ความสัมพันธ์ที่แตกหัก นำมาสู่สงคราม และการล่มสลายใน Hiphop จากฝั่ง East Coast และ West Coast
- Writer: Geeraphat Yodnil
Hiphop ไม่ได้มีอิทธิพลต่อกระแสนิยมหลักอย่าง ดนตรี กีฬา แฟชั่น pop culture หรือการเมืองอีกต่อไป เพราะพลังที่มากล้นของมันได้ผลักดันจนตัวเองกลายเป็นกระแสนิยมหลักไปแล้ว — Hiphop Evolution (2016)
ทุกอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นจากวันที่ DJ Kool Herc จัดปาร์ตี้ hiphop ครั้งแรกในห้อง 1520 ของอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Sedgwick Avenue วันที่ 11 สิงหาคม 1973 ณ ย่าน Bronx มหานครนิวยอร์ก ที่ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นจุดกำเนิดออริจินอลฮิปฮอปตลอดกาล จนมาถึงการเกิดขึ้นของแร็ปเปอร์คนแรกของโลกภายใต้ชื่อ DJ Hollywood และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฮิปฮอปก็เต็มไปด้วยเรื่องราวกล่าวขานมากมายทั้งวัฒนธรรมที่น่าหลงใหล เรื่องยา ๆ ของ gangsters หรือความเป็นมนุษย์ที่ถูกลิดรอนไป ซึ่งหลายครั้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวด โศกเศร้า และดำมืดเหลือเกิน
ด้วยความหลงใหลส่วนตัว เราจึงขอเล่าสู่กันฟังถึงหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญมากที่สุดของหน้าประวัติศาสตร์ดนตรีฮิปฮอปที่ชื่อว่า ‘สงครามระหว่าง East Coast กับ West Coast hip hop’ ซึ่งมีตัวละครหลักเป็นตำนานแร็ปเปอร์อย่าง Tupac และ The Notorious B.I.G. ให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าใจว่ากว่าจะเป็นฮิปฮอปที่หลายคนต่างรักอย่างวันนี้ ในวันที่แล้วมาพวกเขาต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง
We are West Coast but you came from East Coast … What’s the different ?
การแบ่งซีนดนตรีของฮิปฮอปออกเป็น West Coast กับ East Coast นั้น (จริง ๆ มี Dirty South ด้วย) เกิดขึ้นจากลักษณะเฉพาะทางตัวเพลง ซึ่งแตกต่างด้วยวัฒนธรรมของที่อยู่อาศัยคนละมุมเมืองของทั้งสองที่
East Coast
ก้าวแรกของฮิปฮอปเริ่มขึ้นจากฝั่งนี้ ฝั่งซึ่งเป็นจุดกำเนิดของออริจินอลฮิปฮอป และแน่นอนอย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่าที่นี่คือเมืองบรูกลิน มหานครนิวยอร์ก … ในปี 1974 Granmaster Caz , Grandmaster Flash และ Africa Bambaataa คือผู้ต่อยอดการเปิดแผ่นเสียงของ DJ Kool Herc โดยการใช้ MC คอยแร็ปประกอบบีตขณะพวกเขาเปิดเพลงจากแผ่นจนกลายเป็นรากฐานการแสดงสดของเหล่าแร็ปเปอร์มาจนถึงทุกวันนี้ และหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี (ประมาณปี 1979) การบันทึกเสียงลงไวนิลครั้งแรกของประวัติศาสตร์ฮิปฮอปก็เกิดขึ้นที่นี่จากเพลงที่ชื่อ Rapper’s Delight โดยศิลปิน The Sugarhill Gang ถึงแม้เพลงนี้จะดังฟ้าถล่มดินทลายแต่ในสายตาเหล่าดีเจยุคแรกกลับมองว่าเป็นเพลงที่งี่เง่ามาก
นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นที่อยู่ของค่ายสำคัญอย่าง ‘Def Jam Records’ ภายใต้การดูแลของ Russell Simmons และ Rick Rubin (ผู้ชายคนเดียวกับที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ Red Hot Chili Peppers, Adele, Damien Rice, Lady Gaga และอีกมากมาย) ที่มีวงดังอย่าง Beastie Boys พังก์แร็ปทริโอผิวขาวเพียงกลุ่มเดียว หรือ Run-DMC สี่เต่าทองแห่งวงการแร็ปผู้ทำให้สไตล์ฮิปฮอปดั้งเดิมโด่งดังไปทั่วโลก และเมืองบรูกลินนี่เองคือบ้านเกิดของผู้นำ East Coast อย่าง The Notorious B.I.G หรือ Biggie Smalls
West Coast
พิกัดของฝั่ง West Coast นับลอสแองเจลิสเป็นที่ตั้ง โดยแรกเริ่มในช่วงประมาณ 1980 นั้น ซีนฮิปฮอปของฝั่งนี้ซาวด์จะมีลักษณะเป็นเทคโนฮิปฮอปอย่างเดียว หมายความว่าตัวเพลงและบีทจะให้กลิ่นแบบอวกาศ ๆ เจืออิเล็กทรอนิกเยอะ ๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีอิเล็กโทรฟังก์ ในเพลงไซด์โปรเจกต์ของ ดีเจ Africa Bambaataa ที่ชื่อ Africa Bambaataa & Soul Sonic Force
แต่สิ่งที่ทำให้ซีนดนตรีฝั่งนี้เป็นที่โด่งดังมากคือถ้อยคำแร็ปที่ถูกแต่งขึ้นจากวิถีชีวิตความรุนแรงในสลัม การเหยียดผิวของตำรวจ ยา และ gangster ซึ่งมีที่มาจากบ้านเกิดจริง ๆ ของพวกเขา โดยเฉพาะในเมืองทางใต้อย่าง Compton จุดกำเนิดของ N.W.A หนึ่งในกลุ่มแร็ปที่อาจหาญที่สุดในโลก (แนะนำให้ไปดูมหัศจรรย์วีรกรรมของพวกเขาใน ‘Straight Outta Compton’) อัจฉริยะแห่งยุคสมัย 00s อย่าง Kendrick Lamar ก็เกิดที่นี่ ค่ายเพลงประวัติศาสตร์ ‘Death Row Records’ ของโปรดิวเซอร์โคตรโหด Suge Knight ก็อยู่ที่นี่ด้วย
ถึงแม้จะไม่ได้มีศิลปินดังมากมายแบบฝั่ง East Coast แต่ที่นี่ทำให้ซีนดนตรีของฮิปฮอปถูกยกระดับขึ้นด้วยการสร้างคำแร็ปที่เต็มไปด้วยความหมายและจิตวิญญาณ และอีกหนึ่งตัวละครหลักของสงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่าง Tupac ก็เติบโตขึ้นจากที่นี่
Where , When , Why , War
เชื่อกันว่าสงครามระหว่างทั้งสองฝั่งเกิดขึ้นจากมิตรภาพที่ล่มสลายของชายสองคน ที่ยืนอยู่แถวหน้าของ West และ East คือบิ๊กกี้ กับ ทูพัค ใช่ครับ เขาทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่คำว่า ‘เคย’ ทำให้ต้องจำว่าตอนนั้นเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว
ทูพัค (Tupac Amaru Shakur) และ บิ๊กกี้ (Christopher George Latore Wallace) เกิดในช่วงปีไล่เลี่ยกัน ณ ชวงเวลาที่ฮิปฮอปกำลังก่อตัวขึ้น คนแรกเกิดปี 1971 ส่วนอีกคนเกิดปี 1972 แต่เส้นทางการเติบโตนั้นกลับต่างกันเหลือเกิน ในขณะที่ทูพัคเดินอยู่บนเส้นทางที่สว่างไสวโดยเริ่มเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุ 13 พออายุย่างเข้า 20 ก็ออก EP ชุดแรกและได้เซ็นสัญญาเข้าไปอยู่กับ ‘Interscope Records’ (Eminem , Dr.Dre ล้วนเคยอยู่ค่ายนี้) ในหนึ่งปีหลังจากนั้น แต่ชีวิตของบิ๊กกี้ในช่วงเวลานั้นกลับดำมืดต่างกันลิบลับ เขาเป็นหนึ่งในนักค้าโคเคน มีประวัติเสียมากมายทั้งอาชญากรรม ทำร้ายร่างกาย จนทำให้เข้าไปนอนอยู่ในคุกอยู่บ่อย ๆ ส่วนที่ดีที่สุดของเขาจึงหนีไม่พ้นความสามารถในการแร็ปที่จะถูกผลักดันให้เฉิดฉายในภายหลังกับที่เจอกับทูพัค
The First Met and The Green Vegetables
ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปี 1993 ด้วยเรื่องของธุรกิจ… เหตุเกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่ลอสแองเจลิส บิ๊กกี้ข้ามฝั่งมาที่ West Coast เพื่อติดต่องานกับพ่อค้ายาในท้องถิ่นของฝั่งนี้ ความบังเอิญคือทูพัคอยู่ที่นั่นด้วย คงเป็นเรื่องของความชื่นชมส่วนตัวที่ทำให้บิ๊กกี้ขอให้พ่อค้ายาคนนั้นช่วยแนะนำเขาให้กับทูพัคหน่อย
ด้วยเคมี ด้วยเวลาที่ใช่ จึงทำให้วันแรกหลังจากการพบกันเกิดวันต่อ ๆ มาขึ้น ทูพัคชวนบิ๊กกี้และเพื่อนของเขาให้มาที่บ้านส่วนตัวของตัวเอง … การเจอกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจแต่เป็นเวลาของการปาร์ตี้ ถุงแช่แข็งขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกัญชาของทูพัคถูกเปิดออกเพื่อการนี้โดยเฉพาะ “มันเป็นกัญชาที่เขียวที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย” Dan Smalls หนึ่งในเพื่อนของบิ๊กกี้หลุดปากทันทีที่ได้เห็นของ
ภาพหลังจากนั้นคงเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาได้ high และรู้สึกพริ้มมากแค่ไหน สิ่งที่ทูพัคนำออกมาสังสรรค์ต่อจากนั้นคือหยิบกระเป๋าสไตล์ทหารที่เต็มไปด้วยปืนจริงข้างในออกมาเล่นกัน (แต่ไม่ได้ยิงจริง ๆ นะ) คืนนั้นจบด้วยการเข้าครัวแสดงฝีมือเชฟของทูพัคและมิตรภาพของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น
Thug Life
ถ้าบิ๊กกี้เข้ามาในแคลิฟอร์เนียเขาก็จะมาสังสรรค์และนอนที่บ้านทูพัค กลับกันเมื่อทูพัคเข้ามาในนิวยอร์กบิ๊กกี้ก็จะต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ทั้งคู่สนิทกันมากโดยที่เราต้องขอเน้นย้ำคำว่า ‘มาก’ นั้นหมายความว่ามากจริง ๆ
เส้นทางชีวิตของทูพัค ณ เวลานั้น รุ่งโรจน์กว่าที่เราได้กล่าวไปในตอนแรกเยอะ เขากลายเป็นดาราฮอลลิวู้ดรุ่นใหม่ไฟแรง และแร็ปเปอร์เจ้าของยอดขายถล่มทลายบนตลาดเพลงโลก บิ๊กกี้ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมแต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปจากตรงนี้
ด้วยความหลงใหลในเพลงแร๊ปอยู่แล้วเมื่อมีคนเก่งอยู่ไกล้ตัวใครจะปล่อยโอกาสเรียนรู้นี้ให้ลุดมือไปล่ะใช่มั้ย? การกระทำของบิ๊กกี้ (และเหล่าเพื่อนผู้ติดตามของเขา) คือตามทูพัคไปที่ห้องอัดเสียงแล้วฟังวิธีการทำงาน การคิด ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นในหนึ่งเพลง เมื่อทูพัคเห็นถึงความตั้งใจนั้นจึงสอนบิ๊กกี้และเหล่าเพื่อนถึงวิธีการแต่งเพลงแร๊ปในแบบของเขา ในบรรดากลุ่มคนทั้งหมดในนั้นทูพัคให้ความสนใจกับบิ๊กกี้เป็นพิเศษ เขาไว้ใจบิ๊กกี้ขนาดที่ว่าให้ขึ้นไปเล่นในคอนเสิร์ตของเขาเลย ด้วยความผูกพันทำให้บิ๊กกี้บอกกับทูพัคว่าเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เรียกว่า ‘Thug Life’ ของเขา
Became ‘The Notorious B.I.G.’
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น บิ๊กกี้ได้รับข้อเสนอจาก Sean Puffy Combs ศิลปินจากค่ายซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการฮิปฮอปอย่าง ‘Uptown Records’ ผู้ที่กำลังวางแผนออกมาจากที่นั่นเพื่อเปิด ‘Bad Boy Records’ ค่ายของตัวเอง เขาเจอบิ๊กกี้จากเทปเดโม่ทำเองสมัยที่บิ๊กกี้ยังเป็นพ่อค้ายาอยู่ และแน่นอนว่าเขาถูกใจเสียงและถ้อยคำในนั้นเอามาก ๆ
แต่ใจของบิ๊กกี้อยากอยู่เป็นแร็ปเปอร์เคียงบ่าเคียงไหล่กับทูพัคจริง ๆ และเขาเป็นกังวลว่าค่ายที่พึ่งเปิดใหม่ของพัฟจะยังไม่พร้อมสำหรับเขา บิ๊กกี้จึงปรึกษาทูพัคถึงทางออกในเรื่องนี้ ส่วนคำตอบที่ได้กลับมาคือ “นายอยู่กับพัฟน่ะดีแล้ว เขาจะทำให้นายกลายเป็นที่โด่งดัง”
จากคำพูดนั้น บิ๊กกี้จึงเซ็นสัญญาเข้าไปอยู่กับพัฟ และออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Ready To Die ในปี 1994 พร้อมกับชื่อศิลปินว่า The Notorious B.I.G. กลายเป็นว่าบิ๊กกี้ทำให้ค่ายของพัฟกลายเป็นที่โด่งดังและจดจำมากที่สุดในซีนดนตรีฮิปฮอป 90s แต่เราเชื่อว่าตัวเขาเองคงผิดหวังอยู่ไม่น้อยที่ทูพัคปฏิเสธอ้อม ๆ ไปอย่างนั้น
Invincible Man
ในช่วงปีระหว่างปลาย 1973 – 1974 มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ทำให้มิตรภาพของทั้งคู่เริ่มสั่นคลอน หนึ่งในคือการ ‘อ้าง’ ความผิดให้บิ๊กกี้ของทูพัค เรื่องเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ณ แมนฮัตตันคลับ ทูพัคได้เจอเด็กหญิงอายุ 19 ชื่อ
ในครั้งแรกพวกเขากลับห้องสูทในโรงแรมของทูพัคไปด้วยกันแล้วก็จบแค่นั้น แต่สี่วันหลังจากนั้นเธอก็มาหาเขาที่โรงแรมอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามพวกเขา (มีทูพัค ผู้จัดการ Haitian Jack และผู้ไม่ระบุนามอีกหลายคน) ข่มขืนเธอ
และเมื่อทุกอย่างจบลง เธอก็แจ้งตำรวจ พวกเขาทั้งหมดโดนข้อหาทารุณกรรมทางเพศและมีอาวุธผิดกฏหมายไว้ในครอบครอง แต่ทูพัคอ้างว่าอาวุธเหล่านั้นเป็นของบิ๊กกี้ นอกเหนือจากทูพัคแล้วทุกคนที่เหลือทุกส่งเข้าคุกหมด ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว
Surprise Revenge
วันที่ 30 พฤศจิกายน 1994 ถ้าทุกอย่างจริงอย่างที่ทุกคนในเหตุการณ์วันนั้นพูด การแก้แค้นและแตกหักก็อยู่ตรงจุดนี้จริง ๆ … นั่นคือวันเดียวกันกับที่ทูพัคต้องไปอัดร้องรับเชิญให้กับเพลงของศิลปินที่ชื่อ Little Shawn จากคำเชิญของผู้จัดการของชอว์นอย่าง Henchman Rosemond ผู้สนิทสนมกับบิ๊กกี้และพัฟ (ซึ่งคงเป็นเหตุผลหลักที่ทูพัครับงานนี้)
ทูพัคมาที่ ‘Quad Recording Studios’ ในไทม์สแควร์ สถานที่นัดหมาย กับเพื่อร่วมงานอีกสามคน ไร้บอดี้การ์ดใด ๆ พอมาถึงก็รู้สึกประหลาดใจนิด ๆ เมื่อพบกับชายสามคนชั้นล่างของห้องอัดซึ่งแต่งตัวเหมือนกับทหารในเครื่องแบบเป๊ะ ๆ ที่มาพร้อมอาวุธปืน แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นบ้างกับเรื่องนี้เมื่อ Lil แรปเปอร์ในสังกัดของบิ๊กกี้มาตะโกนเรียก “ทุกคนอยู่ข้างบนแล้ว ขึ้นมาได้เลย”
ในขณะที่ทูพัคและเหล่าเพื่อนกำลังย่าวก้าวเพื่อจะขึ้นลิฟต์ไปอัดเสียงชั้นบนนั้น เหล่าทหารในเครื่องแบบที่ทูพัคโล่งใจว่าเป็นฝ่ายเดียวกันก็ออกคำสั่งให้พวกเขาทั้งหมดหมอบลงกับพื้น ด้วยสัญชาติญาณทูพัคเอื้อมมือคลำหาปืนพกที่เอาติดตัวมาด้วยเพื่อเตรียมปะทะ แต่ช้าไป …
ทูพัคและเพื่อน ๆ ถูกรุมกระทืบ ยิง และโขมยเหล่าเครื่องเพชรบนตัวของเขาไป สิ่งที่ทำให้พวกเขารอดตายมาได้คือการแกล้งตายอย่างเนียบเนียน จากนั้นเขาจึงพยายามขึ้นไปชั้นบนอีกเครื่องเพื่อขอความช่วยเหลือ เมือประตูลิฟต์เปิดออก สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ บิ๊กกี้ พัฟ และเฮนช์แมน ทูพัครู้สึกว่าพวกเขามองมาหาตนด้วยสีหน้าประหลาดใจและรู้สึกผิด แต่สิ่งที่พัฟพูดออกมาหลังจากนั้นกลับดูขัดแย้งและเย้ยหยันกันมากกว่า “Nothing but love and concern” และนั่นทำให้ทูพัคค่อนข้างมั่นใจว่ากระสุน 5 นัดบนตัวเขาไม่ได้เกิดจากความบังเอิญของการปล้นจากพวกโจร แต่ทว่าทั้งหมดถูกจัดฉากไว้แล้วถึงแม้ว่าบิ๊กกี้กับพัฟจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก็ตาม ในสายตาของทูพัคเขาเชื่อว่ากำลังโดนเพื่อนหักหลัง และความเชื่อใจที่ทูพัคเคยมีให้บิ๊กกี้ก็จบลงตรงนี้ “เขาเป็นหนี้ฉันมากกว่าที่จะเบือนหน้าหนีแล้วทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนั้น แกไม่รู้จริง ๆ เหรอไว้ใครยิงฉันคาบ้านเกิดของแก ฉันมั่นใจว่าไอคนนั้นมันต้องเป็นเพื่อนบ้านของแกแน่ ๆ”
Into The Jail With Himself
วันที่ 1 ธันวาคม 1994 กรรมที่ก่อไว้ย้อนมาเล่นงานทูพัค เมื่อศาลนำคดีของ Ayanna Jackson มาไต่สวนอีกครั้ง แม้จะเคยใช้เทคนิกพลิกแพลงรอดมาแล้วครั้งนี้ แต่ผลในครั้งนี้ปรากฏความจริงสู่สาธารณะว่าเขาผิดจริง และถูกสั่งจำคุกอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง สามารถประกันตัวได้ด้วยเงิน 3 ล้านเหรียญ
ณ ขณะที่ติดคุกอยู่นั้นทูพัคไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างไร เขาส่งข้อความไปหา Keisha Morris ภรรยา ณ เวลานั้นของเขา ให้ส่งข้อความไปหา Suge Knight (ผู้ก่อตั้งค่าย ‘Death Row Records’) เพื่อให้หาทนายเก่ง ๆ มาช่วยให้เขาหลุดออกไปให้ได้เพราะต้องรีบไปช่วยแม่ของเขาที่กำลังจะสูญเสียบ้านไป
ซูจ ส่งเงิน 15,000 ไปช่วยแม่ของทูพัค และยื่นข้อเสนอในแบบที่ไม่เคยยื่นให้ศิลปินคนไหนมาก่อน โดยเขาหาทนายมาช่วยทูพัคออกมา เพื่อให้ทูพัคตกลงมาเป็นศิลปินใน Death Row Records ซูจชักจูงทูพัคอ้อม ๆ และเสนอที่อยู่ใหม่ในครอบครัวที่ทรงพลังและไร้การควบคุมที่สุดของฮิปฮอป
Behind The Scene
เดือนสิงหาคม 1995 ทูพัคยังคงติดอยู่ข้างในคุก หลังจากที่ซูจไปเยี่ยมเขาในเดือนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าซูจกำลังคิดอะไรอยู่หรือมีแรงจูงใจอะไร เขาเริ่มรุกโจมตีพัฟกับบิ๊กกี้ที่อยู่ฝั่ง East Coast ทั้งบลัฟว่าค่ายห่วยแตกแบบนั้นใครจะไปอยู่ มาอยู่กับ Death Row ดีกว่า มิหนำซ้ำยังเคยชวนชวนบิ๊กกี้ให้มาทำการแสดงที่ Club 662 ซึ่งอยู่ในฝั่งของตัวเอง แต่โชว์กลับไม่เคยเกิดขึ้นจริงใด ๆ เป็นเพราะการแก้แค้นให้ฝั่งเดียวกันอย่างทูพัคเหรอ?
ถ้าพูดอย่างนั้นก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเยี่ยมทูพัค ณ เดือนสิงหาคมของซูจ คือบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เกลียดชังของทูพัค “ผมต้องการจะทำลาย Bad Boy Records ผมเชื่อว่าเขามีส่วนกับเหตุการณ์ตอนที่ผมถูกยิง” ซูจสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อเขาและรับปากว่าศัตรูของทูพัคก็จะเป็นศัตรูของเขาเช่นเดียวกัน หลังจากปีนั้น West Coast กับ East Coast ก็กลายเป็นศัตรูกันโดยสมบูรณ์
Gone Forever With Fire
ทูพัคถูกยิงอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 1996 ในลอสแองเจลลิสหลังจากที่ดูการชกของ Mike Tyson จบ และเสียชีวิตในหกวันถัดมาในโรงพยาบาล ด้วยวัยเพียง 25 ปี และในวันที่ 9 มีนาคมของปีถัดมา บิ๊กกี้ก็ถูกยิงในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านหลังจากไปปาร์ตี้ในลอสแองเจลลิสมา เขาเสียชีวิตทันทีในวัย 24 ปี ซึ่งเป็นช่วงห่างของอายุที่เท่ากับตอนที่ทั้งคู่เกิดและได้รู้จักกันเลย
การที่ไม่สามารถจับมือใครดมได้ทำให้ความแค้นของทั้งสองฝั่งยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะจากไปแล้วก็ตาม ยืนยันได้จากเหตุการณ์เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ที่ Snoop Dogg กับ The Game สองศิลปินตัวแทนจากฝั่ง West Coast ออกมาจัดงานมีตติ้งประชุมกับเหล่า gangster ในแอลเอเพื่อหาทางออกที่จะยุติความรุนแรงของทั้งสองฝั่ง ซึ่งงานในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกจัดขึ้น ในปี 1997 สนู๊ปเคยเป็นแกนนำจัดสุดยอดการประชุมที่มีเป้าหมายเพื่อหยุดความรุนแรงในสังคมดนตรีแร็ปทั่วโลกมาแล้ว โดยมีพัฟเป็นแกนนำร่วมด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งดูจะมีความหวังขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่การประชุมครั้งนั้น และเราก็หวังว่าจะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนรักอย่างทูพัคกับบิ๊กกี้จะไม่มีวันหวนกลับมาอีกครั้ง
“ผมไม่ต้องการพูดถึงเรื่องของเมื่อวาน ผมต้องการที่จะพูดถึงเรื่องในอนาคต , เราทุกคนต้องร่วมมือไปด้วยกัน , จับมือกันซะ ก้าวไปข้างหน้าในวันที่ความสงบสุขรออยู่ไม่ไกล” – Snoop Dogg
อ้างอิง
https://www.thoughtco.com/history-of-hip-hop-1925-to-now-2857353
https://www.theguardian.com/music/2011/jun/13/tupac-biggie-deaths
https://www.vice.com/en_us/article/gqkqz3/tupac-biggie-friends-to-foes
https://www.vice.com/en_us/article/nn3avk/the-geography-v8n10
https://curtismwest.wordpress.com/2012/04/15/how-hip-hop-music-differs-in-the-east-west-and-south/