ลองฟังดูดี ๆ คุณได้ยินข้อความแปลก ๆ ในเพลงเหล่านี้หรือเปล่า
- Writer: Montipa Virojpan
- Art Director: Tunlaya Longsurname
ลองฟังดูดี ๆ คุณได้ยินข้อความแปลก ๆ ในเพลงนี้หรือเปล่า
ย้อนกลับไปช่วงยุคคลาสสิกร็อกหรือยุคที่เพลงเฮฟวี่เมทัลกำลังเฟื่องฟูในอเมริกา คุณคงเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับคริสตจักรหรือหน่วยงานคุ้มครองเยาวชนต่อต้านเพลงร็อกอยู่ช่วงนึง เนื่องด้วยเนื้อหาในเพลงไม่เหมาะสม โดยองค์กรเหล่านี้เชื่อว่าคำหยาบคาย หรือข้อความที่พูดถึงเซ็กซ์ และยาเสพติดในเพลง เป็นการยุยงส่งเสริมให้เยาวชนประพฤติตนไปในทางที่ผิด แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เขาหวาดกลัวกันจนต้องเผาแผ่นเสียงหรือแบนเพลงร็อกไปเลยอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น
เพราะมันมีข้อความถึงซาตานซ่อนอยู่ยังไงล่ะ…
อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งตกใจกลัวไป มันก็คงเป็นความเชื่อนึงของคนหัวโบราณนั่นแหละ แค่คำหยาบคายมันจะไปพูดถึงซาตานได้ยังไงกันใช่มะ แต่แล้วก็มีมือดีที่นึกสนุกอะไรไม่รู้เอาแผ่นเสียงพวกนั้นมาเล่นย้อนกลับ พวกเขาถึงกับช็อกไปเลยเมื่อสิ่งที่พวกเขาได้ยินนั้นเป็นข้อความเกี่ยวกับซาตานจริง ๆ
แล้วเรื่องซาตานมันเกี่ยวอะไรกับการเล่นเพลงย้อนกลับ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Edward Alexander Aleister Crowley เขาเป็นผู้ที่มีความสนใจศึกษาเรื่องศาสตร์เร้นลับ และเป็นคนที่อินกับเรื่องซาตานมาก เรียกได้ว่าเป็น satanist ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนนึง ซึ่งเขาเป็นคนคิดทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาคือ “Law of Reversal” ที่กล่าวว่า ใครก็ตามที่ต้องการอำนาจ ชื่อเสียง มีความสามารถในการร่ายมนต์ และสามารถหยั่งรู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ให้ฝึกปรือการคิด พูด เดิน หรือเล่นเครื่องเล่นแผ่นเสียงย้อนกลับ อย่างจริงจัง คือเอาง่าย ๆ ว่าลัทธิซาตานมีกฎสำคัญว่า ทุกอย่างจะต้องทำย้อนกลับจากที่เป็นปกติ อย่างบทสวดอะไรก็ต้องสวดย้อนกลับ ไม้กางเขนต้องกลับหัว และต้องระลึกเสมอว่านรกเป็นสิ่งตรงข้ามกับสวรรค์ พระเจ้าคือด้านสว่าง ซาตานคือด้านมืด ต้องมีสัญลักษณ์ antichrist ไว้บูชา ซึ่งความเชื่อและการกระทำเหล่านี้ถูกห้ามไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล Deuteronomy หรือ เฉลยธรรมบัญญัติ 18 วรรค 9-14 กล่าวว่า การถวายบูชาบุตร การทำนาย และการใช้เวทมนตร์เป็นสิ่งต้องห้าม
“เมื่อท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน อย่าเรียนรู้ที่จะทำสิ่งพึงรังเกียจตามชนชาติเหล่านั้น ห้ามใครในพวกท่านยอมให้บุตรชายหรือบุตรหญิงของตนลุยไฟ เป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นโหร หรือเป็นนักวิทยาคม เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมด แม่มด หรือเป็นหมอพราย ทุกคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นที่รังเกียจแด่พระยาห์เวห์ และเพราะสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจึงทรงขับไล่พวกเขาไปพ้นหน้าท่าน ท่านจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าชนชาติเหล่านี้ซึ่งท่านกำลังจะไปยึดครองนั้น เชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านไม่ทรงยอมให้ท่านทำเช่นนั้น”
ซึ่งถ้ายังมีคนกล้าฝ่าฝืนสิ่งที่บัญญัติไว้ในไบเบิ้ล ก็แสดงว่าพวกนั้นเข้าข่ายการเป็นเหล่าสาวกที่รับใช้ซาตานอย่างแน่นวล!
ใครกันที่เป็นคนริเริ่มไอเดียการบันทึกเสียงแบบย้อนกลับ
ในสมัยที่ Crowley ยังเด็ก ๆ Thomas Edison ผู้ไม่ได้คิดค้นแค่หลอดไฟ แต่ก่อนหน้านี้เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงได้สำเร็จ ซึ่งวันนึงเขาก็ลองเล่นเครื่องบันทึกเสียงนั้นย้อนกลับแล้วก็พบว่า โอ้ว ถึงแม้เสียงที่ไม่ได้เล่นแบบปกติมันจะแปร่ง ๆ แต่มันก็ยังมีความไพเราะ มีเรื่องราวของมันอยู่นะ ซึ่งความจริงก็สามารถทำเสียงแบบนี้ออกมาให้ดีได้เหมือนกันถ้ามีคนลองสร้างงานใหม่ ๆ ให้เข้ากับเทคนิกการอัดแบบย้อนกลับที่ว่า และแล้วการทดลองนี้ก็แทรกซึมเข้ามายังวงการดนตรีโดยมีการเรียกเทคนิกอัดกรอเทปย้อนกลับนี้ว่า backmasking ซึ่งวงดนตรีที่ทำให้เทคนิกนี้เฟื่องฟูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ The Beatles นั่นเองจ้า ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการจะบูชาซาตานหรือสร้างความหลอนอะไรนะ มันเป็นความบังเอิญตอนที่ John Lennon กำลังเมาปุ๊นได้ที่แล้วเผลอกดอัดเสียงย้อนกลับระหว่างที่เล่นอยู่ พอเฮียตื่นมาได้สติก็ลองฟังเพลงที่อัดแล้วพบว่า นี่กูทำอะไรลงไป (เป็นการอุทานในทางที่ดี) แล้วก็รีบเอาไปให้คนอื่นในวงฟัง ทุกคนก็เห็นว่าแปลกใหม่ เข้าท่า เลยออกมาเป็นหลาย ๆ เพลงในอัลบั้ม Revolver เช่นไลน์กีตาร์โซโล่ในเพลง Tomorrow Never Knows และ I’m Only Sleeping
แล้วหลังจากนั้นในซิงเกิ้ล Rain ก็เป็นเพลงแรกที่พวกเขาได้ใส่ hidden message ลงไป แต่เสียงที่ออกมาก็เป็นเพียงการเล่นย้อนกลับของข้อความเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายแฝงนัยใด ๆ
“Sunshine, rain, when the rain comes, they run and hide their heads”
หลังจากนั้นได้ไม่นานก็มีทฤษฎีสมคบคิดเรื่อง “Paul McCartney ตายแล้ว” ออกมา ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการถกเถียงกันเกี่ยวกับข้อความลับในเพลง Revolution 9 ของ The Beatles ที่ท่อนนึงเวลาเล่นปกติจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอลองเล่นย้อนกลับจะได้ความว่า “turn me on, dead man”
กับช่วงก่อนที่จะเล่นเพลง Strawberry Fields Forever ก็เป็นคำที่พูดว่า “I buried Paul.” หรือช่วงระหว่างเพลง I’m So Tired และ Blackbird ที่เป็นเสียงงึมงำของจอห์นเป็นคำพูดประมาณว่า “Paul is a dead man. Miss him. Miss him. Miss him.” ซึ่งตอนหลัง PR ของทางวงก็ออกมาบอกว่าพอลยังไม่ตายโว้ยยยย ส่วนยุคหลังที่มีคลิปเสียงของจอห์นแบบแบคมาส์กออกมาอีกรอบนั้น พอลตัวเป็น ๆ ก็ออกมาพูดเองเลยว่าพวกเขาแค่ใส่ไปขำ ๆ ให้ตำนานที่ลือกันมันเป็นเรื่องตลกไปน่ะ เล่นเอาแฟนคลับ The Beatles กับแก๊ง reddit หรือนักสืบพันทิปยุคนั้นหัวปั่นไปพอสมควร
และแล้วความน่าสะพรึงก็ได้เกิดขึ้นในลำดับต่อมา คือมันมีอีกความเชื่อที่ว่าซาตานพยายามหาทางติดต่อกับมนุษย์ด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อส่งทอดบาปสู่พวกเรา การแบคมาส์กก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีนั้น ในยุคปลาย 70s จนถึง 80s ที่เหล่าวงร็อกเริ่มส่งสาส์นถึงซาตานกันแล้ว มีข่าวลือต่าง ๆ นานาว่าสมาชิกบางวงติดต่อกับองค์กรที่บูชาซาตาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสนับสนุน หรือพยายามส่งข้อความเหล่านี้เพื่อถ่ายทอดลัทธิไปยังผู้ฟังรุ่นใหม่ ๆ อย่างอันที่หลอนสุดเห็นจะเป็น Stairway to Heaven จาก Led Zeppelin
ท่อนที่ร้องว่า “If there’s a bustle in your hedgerow, don’t be alarmed now. It’s just a spring clean for the May queen. Yes, there are two paths you can go by, but in the long run; there’s still time to change the road you’re on. And it makes me wonder.” พอเรากดเล่นย้อนกลับปุ๊บ ข้อความที่ว่าจะกลายเป็นสิ่งนี้
“Here’s to my sweet Satan. The one whose little path would make me sad, whose power is Satan. He will give those with him 666. There was a little tool shed where he made us suffer, sad Satan.”
ทั้งข้อความแบบร้องปกติ และข้อความที่ถูกแบคมาสก์แล้วนำมาเล่นกลับก็ชัดมาก ๆ ทั้งคู่จนเราขนลุกไปหมด ไม่เชื่อก็ไปลองฟังดู ซึ่งความขนพองสยองเกล้านี้ก็ไม่ได้มีแค่เพลงเดียวเพราะยังลามไปยังเพลงร็อกและเมทัลอื่น ๆ อีก ทั้ง Eagles – Hotel California, Electric Light Orchestra – Eldorado และ Fire on High, Styx – Snowblind และ Chumbawamba – Look! No Strings!
เอาจริง ถ้าถามว่ามันเป็นเรื่องปกติไหมที่จะเจอสิ่งเหล่านี้ในเพลงทั้งหลาย บอกเลยว่าก็ธรรมดาเพราะหลาย ๆ วงหรือศิลปินป๊อปก็ตาม ที่เขาเอาไปทำแบคมาสก์ก็เป็นแค่ข้อความเก๋ ๆ ซ่อนไว้ ไม่มีอะไรมากมาย แต่ที่ต้องหลอนคือบางเพลงของศิลปินป๊อปก็มี subliminal message กับเขาด้วย ทั้ง …Baby One More Time ของ Britney Spears, Rihanna – We Found Love หรือ Paparazzi ของ Lady Gaga เชื่อว่าอิทธิพลนี้ก็ได้มาจากบรรดาวงที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ
แล้วบ้านเรามีเพลงแบบนี้อยู่บ้างไหม ตอบว่า มี! นี่ก็ช็อกเหมือนกันแหละที่รู้ว่า มี hidden message อยู่ในเพลงไทยของเราด้วย ทั้งเพลง ยาพิษ ของ Bodyslam ถามจันทร์ ของ 25 Hours หรือ ยิ้มเข้าไว้ ของ Clash โอ้หม่ายก้าด ชัวร์หรือมั่วนิ่มต้องไปลองฟังย้อนกันดูนะ
แต่ !!!
เอาจริง ๆๆๆ เลยเนี่ย บรรดา subculture ทั้งหมดที่เล่ามายาวเหยียดมันอาจจะเกิดมาจากการถูกหล่อหลอมภาพที่สร้างความน่ากลัวของซาตานจากสื่อต่าง ๆ ที่เราดูกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ พวกฉากที่โดนปิศาจสิงในหนังผีเฮี้ยนหลาย ๆ เรื่อง ก็อาจจะได้อิทธิพลมาจากการถูกโหมโดยกลุ่มเคร่งศาสนาช่วงนู้น ที่มักจะบอกว่าลัทธิหรือความเชื่อที่ผิดออกไปจากคำสอนกระแสหลักถือเป็นสิ่งนอกรีต เป็นอื่น ไม่ว่าจะเป็นซาตานหรือแม่มดก็ถูกตีตราว่าแสนจะเป็นบาป อันตราย ซึ่งในทางกลับกัน Church of Satan ที่ก่อตั้งโดย Anton Szandor LaVey ก็ได้บัญญัติความเชื่อในลัทธิซาตานว่าจริง ๆ แล้วมันคือการเชื่อในตัวเอง ทำตามความต้องการของตนเอง นับถือตัวเองและคนที่ควรนับถือ คือมีความเป็น individualism และเป็นไปตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ไม่ยึดมั่นยึดติดกับสิ่งที่มองไม่เห็น สรุปก็คือมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย ก็เป็นแค่ความเชื่อขั้วตรงกันข้ามกับศาสนาหลักที่ทุกคนนับถือกันในตอนนั้นเท่านั้นเอง
ปล แต่เพลงก็ยังน่ากลัวอยู่ดีว่ะ หรือไม่จริง ใครใจไม่แข็งให้ฟังกันเป็นหมู่คณะ นี่นั่งฟังอยู่กับทีมงานสองสามคนยังอดระแวงไม่ได้เลย ฮือ
ข้อมูลจาก
http://www.vh1.com/news/52612/15-songs-satanic-backwards-messages/
http://whatculture.com/music/20-popular-songs-with-creepy-hidden-messages
http://mentalfloss.com/article/28548/devil-wears-headphones-brief-history-backmasking
http://www.bbc.com/culture/story/20141003-the-hidden-messages-in-songs
http://amos37.com/lor/
https://www.biblegateway.com/passage/?search=Deuteronomy+18:9-14
https://www.bible.com/th/bible/174/deu.18.thsv11
http://www.newdmagazine.com/apps/articles/web/articleid/76910/columnid/5463/default.asp
http://uowrestling.forumotions.net/t378-topic