The 27 Club : ทางออกสุดท้ายของเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวผู้แสนเจ็บปวด (ตอนจบ)
- Writer: Geerapat Yodnil
- Photos: Amy Winehouse from Pitchfork, Kurt Cobain from SF Gate, Robert Johnson and Jim Morrison from Rolling Stone
อ่านบทความตอนแรกได้ ที่นี่
วันที่ 20 กรกฎาคม 2560 คือวันที่เรากำลังเริ่มพิมพ์สิ่งที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ และไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ วันนี้เป็นวันที่ Chester Bennington ฟรอนต์แมนแห่ง Linkin Park วงดนตรีที่เป็นกระบอกเสียงคอยชะล้างความเจ็บปวดและเป็นหนทางสู่กำลังใจของใครหลายคน ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ โดยที่พวกเราต่างรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป
แต่โชคชะตาก็ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถขีดเขียนกำหนดได้ดั่งใจ และความตายที่มาก่อนจังหวะเวลาที่ควรอย่างเหตุการณ์ในข้างต้นและอีกหลาย ๆ เหตุการณ์ของเหล่าสมาชิก 27 Club มักจะเป็นอะไรที่น่าเศร้าที่สุดเสมอ ซึ่งตอนที่ 2 นี้เราจะพูดถึง ‘ความเศร้า’ ที่เป็นเสมือนระเบิดเวลาของเรื่องเศร้าเหล่านี้กัน
เบื้องหน้าคือชื่อเสียง แต่เบื้องหลังคือความล้มเหลว
‘เปลือก’ คือกำแพงด่านแรกที่คอยบดบังหลาย ๆ อย่างจากการมองผู้คนที่เราเห็นเสมอ และความรุ่งโรจน์ของเหล่าสมาชิกใน 27 คลับ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคำพูดในข้างต้น แต่บางทีการมองแค่เปลือกก็อาจจะเป็น safe zone ที่ดีพอแล้วสำหรับหนึ่งความสัมพันธ์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้รู้จักเนื้อในของคน ๆ นึง นั่นอาจหมายความถึง ‘ความรับผิดชอบ’ ทางความรู้สึกนึกคิดซึ่งกันและกันที่ตามมาในภายหลังจะทำให้คุณมองเค้าหรือเธอคนนั้นเปลี่ยนไป
เราจะพาไปทำความรู้จักกับราชาแห่งกรันจ์ร็อก Kurt Cobain แห่งวง Nirvana และเจ้าแม่เพลงโซล/แจ๊ซ Amy WineHouse สองสมาชิกชื่อดังของคลับที่เรื่องราวเบื้องหลังของทั้งคู่ถูกฉาบไปด้วยสีดำแห่งความเศร้าหมอง ซึ่งต่างจาก ‘เปลือก’ ที่เราต่างรู้จักอย่างลิบลับ
จุดเปลี่ยนในชีวิตของ Amy Winehouse นั้น เราคงจะต้องขอเล่าย้อนไปตอนปี 1991 ในวันที่เธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงเอมี่วัย 9 ขวบ ที่สดใสร่าเริงและชอบสร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้คนที่คุยด้วยอยู่เสมอ แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรจากหน้ามือหลังมือทันทีเมื่อ Janis และ Mitch Winehouse ผู้เป็นพ่อและแม่ได้ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน โดยที่มิตซ์ผู้เป็นพ่อได้ตัดสินใจออกจากบ้านไป โลกสีสว่างสดใสของเอมี่ค่อย ๆ ถูกฉาบด้วยสีดำมืดจากจุดนี้
เหตุการณ์ในตอนนั้นส่งผลให้เอมี่เริ่มทำตามใจของตัวเองมากขึ้น เช่น โดดเรียนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สูบบุหรี่ พาแฟนมานอนที่บ้านทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็อาศัยอยู่กับแม่ เป็นต้น แต่โชคดีของเอมี่คือการมีเพื่อนที่ดีและจริงใจกับเธอมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนของเอมี่แนะนำเอมี่ให้กับแมวมองที่ตัวเองรู้จัก บวกกับพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงที่หาตัวจับได้ยากของเอมี่ ส่งผลให้เธอได้เซ็นสัญญากับ Sony/ATV Music Publishing (บริษัทในเครือของ EMI ที่มี Michel Jackson เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง) ตั้งแต่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ความมหัศจรรย์ของเอมี่ก็คือเธอคือ ‘ศิลปิน’ ตัวจริง ความจริงใจที่มีต่อเสียงเพลงของเธอพูดได้เลยว่าเกินร้อยเปอร์เซนต์ อีกทั้งเธอยังมีพรแสวงมากเกินกว่าที่ใครหลายคนจะมีได้ พออายุเข้า 18 เธอก็เซ็นสัญญากับบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม Island Record (U2 และ Bob Marley ก็เคยอยู่ที่นี่) และออกอัลบั้มแรกในชื่อ Frank ตอนปี 2003
ดูเหมือนว่าชีวิตของเอมี่จะดีขึ้นเพราะได้เสียงเพลงฉุดดึงเธอเอาไว้ใช่มั้ยครับ แต่ชีวิตที่แสนสุขของเธอก็เปรียบเหมือนงานปาร์ตี้ที่สุดท้ายก็ต้องมีวันเลิกรากันไป เพราะในปี 2005 เอมี่กับวัย 23 ปีของเธอได้พบเจอกับ Blake Fielder เป็นครั้งแรก เขาคือผู้ที่จะกลายมาเป็นคู่หมั้นและเป็นอีกหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
ชีวิตรักของเอมี่กับเบลคเต็มไปด้วยความหลงใหลซึ่งกันและกันที่มากเกินกว่าจะมองเห็นใครหรือว่าอะไร และทำให้เอมี่ต้องพบกับหายนะทางอารมณ์อยู่หลายครั้ง การบอกเลิกครั้งแรกที่ส่งผลให้เอมี่เสียสติจนต้องเข้าบำบัด แต่มิตซ์ผู้เป็นพ่อเป็นคนยืนกรานว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องไป ซึ่งนี่อาจจะเป็นหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลถึงโศกนาฏกรรมในตอนจบของเรื่องนี้
ในเดือนธันวาคมของปีนั้น เอมี่สามารถดึงสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง เธอมุ่งหน้าทำในสิ่งที่เคยช่วยเธอเอาไว้อีกครั้งนึงซึ่งผลผลิตของความตั้งใจก็ส่งผลให้ปี 2006 อัลบั้มที่ 2 ในชื่อ Back To Black ของเธอคลอดออกมาจนสำเร็จ Back To Black นับได้ว่าเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเอมี่ เพราะนอกจากจะคว้ารางวัลจาก Brit Award แล้ว รางวัลเกียรติยศสูงสุดอย่าง Grammy Award ก็กลายมาเป็นของเธอด้วยเช่นกัน
จุดนี้เอมี่ได้กลายเป็นที่โด่งดังของโลกไปแล้ว สื่อทุกแขนงจับตามองมาที่เธอ และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เบลคกับเอมี่ที่เคยเป็นเพียงอดีต บัดนี้เวลาพาทั้งคู่กลับมาสร้างปัจจุบันร่วมกันอีกครั้งนึงและทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ชีวิตของเอมี่เริ่มดำมืดที่สุดจากตรงนี้ด้วยยาที่ชื่อ ‘เฮโรอีน’ พวกเขาติดมันงอมแงมเสียจนสภาพจิตใจย่ำแย่ลงไปกว่าที่เคยเป็นมา เธอไม่สามารถร้องเพลงได้ในคอนเสิร์ตอยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่แย่ก็คือช่วงเวลารุ่งโรจน์ของเอมี่คือช่วงเวลาเดียวกันกับที่แย่ที่สุดของเธอ สื่อเริ่มโจมตีเธอหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จากพฤติกรรมที่ย่ำแย่ที่เกิดจากการเล่นยาอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2009 เบลคตัดสินใจขอหย่ากับเอมี่อีกครั้ง ส่วนมิตซ์พ่อของเอมี่ก็เข้ามาทำหน้าที่ดูแลลูกสาวโดยที่แอบหวังผลประโยชน์เรื่องเงินกับเธอ จนในที่สุดระเบิดเวลาก็ทำงาน
23 กรกฎาคม 2011 Amy Jade Winehouse จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยการเล่นยาเกินขนาด
ส่วนเรื่องราวของ Kurt Cobain นั้นก็แทบจะลอกกันมาเลย เคยเป็นเด็กร่าเริงจนกระทั่งอายุ 9 ขวบพ่อและแม่หย่ากัน ส่งผลให้กลายเป็นเด็กเกเรซึ่งพ่อกับแม่ทนไม่ไหว และเขาเองก็คาดหวังความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมาโดยตลอด ด้วยความละอายจึงย้ายออกไปอยู่กับตัวเองคนเดียว เคยคิดจะฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งได้รู้จักกับดนตรีพังก์ร็อก ก่อนที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอัลเทอร์เนทิฟ และกลายเป็นศาสดาในเวลาต่อมา
ปี 1987 ทดลองใช้เฮโรอีนครั้งแรก 2 ปีต่อมาออกอัลบั้มแรกจนสำเร็จในชื่อ Bleach เริ่มเป็นที่โด่งดังแต่ยังคงใช้เฮโรอีนอย่างต่อเนื่อง และในปี 1991 อัลบั้มที่พาเคิร์ทหลุดออกจากชีวิตอันยากลำบากทางกาย Nevermind ก็ถือกำเนิดขึ้นมา แต่จุดนี้เองที่ความโด่งดังอย่างที่เขาไม่ได้ต้องการมันตั้งแต่แรกถาโถมเข้ามา สื่อเริ่มโจมตี Nirvana ว่าเพลงของพวกเค้าเป็นปรปักษ์ต่อสังคม ส่งผลให้ความเป็นคนเซนสิทิฟของเคิร์ททำให้สภาพจิตใจของเค้าย่ำแย่ลง และแล้วเขาก็ได้พบกับ Courtney Love คู่ชีวิตและแม่คนเดียวของลูกสาวที่เขารักมากที่สุดในชีวิต ทั้งคู่พากันติดเฮโรอีนอย่างหนักมากและถึงแม้ในท้ายที่สุดเคิร์ทพยายามจะเลิกมันเพื่อลูกสาว Frances Bean Cobain แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว
5 เมษายน 2537 เคิร์ทตัดสินใจชีวิตตัวเองลงด้วยการลั่นลูกซองเพียงครั้งเดียวภายในบ้านพักของเขา อะไรคือสิ่งที่ฆ่าเคิร์ท? ความเศร้าที่สะสมมาตั้งแต่เหตุการณ์ในอดีตเปรียบเสมือนกับสารของยาที่ยังคงค้างอยู่ในตัวของเค้ามาโดยตลอด เอมี่เองก็เหมือนกัน ปมวัยเด็กของทั้งคู่คือความแตกแยกของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นพวกเค้าจึงไม่ได้รับความรักที่สมควรจะได้มาตั้งแต่ตอนนั้น ในวันที่โตขึ้นพอประสบเหตุการณ์ความรักด้วยตัวเองจึงไม่สามารถที่จะควบคุมความเสียใจที่เกิดขึ้นได้ และการที่ไม่มีคนคอยรับฟังและคอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เลวร้ายยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่เข้าไปอีก ซึ่งในตอนสุดท้ายมันส่งผลให้พวกเค้าได้กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปโดยไม่รู้ตัว
ความซึมเศร้าของโลกที่ซึมเศร้า
ในปี 2017 ดูเหมือนว่าจะเป็นปีทองของโรคทางจิตเวชที่ใช้ชื่อว่า ‘depression’ หรือ ‘โรคซึมเศร้า’ ในภาษาไทย สังเกตได้จากการถูกพูดถึงที่บ่อยขึ้นในหลายสื่อ และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบถึงชีวิตจากเจ้าโรคนี้ (เช่น Chris Cornell หรือ Chester Bennington ที่เราพูดถึงไปในตอนต้น) แต่กลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่านี่เป็นเพียงกระแสของวัยรุ่นที่อยากดูเท่ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนเป็น รวมถึงตัวเราเองกำลังเป็นอยู่รึเปล่า?
นพ.ภุชงค์ เหล่ารุจิสวัสดิ์ ให้ความเห็นของโรคนี้เอาไว้ว่า การจะบอกว่าใครคนนึง ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’ โรคซึมเศร้าได้อย่างฟันธงนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะนี่คืออาการทางจิตที่เกิดจากการทำงานของสมอง ในทางการแพทย์เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ชัดเจนเหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น แต่จริง ๆ แล้วโรคซึมเศร้าก็เป็นโรคที่สะท้อนให้เห็นถึงสารเคมีในสมองของเราที่ซึ่งเป็นปลายทางการเกิดโรค ต้นเหตุจึงอาจจะมาจากฮอร์โมน วงจรการนอน สารอักเสบในร่างกาย หรือเป็นปัจจัยอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย ในทางการแพทย์แบ่งชนิดของโรคนี้เป็น Major Depressive Disorder ก็คือการเป็นโรคติดตัว ต่อให้รักษาหายก็อาจมีความเสี่ยงว่าจะเป็นได้อีก ส่วน Minor Depressive Disorder ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นคนละโรคกับแบบเมื่อกี้แต่มีสารเคมีเป็นตัวเดียวกัน ทว่าความเปลี่ยนแปลงของสารเคมียังไม่มากพอที่จะไปเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของสมองให้ผิดปกติถาวร อย่างหลังสังเกตได้ว่าถ้าเขาหยิบเรื่องเครียดออกไปได้เมื่อไหร่ก็แสดงว่าหายเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว
27 Club กับความเศร้าที่มองไม่เห็น
นอกจาก Amy Winehouse กับ Kurt Cobain แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะมีสมาชิกคนอื่นในคลับที่มีความเสี่ยงว่าเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกัน
Robert Johnson สมาชิกกิตติมศักดิ์คนแรก คนเดียวกับผู้สร้างความเชื่อที่เราได้พูดถึงไปในตอนที่แล้วนั่นแหละ หากถามว่าทำไมจึงคิดว่าจอห์นสันน่าจะเป็นโรคนี้ คำตอบคือ ‘ปม’ ในวัยเด็กของเขาอีกเหมือนกัน จำได้ไหมว่าจอห์นสันเกิดขึ้นมาจากความสัมพันธ์นอกสมรสของผู้เป็นพ่อแม่ของเขา จนเป็นเหตุทำให้ต้องย้ายที่อยู่และมีพ่อคนใหม่อยู่บ่อยครั้ง คุณผู้อ่านยังจำกันได้ไหมครับว่าก่อนลมหายใจสุดท้ายของจอห์นสันจะดับลงเขากำลังทำอะไรอยู่ในเวลานั้น ‘วิสกี้’ ไงล่ะ เขาดื่มวิสกี้ แต่สิ่งที่เราไม่ได้บอกคือ ผลชันสูตรศพของจอห์นสันพบว่ามีสารพิษอยู่ในร่างกายของเขา ก็แสดงว่าต้นเหตุต้องมาจากวิสกี้แก้วสุดท้ายแก้วนั้น และเขาก็อาจจะเป็นคนที่ใส่สารนั้นลงไปในน้ำสีอำพันด้วยตัวเอง
และอีกคนนึงที่มีแน้วโน้มว่าน่าจะเป็นคือ Jim Morrison แห่ง The Doors ผู้ที่เติบโตมาด้วยครอบครัวที่ปกติสุข มีแม่เป็นแม่บ้านที่ดีพร้อมและมีพ่อที่รักในเสียงเพลงทั้งยังเป็นผู้มีทักษะในการเล่นเปียโน แต่มอร์ริสันกลับจบชีวิตด้วยสถาวะหัวใจล้มเหลวอันมีผลมาจากตัวยาบนมือทั้งสองข้างของเขา ซึ่งอธิบายได้ว่า บางกรณีความซึมเศร้าก็อาจจะมาจากตัวของคน ๆ นึงมากกว่าที่จะเป็นเพราะสภาพแวดล้อม
เราได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง การ ‘ฟัง’ ซึ่งกันและกันมีค่ามากแค่ไหน ความเจ็บปวดจากเหล่าสมาชิก 27 Club น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่าการเป็น ‘โรคซึมเศร้า’ ไม่ใช่กระแสที่เท่เลยแม้แต่นิดเดียว
อ้างอิง
สารคดี – AMY : The Girl Behind The Name
สารคดี – Cobain : Montage Of Heck
https://www.biography.com/people/jim-morrison-9415576
https://www.biography.com/people/robert-johnson-9356324
https://thematter.co/thinkers/mind-vs-psychosis-depression/27489
https://en.wikipedia.org/wiki/Amy_Winehouse