเพลง Molly Girl ของ Pee Clock เพราะตัวยาที่จะพูดถึงต่อไปนี้มีชื่อเล่นที่เหมือนกับสาวคนนั้นของเขาเลยล่ะ
หลังจากพ้นช่วงรุ่งเรืองของโคเคนและโคเดอีนมาได้ไม่นาน ปี 2000 ปลาย ๆ (ประมาณ 2009) เหล่าฮิปฮอปบอยแอนด์เกิร์ลผู้ค้าเสพทั้งหลายก็ต้องเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมเพื่อพบกับยาเสพติดกระแสนิยมชนิดใหม่ที่ชื่อว่า ‘MDMA‘ หรือชื่อไทยว่า ยาอี แต่ในวงการผู้เสพเรียกกันว่า ‘Molly‘ แต่มอลลี่ก็มีอายุไม่นานนักเพราะเริ่มถูกกำจัดอย่างจริงจังและค่อย ๆ หายไปในปี 2013
Depression Drugs
หลังจากยาทุกชนิดที่เราได้กล่าวมาข้างต้นกลายได้กลายเป็นทางเลือก (ซึ่งบ้างอาจจะเป็นกระแสหลักของใครบางคน) ยาที่ฮิตล่าสุดในปัจจุบันนับตั้งแต่ 2010 จนถึงตอนนี้คือยาในกลุ่มอัลปราโซแลม (alprazolam) ที่ชื่อว่า Xanax ต้องบอกก่อนว่านี่คือยาที่ทางการแพทย์ใช้เพื่อรักษาผู้อยู่ในสภาวะป่วยจากอาการซึมเศร้า ซึ่งพอหลังจากกินเข้าไปแล้วยาจะเปลี่ยนแปลงการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองมนุษย์ มีศิลปินฮิปฮอปสุดฮิบคลื่นลูกใหม่เพลงล้านวิวอัพจำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้เจ้ายาตัวนี้โดยให้เหตุผลว่าใช้ไปเพื่อสร้างสรรค์งานดนตรี (ขายรึเปล่าลองเอาชื่อไปเสิร์ชประวัติแล้ววิเคราะห์กันเอานะ) เช่น Tyler, The Creator, Young Thug, Future และ 2 Chainz เป็นต้น
ถ้าคุณได้อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้แล้วก็คงจะพอสังเกตเห็นได้ว่าตั้งแต่ความฮิตของกัญชาในปี 80s จากย่อหน้าแรก ๆ มาจนถึง Xanax ในย่อหน้าสุดท้ายทั้งตัวหนังสือและข้อมูลจะน้อยลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ ซึ่งนั่นสามารถอธิบายได้ว่าสถิติการใช้และขายยาเสพติดในวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอปนั้นค่อย ๆ น้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด (ขอออกตัวก่อนเลยนะว่าไม่ได้ขี้เกียจเขียนแต่อย่างใด) และสิ่งที่น่าดีใจของเรื่องนี้ก็คือแม้พวกเขาและเธอเหล่า gen ใหม่จะไม่ได้ใช้ยามากขนาดรุ่นพี่แต่ก็ยังสามารถทำเพลงดี ๆ ออกมาได้ไม่แพ้กันเลย : )
อ้างอิง
https://genius.com/a/drugs-in-hip-hop-a-30-year-analysis
http://www.nickiswift.com/5197/famous-people-used-deal-drugs/
https://www.thedailybeast.com/jay-zs-drug-dealers-anonymous-how-true-are-the-rappers-drug-dealing-claims
https://www.biography.com/people/biggie-smalls-20866735
https://www.projectknow.com/discover/hip-hop-drug-mentions/
https://www.unlockmen.com/history-of-hip-hop-style/