Future Fest 2020 เปิดพื้นที่พูดถึงการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ผ่านงานเสวนา ศิลปะและดนตรี
- Visual Designer: Karin Lertchaiprasert
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Photographer: Thanadol Boonkoolest
25 มกราคม 2563
แดดร่มลมตกในวันสำคัญแบบนี้ แน่นอนว่าวัยรุ่นก็ต้องไปรวมตัวกันที่ The Link มักกะสันสิ กับงาน Future Fest เปิดพื้นที่ปลอดภัยชวนให้ทุกคนแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ผ่านศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม เพียงหวังสร้างความเปลี่ยนค่านิยมความเชื่อความคิดในปัจจุบันได้สักเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนอนาคตให้เป็นคนวัยรุ่นทุกคน
ถ้ามองจากมุมคนทั่วไป Future Fest อาจดูเป็นงานที่ค่อนข้างมีความเป็นการเมืองสูงอยู่เหมือนกัน อาจเพราะเป็นงานของพรรคอนาคตใหม่ทำให้หลายคนอาจรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งเท่าไหร่ แต่เนื้อในแล้วพวกเขาแค่อยากสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ เข้ามาหาแรงบันดาลใจเพื่อต่อสู้กับความไม่ชอบมาพากลของกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งกดขี่เราเอาไว้ด้วยวิธีต่าง ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว พร้อมวิธีนำเสนอด้วยความสนุกผ่านงานอาร์ต แกเลอรี่ เวทีเสวนาหรือคอนเสิร์ตของวงรุ่นใหม่ในดวงใจของวัยรุ่นยุคนี้ พร้อมตลาดอาหารอิ่มอร่อยได้ทั้งวัน
บ่ายสามปุ๊บประตูก็เปิดตอนรับผู้ร่วมงานทุกคน โซนตลาดก็พร้อมแล้วให้ทุกคนฝากท้อง ความน่ารักของงานนี้คือพยายามลดการใช้พลาสติกด้วยการรณรงค์ให้ทุกคนพกถุงผ้า ภาชนะและกระติกน้ำมากันเอง พร้อมจุดเติมน้ำดื่มฟรี ตรงนี้คือเท่คะแนนให้หมดเลยว่าเขาคิดถึงผู้ร่วมงานจริง ๆ
ในงานยังมีอุโมงค์ปลาวาฬ ที่เหมือนเข้าไปในตัวปลาวาฬพร้อมนิทรรศการเล็ก ๆ ที่พูดถึงปัญหาขยะในโลกที่กำลังสร้างผลกระทบอันใหญ่หลวงให้กับวงจรชีวิตในทะเล และแน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้จะย้อนกลับมาหาเราในทางใดทางหนึ่งแน่นอน สร้างความตระหนักให้ทุกคนหันมาใช้พลาสติกอย่างฉลาด ลดการทิ้งขยะอย่างสูญเปล่าให้ได้เยอะที่สุด
และที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง คือแกลลอรี่งาน ‘จุก’ ที่เชิญศิลปินกว่า 20 ชีวิตมาระบายความจุกที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้กันในแบบที่ตัวเองถนัดหรือตีความกันได้อย่างอิสระ ซึ่งศิลปินทุกคนก็มีพื้นเพที่ต่างกัน สนใจในศิลปินที่หลากหลายแขนงมาก ๆ ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนมีปัญหาที่ไม่เหมือนกัน งานทุกชิ้นจึงมีแนวคิดที่แตกต่างกัน มีวิธีเล่าที่ไม่เหมือนกันไปเลย แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคืออัดอั้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จนอยากส่งเสียงไปให้ถึงรัฐบาลชุดนี้ในแบบของตัวเอง ซึ่งงานนี้เคยจัดไปแล้ว และนำกลับมาจัดอีกครั้งในโอกาสนี้โดยเฉพาะ
และอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนมองข้ามไม่ได้ คือโซนสุราก้าวหน้า ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากว่ารัฐที่เอื้อประโยชน์ให้แต่นายทุนมันเป็นยังไง โดยรวมแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยอดฝีมือตัวเล็กตัวน้อยในเมืองไทย ซึ่งถูกกดทับโดยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทำให้พวกเขาต้องส่งสินค้าตัวเองไปนอก ก่อนจะตีกลับมาในไทยที่ราคาแพงเกินความจำเป็น ทำให้คนไทยไม่มีทางเลือกและเข้าไม่ถึงวัฒนธรรมการดื่มที่หลากหลาย เอื้อมไม่ถึงของดีของไทยเอง โซนนี้เฉพาะคนอายุ 20+ นะจ๊ะ ภายในบริเวณนี้ยังมีเวทีเล็กที่ให้โอกาสศิลปินตัวจิ๋วได้มีพื้นที่ในการโชว์ดนตรีและภาษาของตัวเอง เก๋ขึ้นไปอีกด้วยการเป็น silence stage ที่ใช้หูฟังในการเสพ ไม่รบกวนเพื่อนบ้านข้างเคียง
ส่วนเวทีใหญ่ก็มีศิลปินที่ทุกคนรู้จักกันดีผลัดเปลี่ยนเวียนกันขึ้นมาสร้างความสนุกให้กับทุกคน เจอกันตั้งแต่บ่ายกับ Dogwhine ที่ขยับขยายความเป็น noise rock ได้น่าสนใจ และสร้างความตื่นเต้นขึ้นไปอีกครั้งด้วยการทำเพลงเกี่ยวกับการเมืองซะส่วนใหญ่ และ Stoic กับร็อกแสนร้าวรานที่บีบคั้นอารมณ์สุด ๆ สลับกับงานเสวนาดี ๆ ที่บันดาลใจในหลากหลายประเด็น เช่น ‘THAITHAI : การส่งออกวัฒนธรรมไทยๆ ร่วมสมัย’ ที่เชิญ ต้อม ยุทธเลิศ กับเจ้าของเพจ ‘ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส’ มาคุยกันถึงโอกาสของหนังไทยที่จะได้ไปโตนอกประเทศ และ ‘The Final Countdown? : วิกฤติสิ่งแวดล้อมแห่งศตวรรษที่ 21’ ชวนตื่นตัวและหาทางออกให้กับวิกฤตปัญหาขยะล้นโลก
ต่อด้วย VEGA ไซเคเดลิกล้านนาที่ปลุกความเร้าร้อนให้กับเวทีได้สนุกมาก และ Sanim Yok ไซเคเดลิกร็อกผสมบลูส์หน่อย ๆ ที่พูดเรื่องเสรีภาพได้อย่างคมคาย ผ่านดนตรีเข้ม ๆ เท่ ๆ ก่อนจะเชิญ ป๊อก ปิยบุตร ขึ้นมาเสวนาในหัวข้อ ‘อำนาจและการเชื่อฟัง’ ที่ชวนทุกคนรู้ทันอำนาจนิยมว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังใช้อำนาจในทางมิชอบ และไม่เป็นธรรมกับใครหลายคน และสิ่งเหล่านี้มันใกล้ตัวเรากว่าที่คิดมาก
ก่อนจะปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วย S.O.L.E. ที่ระเบิดความมันบนเวทีได้อย่างบ้าคลั่ง เต้นกันยับ พร้อมหยิบเพลงใหม่ Trouble มาเล่นด้วย ซึ่งมีวรรคทองที่โดนใจใครหลายคนว่า ‘สุบบุหรี่ กินเหล้า ชอบธนาธร’ และอีกหลายเพลงที่ทำให้ทุกคนเต้นกันแบบซ่องแตกจนเกิดเป็นวงมอชขึ้นมาเลย และขวัญใจวัยรุ่นยุคนี้อย่าง The Yers ก็ได้ใจทุกคนที่อยู่หน้าเวทีไปหมดด้วยเพลงฮิตของพวกเขา ทุกคนตะโกนร้องตาม ทำเซอร์เคิลพิต มอชกันเละเทะ ปลดปล่อยความสดชื่นของพลังวัยรุ่นกันเต็มที่ อู๋ The Yers ก็ขอเป็นหนึ่งพลังใจให้กับคนรุ่นใหม่ด้วย
แอบเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้มาวันอาทิตย์อีกวัน แต่ภายในงานก็ดูเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนกัน เราสามารถพบคนทุกช่วงวัยได้ในงานเลย เหมือนทุกคนยังมีความหวังกันอยู่ และแกนนำทั้งสามของพรรคอย่าง ‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ ได้ในงานและพร้อมที่จะเข้ามาพูดคุยกับเรา ดูเข้าถึงง่ายเหมือนกัน นี่อาจจะเป็นภาพแทนของคนที่พร้อมจะฟังคนรุ่นใหม่จริง ๆ ก็ได้นะ ถ้ารอบหน้ายังได้จัดอีกก็อยากพาคนที่เรารักมางานนี้เหมือนกัน เพื่อบอกว่ายังมีคนที่ทำงานหนักเพื่อพวกเราอยู่ พวกเรายังมีหวังเสมอ